ประตูหินเปิดออกเสียงดังสนั่น นักพรตเซี่ยสัมผัสได้ทันที เปล่งแสงสว่างวาบแล้วมาปรากฎตัวตรงหน้าหานลี่ ดวงตาทั้งสองเปล่งแสงสีเงินวาววับพลางพิจารณาไป

นักพรตเซี่ยในยามนี้ฟื้นฟูพละกำลังกลับมาอยู่ในระดับมหายานแล้ว กวาดสายตาไป คาดไม่ถึงว่าจะแหลมคมดุจกระบี่!

เมื่อสัมผัสกับหานลี่ ก็อดที่จะรู้สึกไม่เป็นธรรมชาติไม่ได้

“สหายหานเตรียมโจมตีทะลวงจุดคอขวดระดับมหายาน!” เซียนจอมปลอมที่เปล่งคำพูดน้อยมาก คาดไม่ถึงว่าจะมองอันใดในตัวหานลี่ออก แล้วเป็นฝ่ายเอ่ยถามก่อนอย่างแช่มช้า

“พี่เซี่ยดูออกแล้ว ผู้แซ่หานคิดจะก้าวข้ามผ่านก้าวนี้แล้ว” หานลี่ไม่ได้รู้สึกแปลกใจ กลับตอบกลับอย่างเคร่งขรึม

“ยามนี้โลหิตบริสุทธิ์และกายเนื้อของเจ้าอยู่ในสภาวะที่ยอดเยี่ยมที่สุด หากทะลวงจุดคอขวดระดับมหายานน่าจะมั่นใจได้ครึ่งหนึ่งสินะ อัตราการประสบความสำเร็จมากเช่นนี้ แม้ว่าจะอยู่ในแดนเซียนก็หาได้ยากมาก” นักพรตเซี่ยแววตาวาววับสองสามคราแล้วถึงได้เอ่ยขึ้น

“มีคำพูดของพี่เซี่ย ผู้แซ่หานก็วางใจขึ้นมากแล้ว ทว่าอีกเดี๋ยวยามที่จะทะลวงจุดคอขวดต้องมีการเคลื่อนไหวไม่น้อย เกรงว่าคงจะดึงดูดผู้คนมา ถึงยามนั้นหวังว่าสหายจะช่วยคุ้มครองสักหน่อย” หานลี่ได้ยินพลันดีใจ และประสานกำปั้นคารวะพลางเอ่ยร้องขอ

“ในเมื่อเจ้าขอร้อง ข้าย่อมต้องปกป้องเจ้าให้ปลอดภัย แต่ความเสียหายในช่วงนั้นก็จะนับจากของที่เจ้าถวายมา” นักพรตเซี่ยพยักหน้าแล้วเอ่ยด้วยสีหน้าราบเรียบ

“นั่นมันแน่นอนอยู่แล้ว ถึงยามนั้นก็รบกวนสหายแล้ว” หานลี่หัวเราะน้อยๆ ออกมา แล้วเอ่ยปากตอบรับ

ในยามที่เขาคิดจะจากไป ประตูห้องลับอีกบานใกล้ๆ กันก็เปิดออกด้วยเสียงอันดัง และมีหญิงสาวเดินออกมาอย่างแช่มช้า

นั่นก็คืออิ๋นเย่ว์ที่กักตัวอยู่ใกล้ๆ เช่นกัน

สีหน้าของหญิงสาวผู้นี้ซีดขาวไปเล็กน้อย แต่เมื่อออกมาดวงตาคู่งามที่มองหานลี่ก็เผยแววประหลาดใจ พยักหน้าเล็กน้อยแล้วเอ่ยถามด้วยเสียงแผ่วเบา

“ยินดีกับพี่หานที่พลังยุทธ์เพิ่มขึ้น แต่ยามนี้จะเตรียมทะลวงจุดคอขวดระดับมหายาน ไม่เร็วไปหน่อยหรือ พี่หานไม่ลองฝึกฝนให้พลังยุทธ์มั่นคงสักสองสามปีล่ะ”

เห็นได้ชัดว่าอิ๋นเย่ว์ในยามนี้ ไม่ได้รับผลกระทบจากคาถาลืมเลือนความรู้สึกแล้ว

“อิ๋นเย่ว์ ไม่ได้พบกันหลายปี พลังยุทธ์ของเจ้าพัฒนาขึ้นมา ดูแล้วเคล็ดวิชาชุดนั้นของท่านอาวุโสเอ๋าเซียวคงมีประสิทธิภาพจริงๆ ยามนี้ไม่ว่าระดับจิตใจหรือโลหิตบริสุทธิ์ของข้าก็อยู่ในสภาวะที่ยอดเยี่ยมที่สุดแล้ว หากยามนี้ไม่อาจทะลวงจุดคอขวดระดับมหายานได้ ต่อให้ๆ เวลาข้าอีกร้อยพันปี เกรงว่าก็คงไม่สำเร็จเช่นกัน” หานลี่กวาดจิตสัมผัสไปบนเรือนร่างของอิ๋นเย่ว์ แล้วตอบกลับด้วยใบหน้าที่ประดับไปด้วยรอยยิ้ม

“ไม่ว่าพลังยุทธ์หรือว่าประสบการณ์ของพี่หานล้วนไม่ใช่สิ่งที่ข้าจะเทียบได้ ในเมื่อกล่าวเช่นนี้ คิดดูแล้วคงมีเหตุผล น้องหญิงและพี่เซี่ยจะคุ้มครองด้วยกันก็แล้วกัน เพื่อไม่ให้ชนรุ่นหลังผู้ใดมารบกวนพี่หาน” อิ๋นเย่ว์ครุ่นคิดแล้วเอ่ยอย่างตัดสินใจ

“หากเจ้าเองก็ยอมคุ้มครอง ข้าย่อมยินดียิ่ง ใช่แล้ว กั่วเอ๋อร์ล่ะ ดูเหมือนนางจะไม่ได้อยู่ในถ้ำพำนัก” หานลี่ย่อมขอบคุณด้วยใบหน้าที่ประดับไปด้วยความยินดี แต่หลังจากที่กวาดจิตสัมผัสไปทั่วถ้ำพำนัก กลับเอ่ยถามด้วยความประหลาดใจ

“ช่วงนี้กั่วเอ๋อร์ฝึกฝนถึงจุดคอขวด จำต้องอาศัยการดูดซับแก่นดวงอาทิตย์ทุกวัน ถึงจะทะลวงจุดคอขวดได้ ดังนั้นจึงย้ายออกจากถ้ำพำนักไปฝึกฝนตามลำพังบนยอดเขาอีกแห่งหนึ่งใกล้ๆ กันเมื่อสองสามปีก่อนแล้ว” อิ๋นเย่ว์รู้เรื่องนี้เป็นอย่างดีจึงอธิบายขึ้น

“ที่แท้ก็เป็นเช่นนั้น เคล็ดวิชาวัฏสงสารมีความพิเศษจริงๆ นางมีหนทางการฝึกฝนของตนเอง ก็ไม่ต้องให้พวกเรากังวลอันใดมากแล้ว” หานลี่พยักหน้าแล้ววางใจ

ดังนั้นจากนั้นหานลี่จึงพานักพรตเซี่ยและอิ๋นเย่ว์บินออกมาจากถ้ำพำนัก กลายเป็นลำแสงหลีกหนีสามสายหมุนวนอยู่กลางอากาศรอบหนึ่งแล้วพุ่งไปยังทิศทางหนึ่ง

หลังจากผ่านไปเป็นเวลาหนึ่งกาน้ำชา ภายในบ่อที่อยู่ห่างจากถ้ำพำนักของหานลี่สองสามหมื่นลี้ ลำแสงหลีกหนีสามสายร่อนลงมาและปรากฎร่างสามร่างขึ้น

หานลี่พิจารณาสภาพแวดล้อมที่ว่างเปล่ารอบด้าน หลังจากที่มองเห็นยอดเขาสองสามลูกอยู่ไกลๆ ถึงได้พยักหน้าแล้วเผยสีหน้าพึงพอใจออกมา

“ที่นี่แหละ สหายทั้งสองรออยู่ด้านข้างก่อนเถิด ให้ข้าวางเขตอาคมสักสองสามเขตเตรียมตัวให้เสร็จก่อนแล้วค่อยว่ากัน แม้ว่าพลังภายนอกเหล่านี้จะไม่อาจช่วยข้าต้านทานเคราะห์สวรรค์ได้เท่าใดนัก แต่ก็ปกปิดปรากฏการณ์การทะลวงจุดคอขวดได้บ้าง ทำให้คนนอกหาที่นี่พบได้ช้าหน่อย”

อิ๋นเย่ว์และนักพรตเซี่ยได้ยินย่อมไม่มีความเห็นอื่น พยักหน้าทันใด แล้วกลายเป็นลำแสงหลีกหนีสองสายพุ่งไปยังยอดเขาใกล้ๆ กับทั้งสองลูก เปล่งแสงสว่างวาบ แล้วแยกกันร่อนลงด้านบน

ทั้งสองต่างแยกกันหาก้อนหินยักษ์แล้วนั่งขัดสมาธิ มองการเคลื่อนไหวของหานลี่อยู่ไกลๆ

หานลี่สูดลมหายใจเข้าลึกๆ เฮือกหนึ่ง สะบัดแขนเสื้อ ชั่วขณะนั้นลำแสงสีขาวสิบกว่าดวงพลันพุ่งออกไป กลายเป็นหุ่นเชิดวานรยักษ์ยืนอยู่ด้านหน้า ในมือกอบจานอาคมและธงอาคมเอาไว้

“ไป”

หานลี่ออกคำสั่ง

ทันใดนั้นหุ่นเชิดทั้งหมดก็เคลื่อนไหว พุ่งไปทั่วทั้งสี่ทิศแปดด้าน อุปกรณ์วางเขตอาคมในมือเริ่มถูกจัดวางลงบนพื้นและกลางอากาศอย่างระมัดระวังทันที

หานลี่เองก็บินไปรอบๆ พลิกฝ่ามือ ศิลาวิญญาณโปร่งใสระดับสุดยอดปรากฎขึ้นหลายก้อนและพุ่งลงมาที่พื้นดิ้นราวกับฝนโปรยปราย

ไม่นานนัก ในบ่อก็มีเขตอาคมก็ปรากฎขึ้นเป็นชั้นๆ!

หลังจากที่หานลี่กะพริบวาบ ก็กลับมาอยู่ตรงใจกลางบ่อ หยิบสมบัติอาคมเปล่งแสงแวววาวออกมาจากร่าง แล้วทยอยกันโยนไปตามจุดต่างๆ ของเขตอาคม

สมบัติอาคมเหล่านี้ส่วนใหญ่ล้วนเป็นสิ่งที่หานลี่ได้มาจากการสังหารจอมมารเผ่ามารและร่างแยกบรรพชนศักดิ์สิทธิ์ ทุกชิ้นล้วนมีที่มาที่ไปไม่ธรรมดา หากตกอยู่ในมือผู้บำเพ็ญเพียรระดับผสานอินทรีย์ธรรมดาๆ เกรงว่าทุกชิ้นล้วนเพียงพอที่จะทำให้พวกเขาดีอกดีใจอย่างบ้าคลั่ง และมองว่าเป็นสมบัติล้ำค่า

แต่ที่นี่หานลี่กลับหยิบออกมาทีเดียวห้าสิบหกสิบชิ้น แค่นำมาเป็นอาวุธธรรมดาๆ ในการกดเนตรอาคมเท่านั้น เพื่อทำให้พลังของเขตอาคมเพิ่มขึ้นเล็กน้อย

เมื่อทำทุกอย่างเสร็จแล้ว หานลี่ก็สะบัดข้อมือปล่อยวัตถุดิบวางเขตอาคมกองใหญ่ราวกับภูเขาขนาดย่อมออกมาจากกำไลเก็บของ จากนั้นถึงได้นั่งขัดสมาธิลงที่เดิม

หลังจากที่หุ่นเชิดวานรยักษ์สิบกว่าตัววางธงอาคมและเขตอาคมในมือเสร็จ ทันใดนั้นก็มาหยิบวัตถุดิบวางเขตอาคมอื่นๆ และบินกลับไปทีละตัวๆ พลางวางเขตอาคมต่อ

เห็นได้ชัดว่าเขตอาคมสองสามเขตนี้ไม่ใช่เขตอาคมธรรมดาๆ แม้ว่าจะมีอาวุธคัดลอกการวางเขตอาคม ก็เสียเวลาไปครึ่งวันกว่าจะวางเสร็จ

ภายใต้การกระโดดไปมาของวานรยักษ์ทั้งหมด ก็ทยอยกันกลับมาอยู่ตรงหน้าของหานลี่ แล้วยืนนิ่งประสานมือเข้าด้วยกัน

หานลี่มีสีหน้าไม่เปลี่ยนแปลง สะบัดแขนเสื้อ รัศมีลำแสงสีเขียวม้วนออกไป เก็บหุ่นเชิดทั้งหมดกลับไป ผิวเปล่งแสงสีเหลืองอ่อนสว่างวาบเช่นกัน มือหนึ่งร่ายอาคมพิเศษไปบนพื้นดิน

เมื่ออาคมเปล่งแสงสว่างวาบก็จมหายเข้าไปใต้ดิน หานลี่พลันร้องตะโกนเบาๆ

“ยกขึ้น”

ชั่วขณะนั้นพื้นดินด้านล่างพลันสั่นเทา “ครืนๆ” แท่นดินเป็นก้อนสี่เหลี่ยมขนาดสองสามหมู่ถูกขุดขึ้นมาจากพื้นดิน ยามนั้นพลันมีความสูงถึงสามสิบจั้งราวกับภูเขาขนาดย่อม

อาคมในมือของหานลี่เปลี่ยนไป อ้าปากออกอีกด้วยใบหน้าไร้ความรู้สึกแล้วพ่นลูกบอลเพลิงสีเงินออกมา

หลังจากที่ลูกบอลเพลิงสีเงินหมุนติ้วๆ ก็กลายเป็นวิหคเพลิงสีเงินขนาดสองสามฉื่อ สยายปีกทั้งสองข้างออกมา คาดไม่ถึงว่าจะขยายใหญ่กลางอากาศ แล้วกลายเป็นสิ่งมหึมาขนาดสิบจั้งเศษ

ภายใต้การกระตุ้นของหานลี่ วิหคเพลิงยักษ์ส่งเสียงร้องไพเราะแล้วพวยพุ่งขึ้นบนไปท้องฟ้าหลังจากหมุนวนรอบหนึ่งก็พุ่งลงมายังแท่นดินด้านล่าง

เสียง “พรึ่บ” ดังขึ้น!

ยามที่วิหคเพลิงสีเงินอยู่ห่างจากแท่นดินไปสองสามจั้ง คาดไม่ถึงว่าจะกลายเป็นเปลวเพลิงสีเงินม้วนวนลงมา กลืนกินหานลี่และแท่นดินด้านล่างเอาไว้ข้างใน

หานลี่ยืนตรงแน่วอยู่ท่ามกลางเปลวเพลิงสีเงินโดยไม่กะพริบตา เมื่อเปลวเพลิงสีเงินสัมผัสกับร่างของเขา ก็เปล่งแสงสว่างวาบแล้วลางเรือนไป ไม่อาจทำอันตรายได้เลยสักนิด

แต่แท่นดินกลับละลายและเปลี่ยนรูปไปท่ามกลางเปลวเพลิง ผิวหลอมละลายอย่างรวดเร็วและเริ่มมีรูปทรงเหมือนผลึก

หลังจากผ่านไปสองสามชั่วลมหายใจ แววตาของหานลี่ก็เปล่งแสงวาววับ สะบัดแขนเสื้อ ชั่วขณะนั้นพลันส่งเสียงกรีดร้องออกมา พายุหมุนม้วนวนออกมา

เปลวเพลิงสีเงินส่งเสียง “พรึ่บ” ออกมา แล้วสลายหายไปอย่างไร้ร่องรอยท่ามกลางพายุ

ยามนี้แท่นหินเปลี่ยนเป็นเปล่งแสงแวววาว ผิวล้วนถูกผลึกหินปกคลุมเอาไว้ราวกับหยกขาว และเมื่อแสงอาทิตย์ส่องกระทบลงไปก็เปล่งแสงเจิดจ้าแสบตา มองไกลๆ ดูเหมือนกับแท่นหินแท่นหนึ่ง

เดิมเป็นแค่ศิลาดินธรรมดาๆ หลังจากถูกเปลวเพลิงวิญญาณหลอมเล็กน้อย ความแข็งแกร่งก็ไม่ด้อยไปกว่าวัตถุดิบหลอมอาวุธธรรมดาๆ

บนแท่นผลึกมีเสียงวิหคเพรียกดังสนั่นขึ้น!

กระบี่สีเขียวเจ็ดสิบสองเล่มบินออกมาจากร่างของหานลี่ หลังจากหมุนวนกลางอากาศ ก็กลายเป็นกระบี่ลำแสงสีเขียวเจ็ดสิบสองเล่ม

นิ้วหนึ่งชี้ไปที่กระบี่ลำแสงกลางอากาศเบาๆ ทันใดนั้นกระบี่ลำแสงทั้งหมดก็พลิ้วไหว พุ่งลงมาที่แท่นสูงด้านล่างราวกับมีชีวิต

เสียง “ฟู่ๆ” ดังขึ้น!

เห็นเพียงลำแสงสีเขียวบินวนไปมารอบๆ แท่นผลึก ผลึกศิลาจำนวนนับไม่ถ้วนปริแตกแล้วร่อนลงมา ทิ้งรอยวิญญาณสายหนึ่งเอาไว้

กระบี่ลำแสงเหล่านี้รวดเร็วราวกับสายฟ้า ชั่วพริบตาก็บินวนรอบแท่นผลึกรอบหนึ่ง และส่งเสียงร้องพร้อมกันพลางพวยพุ่งขึ้นไปบนท้องฟ้ากลายเป็นกระบี่สีเขียวเจ็ดสิบสองเล่มลอยอยู่กลางอากาศดังเดิม

ผิวของแท่นผลึกมีลวดลายปรากฎขึ้นนับไม่ถ้วน แค่มองก็รู้ว่ามหัศจรรย์มาก หากมองนานๆ คาดไม่ถึงว่าจะรู้สึกตาลายเล็กน้อย

หลังจากที่หานลี่กวาดจิตสัมผัสไปบนลวดลายเหล่านั้น ใบหน้าก็เผยสีหน้าพึงพอใจออกมา มือหนึ่งร่ายอาคม ชั่วขณะนั้นในมือพลันมีลำแสงวิญญาณเปล่งแสงสว่างวาบ คาดไม่ถึงว่าจะมีธงขนาดสองสามชุ่นเปล่งแสงสว่างวาบขึ้นมาสี่ด้าม และพลิ้วไหวหายวับไปจากกลางอากาศ

ครู่ต่อมามุมทั้งสี่ของแท่นผลึกก็มีม่านหมอกพวยพุ่งขึ้นมา มันรวมตัวกัน กลายเป็นธงขนาดยักษ์สูงสิบจั้งเศษสี่ด้าม แบ่งออกเป็นสีแดง เขียว เหลือง ม่วงสี่สี บนธงมีอสูรประหลาดนิรนามสี่ตัวสลักอยู่ ทุกตัวล้วนแยกเขี้ยวตะปบเล็บ ดูมีชีวิตชีวาสมจริง

“ในที่สุดก็หลอมแท่นพลิกสวรรค์ได้แล้ว หวังว่าวิธีของท่านอาวุโสม่อจะช่วยข้าทะลวงจุดคอขวดได้” หานลี่พิจารณาธงทั้งสี่แวบหนึ่ง ใบหน้าฉายแววประหลาดใจ และใช้น้ำเสียงแผ่วเบาจนแทบจะไม่ได้ยินเอ่ยพึมพำออกมา

แต่จากนั้นเขาพลันปล่อยอาคมสายหนึ่งออกไปโจมตีกระบี่บินทั้งหมดที่อยู่กลางอากาศ

กระบี่บินทั้งหมดลางเรือน กลายเป็นกระบี่ลำแสงสีเขียวพันกว่าสายที่เหมือนกันทุกระเบียบนิ้ว จากนั้นก็ส่งเสียงร้องออกมาแล้วสลายหายไปจากทั่วทั้งสี่ทิศแปดด้าน ทยอยกันจมหายไปกลางอากาศ

ทว่ายามนี้ขอแค่มีคนสัมผัสกับแท่นผลึกในรัศมีร้อยจั้ง ก็จะสัมผัสได้ถึงความเย็นเยียบน่าตกตะลึง จนทำให้คนขนลุกซู่ไม่ได้!