ตอนที่ 781 ของประมูลชิ้นสุดท้าย

คุณหนูสี่ สตรีเปื้อนเลือด

เจ้าตัวจิ๋วบินเข้าไปในห้องพิเศษของฉินอวี้โม่และไม่ปรากฏตัวให้เห็นอีกเลย จากนั้นพิธีกรก็ประกาศผลของการประมูลนี้

เห็นได้ชัดว่าฉินอวี้โม่คือผู้โชคดีที่ได้รับโอกาสที่ยิ่งใหญ่ไปครองและนางคือผู้ถูกเลือกที่เจ้าตัวจิ๋วกำลังตามหา

ทุกคนภายในห้องโถงก็นิ่งเงียบขณะสายตาจับจ้องไปยังห้องของฉินอวี้โม่ด้วยสีหน้าบ่งบอกถึงความรู้สึกที่แตกต่างกัน

สีหน้าของคนตระกูลจูบิดเบี้ยวอย่างเห็นได้ชัด การที่ฉินอวี้โม่ได้รับโอกาสที่ยิ่งใหญ่ นั่นหมายความว่าความแข็งแกร่งของนางจะพัฒนาเพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดด ก่อนหน้านี้พวกเขาก็ยังมิใช่คู่มือของนางและหลังจากนี้ก็คงจะไม่มีทางเป็นคู่มือให้กับนางได้อีกต่อไป

สีหน้าของคนอื่น ๆ ก็ล้วนเผยอารมณ์ที่แตกต่างกัน ไม่ว่าจะเป็นความริษยา ความหวาดหวั่นและความเรียบเฉย

ภายในห้องบนชั้นที่สอง เฝิงรุ่ยเฉิงและโจวเฉียนมีสีหน้าที่เหยเกอย่างมาก ก่อนหน้านี้พวกเขาวางแผนร่วมกันว่าจะกำจัดฉินอวี้โม่ให้สิ้นซาก ทว่าตอนนี้เป้าหมายของพวกเขากลับได้รับโอกาสที่ยิ่งใหญ่ไปครอง

ด้วยความแข็งแกร่งและพรสวรรค์ของฉินอวี้โม่ หากมีเวลามากพอ นางจะพัฒนากลายเป็นจอมยุทธ์ยอดฝีมือที่แกร่งกล้าที่สุดในดินแดนได้อย่างแน่นอน

เมื่อถึงตอนนั้น หากพึ่งพาอาศัยเพียงแค่พลังของตนเอง พวกเขาก็ไม่มีทางแม้แต่จะคิดเอาชนะนางได้ด้วยซ้ำ

เวลานี้จิตสังหารของทั้งสองก็รุนแรงมากยิ่งขึ้น ในการคัดเลือกที่กำลังจะมาถึง พวกเขาจะต้องสังหารฉินอวี้โม่ให้จงได้เพื่อมิให้นางได้มีโอกาสนางพัฒนาจนแข็งแกร่งขึ้นกว่าเดิมอีก

สีหน้าของผู้นำตระกูลทั้งสามไม่ได้เปลี่ยนแปลงไปมากนัก ในทางกลับกัน พวกเขากลับรู้สึกยินดีกับฉินอวี้โม่จากใจจริง

“น้องอวี้โม่ ยินดีด้วยที่ได้รับโอกาสที่ยิ่งใหญ่ไปครอง ดูเหมือนว่าอีกไม่นานคลื่นลูกใหม่อย่างเจ้าจะซัดคลื่นลูกเก่าอย่างข้าเป็นแน่”

* 长江后浪推前浪 คลื่นลูกใหม่ซัดคลื่นลูกเก่า ความหมายคือ คนรุ่นใหม่ที่ความสามารถมากกว่าและเข้ามาแทนที่คนรุ่นเก่าที่แก่ลง

โหรวฉิงยิ้มและกล่าวอย่างจริงใจ นางไม่มีความคิดริษยาใด ๆ ต่อการที่ฉินอวี้โม่เป็นผู้ถูกเลือกของโอกาสที่ยิ่งใหญ่นี้และนางก็ไม่รังเกียจหากว่าอีกฝ่ายจะพัฒนาไปเหนือกว่าตนจนกลายเป็นยอดฝีมืออันดับต้น ๆ ของดินแดน

“นั่นเป็นเรื่องที่แน่นอน ด้วยพรสวรรค์ของแม่นางอวี้โม่ อีกไม่นานนางจะก้าวผ่านพวกเราไปได้แน่”

เฉินเซี่ยวลั่วกล่าวพร้อมรอยยิ้มเช่นกัน เดิมทีฉินอวี้โม่ก็มีพรสวรรค์อันน่าสะพรึงกลัวอยู่แล้ว การที่ได้รับโอกาสที่ยิ่งใหญ่นี้ไปครอง กอปรกับการเป็นที่ยอมรับจากตระกูลทรงอิทธิพลอย่างตระกูลหลาน อีกไม่นานนางจะก้าวหน้ากว่าพวกเขาได้อย่างแน่นอน ผู้นำตระกูลเฉินมีลางสังหรณ์ในใจว่าอีกไม่ถึงหนึ่งปี ความแข็งแกร่งของนางจะเหนือกว่าพวกตนและกลายเป็นจอมยุทธ์ผู้ยิ่งใหญ่ของดินแดนมหาเทพได้แน่

“เราเองก็ต้องหมั่นพัฒนาเช่นกัน พรสวรรค์ของคนรุ่นใหม่สมัยนี้โดดเด่นยิ่งนัก หากไม่พัฒนาตนเองอยู่ตลอดเวลา เราอาจจะไม่มีที่ยืนอีกต่อไป”

ซ่างสี่ซานกล่าวอย่างจริงจัง นอกเหนือจากฉินอวี้โม่ จอมยุทธ์รุ่นใหม่คนอื่น ๆ ในเมืองเทียนหยวนก็ล้วนมีพรสวรรค์ที่โดดเด่นไม่ต่างกันซึ่งหากผ่านการคัดเลือกและเข้าสู่หนึ่งในสามสำนักและเก้านิกายได้ ภายในเวลาเพียงไม่นาน พวกเขาจะพัฒนาจนกลายเป็นยอดฝีมือที่แกร่งกล้าได้ สำหรับพวกเขาที่เป็นเพียงตระกูลใหญ่ในเมืองระดับสอง คาดการณ์ได้ว่าพวกเขาจะไม่อยู่ในสายตาของคนเหล่านั้นอีกต่อไป

“ขอบคุณท่านผู้นำทุกท่านเจ้าค่ะ”

ฉินอวี้โม่กล่าวขอบคุณด้วยน้ำเสียงจริงใจเช่นกัน ต้องกล่าวเลยว่าอีกสามตระกูลของเมืองเทียนหยวนล้วนเป็นตระกูลที่มีเกียรติและน่านับถืออย่างยิ่ง ไม่แปลกใจเลยที่พวกเขาทั้งสามจะถือครองอำนาจอยู่ในเมืองเทียนหยวนมาเป็นเวลานานกว่าร้อยปี

หลังจากนั้น เมื่อเวลาผ่านไปหนึ่งก้านธูป ในที่สุดของประมูลชิ้นสุดท้ายก็ปรากฏต่อหน้าทุกคน

“แขกผู้มีเกียรติทุกท่าน เชื่อว่าทุกท่านคงได้ทราบข่าวมาแล้ว ของประมูลชิ้นสุดท้ายในงานครานี้ลึกลับพอสมควร ไม่เพียงแต่ทุกท่านเท่านั้น ทว่าพวกเราเองก็ไม่ทราบเช่นกันว่ามันคือสิ่งใด”

พิธีกรงานประมูลบนเวทีกล่าวด้วยสีหน้าซับซ้อน

ของประมูลชิ้นสุดท้ายแปลกประหลาดอย่างแท้จริง ก่อนหน้านี้โรงประมูลของพวกเขาก็พยายามศึกษาวิเคราะห์มันมานาน ทว่ายังไม่เคยทราบอย่างแน่ชัดว่ามันคือสิ่งใดกันแน่

แม้ว่ามันจะดูเหมือนวัตถุธรรมดาทั่วไป ทว่าต้นกำเนิดของมันก็วิเศษยิ่งนักและมันคงจะมิได้เป็นเพียงวัตถุธรรมดาทั่วไป

หากจะกล่าวว่ามันเป็นสมบัติที่ล้ำค่า ทว่าพวกเขาก็ไม่รู้สึกถึงความผันผวนของพลังใด ๆ

เพราะเหตุนั้น พวกเขาจึงไม่มีคำอธิบายเกี่ยวกับของประมูลชิ้นนี้ในรายการประมูลและทำได้เพียงเว้นว่างไว้

“ทุกคนน่าจะเข้าใจดีเมื่อได้ยินเกี่ยวกับมัน ดินแดนมหาเทพของเรามีสถานที่ที่น่าสะพรึงกลัวและวิเศษมากแห่งหนึ่ง…นั่นก็คือสมรภูมิรบโบราณ ซึ่งวัตถุชิ้นนี้ก็มาจากสมรภูมิรบโบราณแห่งนั้นนั่นเอง”

พิธีกรแนะนำต่ออีกประโยคหนึ่งและบรรยากาศของทั้งโรงประมูลก็เริ่มคุกรุ่นขึ้นทันที

‘สมรภูมิรบโบราณ’ คือสถานที่หนึ่งในดินแดนมหาเทพที่ทุกคนเฝ้าปรารถนาและหวาดหวั่นในเวลาเดียวกัน

จากตำนานกล่าวขานกันมา สมรภูมิรบโบราณคือจุดทำสงครามสุดท้ายระหว่างเทพและปีศาจเมื่อหลายหมื่นปีก่อนและผู้แกร่งกล้ามากมายนับไม่ถ้วนต้องล้มตายไป ในสมรภูมิรบโบราณนั้นเต็มไปด้วยสมบัติล้ำค่าและมีโอกาสที่ยิ่งใหญ่ให้ไขว่คว้ามากมาย เพียงแต่มันเป็นสถานที่ที่อันตรายอย่างที่สุดและเต็มไปด้วยภัยร้ายต่าง ๆ นานา กล่าวกันว่าผู้ที่เข้าไปในสมรภูมิรบโบราณมีโอกาสรอดชีวิตเพียงน้อยนิดเท่านั้น เมื่อมากกว่าพันปีก่อน มีผู้คนจำนวนมากของดินแดนมหาเทพที่เข้าไปในสมรภูมิรบโบราณและเหลือเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่รอดชีวิตกลับออกมา และในบันทึกนั้นระบุว่ามีเพียงสามคนเท่านั้น

สองคนในนั้นกลายเป็นจอมยุทธ์ที่แข็งแกร่งที่สุดของดินแดนซึ่งเป็นผู้ก่อตั้งสำนักเมฆาครามและสำนักเบิกภูผา ส่วนคนที่เหลือคนสุดท้ายนั้น หลังออกมาจากสมรภูมิรบโบราณ เขาก็หายตัวไปและไม่มีผู้ใดทราบข่าวคราวของเขาอีกเลย

เพราะเหตุนั้น ในเมื่อของประมูลนี้มาจากสมรภูมิรบแห่งนั้น มันจะต้องมิใช่ของธรรมดาอย่างแน่นอน ต่อให้โรงประมูลไม่สามารถระบุข้อมูลเกี่ยวกับมันได้อย่างแน่ชัด มันก็ยังสร้างบรรยากาศความฮือฮาในโรงประมูลได้

พิธีกรปรบมือส่งสัญญาณเล็กน้อยและกล่องขนาดใหญ่จะถูกนำออกมา

กล่องใบนี้มีขนาดเท่ากับคนสามคนและคลุมด้วยผ้าสีแดงซึ่งดูลึกลับยิ่งนัก

บุรุษหนุ่มสองคนวางกล่องลงถัดจากพิธีกรบนแท่นสูงก่อนถอยหลังกลับไป

จากนั้น พิธีกรก็เปิดผ้าสีแดงและเปิดกล่องใบนั้นเพื่อเผยสิ่งที่อยู่ภายในต่อหน้าทุกคน

ภายในกล่องไม่มีแสงประกายใดส่องออกมาและสิ่งที่อยู่ในนั้นคือหินก้อนขนาดใหญ่ที่ไร้ความผันผวนของพลังใด ๆ

“ในเมื่อถูกนำออกมาจากสมรภูมิรบโบราณ ก้อนหินก้อนนี้ก็ย่อมไม่ธรรมดาอย่างแน่นอน”

ทุกคนมีสีหน้าผิดหวังทันทีที่เห็นสิ่งที่อยู่ภายในกล่อง พิธีกรหน้าเจื่อนลงเล็กน้อยและฝืนยิ้ม ทว่ายังมีหลายคนที่ไม่คิดเช่นนั้น

มันดูเหมือนก้อนหินธรรมดาก้อนหนึ่งที่ถูกนำออกมาจากสมรภูมิรบโบราณ

“มันคือก้อนหินจริงๆ ทว่ามิใช่ก้อนหินธรรมดา ผู้เฒ่าติงของศูนย์การค้าจ้าวสมุทรเคยทดสอบมันมาก่อนแล้ว แม้ใช้พลังอำนาจอย่างเต็มที่ เขาก็ทำให้หินก้อนนี้แตกไม่ได้ หากผู้ใดไม่เชื่อก็เชิญขึ้นมาทดสอบด้วยตนเองได้เลยขอรับ หากทำได้สำเร็จ โรงประมูลของเราจะมอบหินก้อนนี้ให้ท่านเป็นของกำนัล”

พิธีกรไม่ได้แสดงสีหน้าไม่พอใจใด ๆ ทว่ากล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงที่มั่นใจอย่างเต็มเปี่ยม

ทุกคนทราบถึงความแข็งแกร่งของผู้เฒ่าติงเป็นอย่างดี ในเมื่อแม้แต่เขาเองก็ทำลายหินก้อนนี้ไม่ได้ ไม่ว่าผู้ใดในที่แห่งนี้ก็คงจะทำไม่ได้เช่นกัน

“หรือว่ามันจะเป็นหินมายาที่แอบแฝงไปด้วยพลังมายาที่ทรงพลัง ?”

ใครคนหนึ่งกล่าวขึ้นมา ในเมื่อมันมิใช่หินทั่วไปและแข็งแกร่งทนทานอย่างยิ่ง เช่นนั้นแล้วหินก้อนใหญ่นี้ก็อาจเป็นหินมายาที่ซ่อนเร้นพลังที่แกร่งกล้าเอาไว้ ตราบใดที่ผู้ใดไขปริศนาเกี่ยวกับมันได้ คนผู้นั้นก็จะได้รับพลังมายาปริมาณมหาศาลจากข้างในและความแข็งแกร่งก็จะพัฒนาขึ้นมากอย่างแน่นอน

“คงจะมิใช่หรอก ไม่ว่าจะมองอย่างไร มันก็ดูเหมือนก้อนหินธรรมดาก้อนหนึ่ง”

ใครคนหนึ่งพยายามมองอย่างพิจารณาและรู้สึกว่ามันเป็นเพียงหินธรรมดาก้อนหนึ่ง ทว่าเขาก็อดที่จะโบกมือและแผ่พลังมายาออกไปยังหินก้อนนั้นไม่ได้

อย่างไรก็ตาม ก้อนหินก้อนนั้นกลับไม่มีปฏิกิริยาใด ๆ และไม่สะทกสะท้านแม้แต่น้อย ราวกับว่าพลังมายาของเขาถูกดูดกลืนเข้าไปในนั้นและหายไปอย่างไร้ร่องรอย

เมื่อเห็นเช่นนี้ ทุกคนก็ประหลาดใจมากยิ่งขึ้นและความสงสัยใคร่รู้เกี่ยวกับมันก็เพิ่มมากขึ้นเช่นกัน

สิ่งที่ได้มาจากสมรภูมิรบโบราณคงจะเป็นสิ่งที่ล้ำค่าจริง ๆ

“แม่นางอวี้โม่ ข้าเองก็ไม่ทราบว่าก้อนหินนั่นคือสิ่งใดกันแน่ แม้จะกล่าวกันว่ามันเป็นสมบัติที่ล้ำค่า ทว่าเราก็เคยพยายามสืบข้อมูลเกี่ยวกับมันและไม่พบข้อมูลมากนัก แม้ว่ามันจะดูธรรมดาทว่ามันก็มีความประหลาดบางอย่าง ถึงอย่างไรก้อนหินธรรมดาทั่วไปก็ไม่มีทางที่จะดูดกลืนพลังมายาเข้าไปได้ หลังจากที่บรรดาสมาชิกภายในตระกูลหารือกัน เราก็ตัดสินใจที่จะนำมันมาแสดงในงานประมูลครานี้เพื่อหาคนที่จะไขปริศนาความลับของมันได้”

ภายในห้อง หลานเผิงอธิบายกับฉินอวี้โม่โดยตรง

สำหรับหินก้อนนี้ ตระกูลหลานของพวกเขาได้รับมันมานานแล้ว สิ่งที่มั่นใจได้เลยคือมันมาจากสมรภูมิรบโบราณจริงและมิใช่ก้อนหินธรรมดา ส่วนปริศนาที่ซ่อนอยู่นั้น ตระกูลหลานก็ไม่อาจยืนยันสิ่งใดได้เลย

พวกเขาจึงตัดสินใจนำมันมาแสดงในงานประมูลนี้ หากผู้ใดสามารถไขปริศนาของมันได้ก็จะได้รับก้อนหินลึกลับนี้ไปครอง

ตระกูลหลานร่ำรวยมั่งคั่งและไม่สนใจสิ่งอื่นใด พวกเขาเพียงสงสัยใคร่รู้เท่านั้นว่าความลับที่ซ่อนอยู่ในก้อนหินนี้คืออะไร

“ราคาเริ่มต้นประมูลจะอยู่ที่หนึ่งแก่นหินวิญญาณเท่านั้น ทุกท่านสามารถเพิ่มราคาได้ตามความพึงพอใจ”

พิธีกรประกาศเปิดราคาประมูลและทำให้ทุกคนตกตะลึงทันที

พวกเขาไม่คาดคิดเลยว่าสิ่งที่ดูเหมือนก้อนหินธรรมดา ๆ จากสมรภูมิรบโบราณและอัดแน่นไปด้วยพลังประหลาดจะถูกตั้งราคาเริ่มต้นเพียงหนึ่งแก่นหินวิญญาณเท่านั้น เมื่อเปรียบเทียบกับของประมูลชิ้นอื่น ๆ ก่อนหน้า หินก้อนนี้จะด้อยค่ากว่าได้อย่างไร

“ข้าเสนอหนึ่งหมื่นแก่นหินวิญญาณ !”

ใครคนหนึ่งอดตะโกนราคาออกไปไม่ได้ ต่อให้ดูเหมือนก้อนหินธรรมดาก้อนหนึ่ง ทว่าในเมื่อมาจากสถานที่ที่พิเศษอย่างสมรภูมิรบโบราณ หากประมูลมันได้ไป เขาก็ยินดีจ่ายในราคานี้

“หนึ่งหมื่น ? เจ้าฝันไปรึไง ? ข้าจะจ่ายหนึ่งแสน !”

ใครอีกคนหนึ่งกล่าวขึ้นอย่างรวดเร็ว ต่อให้จะเป็นเพียงก้อนหินธรรมดาจากสมรภูมิรบโบราณ การจ่ายหนึ่งแสนแก่นหินวิญญาณก็ยังถือว่าคุ้มค่า ยิ่งไปกว่านั้น ด้วยจำนวนผู้คนมากมายในที่แห่งนี้ ราคาของก้อนหินก้อนนี้จะต้องไม่ต่ำกว่าหนึ่งล้านแก่นหินวิญญาณอย่างแน่นอน

“สองแสน…”

“สามแสน !”

“สี่แสน !”

…..

ราคาของก้อนหินประหลาดเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง เห็นได้ชัดว่ามีคนต้องการก้อนหินธรรมดาก้อนนี้เป็นจำนวนมากทีเดียว

เพียงแค่คำว่า ‘สมรภูมิรบโบราณ’ ก็มากพอที่จะทำให้พวกเขาเหล่านี้แข่งขันแย่งชิงกันได้แล้ว

ไม่นานนัก ราคาประมูลของมันก็เพิ่มสูงขึ้นจนถึงหนึ่งล้านแก่นหินวิญญาณและมีแนวโน้มว่าจะเพิ่มขึ้นต่อไป

ตระกูลใหญ่ ๆ ในห้องแยกบนชั้นที่สองยังไม่เสนอราคาออกมาและเพียงชมการประมูลต่อไปอย่างเงียบ ๆ

ฉินอวี้โม่ก็กวาดสายตามองไปรอบ ๆ อย่างใช้ความคิดและทราบดีว่าก้อนหินก้อนนี้จะต้องตกเป็นของหนึ่งในตระกูลใหญ่เหล่านี้อย่างแน่นอน

นางไม่สนใจก้อนหินตรงหน้าแม้แต่น้อย ทว่าสงสัยใคร่รู้เกี่ยวกับสมรภูมิรบโบราณในตำนานแห่งนั้น หลังจากพัฒนาความแข็งแกร่งมากพอและมีโอกาสที่เหมาะสม นางจะต้องไปที่สมรภูมิรบแห่งนั้นเพื่อสำรวจมันด้วยตัวเองอย่างแน่นอน เมื่อถึงตอนนั้น เชื่อว่านางจะได้สิ่งที่เป็นประโยชน์กลับมามากทีเดียว

การแข่งขันประมูลราคายังคงดำเนินต่อไปอย่างดุเดือด ภายในเวลาเพียงหนึ่งก้านธูป ราคาของมันก็พุ่งสูงถึงห้าล้านแก่นหินวิญญาณแล้วซึ่งมีมูลค่ามากกว่าของประมูลส่วนใหญ่ก่อนหน้านี้

“หกล้าน”

ภายในห้องหนึ่งบนชั้นที่สอง ในที่สุดโจวเฉียนก็อดไม่ได้และขานราคาออกไป

เขาเคยอ่านพบในตำรามาก่อนว่าทุกอย่างที่มาจากสมรภูมิรบโบราณล้วนมีคุณค่าในตัวมันเอง เพราะเหตุนั้นเขาจึงเชื่อว่าก้อนหินตรงหน้านี้น่าจะมีปริศนามากมายซ่อนไว้ หากไขปริศนาดังกล่าวได้สำเร็จ ความแข็งแกร่งของเขาก็อาจจะพัฒนาจนเหนือกว่าโจวปิ่งฮุย และในตอนนั้นทั้งตระกูลโจวก็จะตกอยู่ในกำมือของเขา

“เจ็ดล้าน !”

ทันทีที่สิ้นเสียงของโจวเฉียน เสียงของเฝิงรุ่ยเฉิงก็ดังขึ้นและการแข่งขันแย่งชิงของทั้งสองก็เริ่มต้นขึ้นอีกครั้ง