ตอนที่ 783 ความกระตือรือร้นของตระกูลโหรว

คุณหนูสี่ สตรีเปื้อนเลือด

ในงานประมูลก่อนหน้านี้ เจ้าตัวจิ๋วหายวับไปอย่างรวดเร็วโดยที่ฉินอวี้โม่ยังไม่ทันได้เห็นรูปลักษณ์ของมันอย่างชัดเจนนัก ทว่าตอนนี้เมื่อสิ่งมีชีวิตขนาดเล็กปรากฏตัวอีกครั้งบนไหล่ของตน นางก็มองเห็นมันได้อย่างชัดเจนขึ้น

เจ้าตัวจิ๋วมีหูแหลมและปีกสีทองอร่ามซึ่งดูสวยงามยิ่งนัก ดวงตากลมโตของมันเป็นประกายใสชัดและขนตาเรียงยาวเป็นแพสวยดูงดงาม โดยรวมแล้วรูปลักษณ์หน้าตาของมันไม่ต่างจากมนุษย์วัยเด็กเท่าใดนัก

ด้วยใบหน้าที่ขาวผ่อง มือและเท้าที่มีขนาดเล็กจนแทบมองไม่เห็น รวมถึงร่างกายที่ดูกลมโต ผู้ที่พบเห็นมันใกล้ๆคงอดยกนิ้วจิ้มร่างเล็ก ๆ ของมันไม่ได้

“จิ๊บจิ๊บ~”

เจ้าตัวน้อยจุมพิตประทับลงที่แก้มนวลของฉินอวี้โม่ก่อนบินไปรอบ ๆ ตัวนางด้วยท่าทางตื่นเต้น

ฉินอวี้โม่จึงจิ้มร่างเล็ก ๆ น่ารักของเจ้าตัวน้อยส่งผลให้มันหัวเราะคิกคักเบา ๆ

“ท่านแม่ โอกาสที่ยิ่งใหญ่ที่ว่านั่นหมายถึงเจ้าจิ๋วที่น่ารักนี่รึ ?”

หานอวี้มองดูสิ่งมีชีวิตร่างเล็กบินไปมากลางอากาศอย่างไม่ละสายตาและอดเอ่ยถามไม่ได้

เจ้าตัวน้อยตรงหน้าพวกมันเหมือนจะไม่มีอำนาจวิเศษใด ๆ และไม่อาจสัมผัสถึงความผันผวนของพลังมายาในร่างของมันแม้แต่น้อย มีเพียงแค่ความน่ารักน่าชังของมันเท่านั้นที่โดดเด่น แล้วโอกาสที่ยิ่งใหญ่ดังกล่าวคืออะไรกัน ?

“จิ๊บจิ๊บ~”

เจ้าตัวจิ๋วเข้าใจความหมายของหานอวี้และบินไปหยุดเหนือศีรษะของมังกรน้อยในร่างเด็กหนุ่มก่อนยื่นเท้าเล็ก ๆ เตะออกไปอย่างแรง

แน่นอนว่าเจ้าตัวน้อยนี้ไม่มีพลังใด ๆ และเท้าของมันที่เตะเข้าไปที่ศีรษะของหานอวี้ก็ราวกับเป็นการสะกิดก็ว่าได้

“จิ๊บจิ๊บ~”

เจ้าตัวจิ๋วก็บินลอยตัวไปตรงหน้าฉินอวี้โม่ขณะขยับมือขยับเท้าราวกับกำลังอธิบายบางสิ่งบางอย่าง น่าเสียดายที่ฉินอวี้โม่ไม่เข้าใจความหมายของมันแม้แต่น้อย

เมื่อเห็นฉินอวี้โม่ที่ไม่มีปฏิกิริยาใด เจ้าตัวน้อยก็แสดงสีหน้าผิดหวังอย่างเห็นได้ชัด ศีรษะเล็ก ๆ ของมันก้มต่ำลงด้วยท่าทางเศร้าใจเล็กน้อย

ฉินอวี้โม่ทำได้เพียงยักไหล่อย่างจนปัญญา นางไม่เข้าใจเลยจริงๆว่าเจ้าตัวจิ๋วกำลังพยายามสื่อสารสิ่งใด

หลังจากหยอกเย้ากับเจ้าตัวน้อยครู่ใหญ่ บุรุษใบ้ลึกลับก็กลับมาพร้อมกับเสี่ยวเฮยและอสูรตัวอื่น ๆ

เวลานี้บุรุษใบ้ที่มีร่างกายเปรอะเปื้อนสกปรกในตอนแรกก็ได้ชำระล้างร่างกายและสวมอาภรณ์ชุดใหม่จนดูสะอาดสะอ้านต่างไปจากเดิมมากและเผยให้เห็นใบหน้าอย่างชัดเจน สิ่งที่ฉินอวี้โม่คาดไม่ถึงเลยก็คือแท้ที่จริงแล้วบุรุษผู้นี้มีรูปลักษณ์ที่หล่อเหลาดูดีพอสมควร

ด้วยเครื่องหน้าที่ชัดเจน สันจมูกดุจดั่งคมกระบี่และผิวสีเข้มที่ไม่อาจบดบังความหล่อเหลาของเขา กอปรกับรูปร่างที่ดูดีสมบูรณ์แบบทำให้เขาดูหล่อเหลาอย่างแท้จริง เวลานี้นัยน์ตาสีโลหิตที่เคยน่ากลัวกลับเสริมให้เขาดูลึกลับน่าค้นหามากยิ่งขึ้น

“ว้าว ! ไม่คิดเลยว่าเจ้าจะรูปงามถึงเพียงนี้ !”

เสี่ยวม่านถึงกับอดกล่าวชมด้วยน้ำเสียงตื่นเต้นไม่ได้ ตลอดหลายปีที่ผ่านมา มันฝึกวิชาและบ่มเพาะพลังอยู่กับฉินอวี้โม่มาตลอด แม้ความแข็งแกร่งจะพัฒนาขึ้นมาก ทว่าลักษณะนิสัยของมันก็แทบจะไม่เปลี่ยนแปลง

บุรุษใบ้แผ่กลิ่นอายของบุรุษโตเต็มวัยได้โดยไม่ต้องพยายามและดึงดูดความสนใจของอสูรสาวอย่างเสี่ยวม่านได้อย่างง่ายดาย

บุรุษลึกลับก็สัมผัสได้ถึงความเป็นมิตรจากบรรดาอสูรมายาของฉินอวี้โม่และเผยรอยยิ้มเคอะเขินเล็ก ๆ ออกมา

รอยยิ้มของเด็กหนุ่มที่ปรากฏบนใบหน้าหล่อเหลาเต็มวัยของเขา แม้ดูเป็นส่วนประกอบที่น่าจะขัดกันไม่น้อย ทว่ามันกลับมีพลังดึงดูดอย่างประหลาดเมื่อประดับบนใบหน้าของเขาจนแม้แต่ฉินอวี้โม่ก็ยังตะลึงงันไปชั่วขณะ

“นี่มันมารร้าย ! พ่อมดเจ้าเสน่ห์ !”

ไป๋ฉี่ส่ายหน้าอย่างแรงพลางจินตนาการถึงตอนที่ตนจะมีเสน่ห์เช่นนี้ เดิมทีวิญญาณหนุ่มน้อยคิดว่าตนเองหล่อเหลามากแล้ว ทว่าเมื่อได้เห็นความหล่อเหลาของบุรุษโตเต็มวัยตรงหน้า ตอนนี้เขาก็นึกอยากเติบโตกลายเป็นผู้ใหญ่โดยเร็ว

“เจ้ามีชื่อว่าอะไรรึ ?”

ฉินอวี้โม่กล่าวถามเบา ๆ รูปลักษณ์ใบหน้าของบุรุษลึกลับทำให้นางรู้สึกคุ้นเคยอย่างประหลาดทว่านึกไม่ออกว่าเคยพบเห็นจากที่ใด จู่ ๆ นางก็เกิดความรู้สึกราวกับว่ามีภาพของบุรุษเช่นนี้อยู่ในส่วนลึกของจิตใจ ทว่ามันก็หายวับไปอย่างรวดเร็ว

บุรุษใบ้ส่ายหน้าทันทีและไม่มีความทรงจำเกี่ยวกับชื่อของตนเอง

“ถ้าอย่างนั้น จากวันนี้ไป ข้าจะเรียกเจ้าว่า ‘ฉินชิงเฉวียน’ ก็แล้วกัน !”

รอยยิ้มของบุรุษตรงหน้าดูปลอดโปร่งและใสซื่อซึ่งทำให้ฉินอวี้โม่นึกถึงน้ำพุใสและคิดชื่อดังกล่าวได้โดยอัตโนมัติ

ไม่ทราบเช่นกันว่าเพราะเหตุใด เมื่อกล่าวชื่อนั้นออกไป ความปั่นป่วนบางอย่างก็ผุดขึ้นในหัวใจของนางชั่วครู่หนึ่ง…

เมื่อได้ยินชื่อ ‘ฉินชิงเฉวียน’ บุรุษหนุ่มก็คลี่ยิ้มกว้างทันทีแสดงให้เห็นว่าเขาชอบชื่อดังกล่าวมาก

“ในอนาคตข้างหน้า เจ้าจะฝึกวิชาอยู่ในคฤหาสน์เฟิงหัวแห่งนี้ ข้าจะหาทางรักษาอาการบาดเจ็บของเจ้าและพยายามอย่างเต็มที่เพื่อทำให้เจ้ากลับกลายเป็นปกติ”

ฉินอวี้โม่สัมผัสได้ถึงร่องรอยของพลังรุนแรงภายในร่างของบุรุษใบ้ ทว่าอาจเป็นเพราะเกิดเรื่องบางอย่าง พลังดังกล่าวจึงถูกปิดผนึกไว้และไม่สามารถแสดงออกมาได้ ฉินชิงเฉวียนน่าจะเผชิญกับเรื่องเลวร้ายบางอย่างจนต้องลงเอยเช่นในปัจจุบัน หากวันหนึ่งที่ความทรงจำของเขากลับคืนมาและผนึกสลายไป ไม่อาจจินตนาการได้เลยว่ามันจะเป็นเรื่องดีหรือเรื่องร้าย…

ฉินชิงเฉวียนพยักศีรษะตอบรับทันทีและแสดงออกว่าชื่นชอบที่นี่อย่างเห็นได้ชัด

หลังจากใช้เวลาอยู่ในคฤหาสน์เฟิงหัวพักใหญ่ หลานเผิงก็กลับมาจากการเที่ยวชมรอบ ๆ คฤหาสน์เฟิงหัวก่อนที่ทั้งสองจะปรากฏตัวในโรงประมูลอีกครั้ง

กระแสของเวลาระหว่างคฤหาสน์เฟิงและโลกภายนอกแตกต่างกันพอสมควร ทั้งสองอาศัยอยู่ในคฤหาสน์เฟิงหัวเป็นเวลานาน ทว่าเวลาของโลกภายนอกเพิ่งผ่านไปเพียงสองก้านธูปเท่านั้น

เนื่องจากเป็นผู้ครอบครองป้ายจ้าวสมุทร ฉินอวี้โม่จึงไม่จำเป็นต้องจ่ายค่าของประมูลด้วยตัวเองและปล่อยให้คนของศูนย์การค้าจ้าวสมุทรทำการหักลบจำนวนแก่นหินวิญญาณจากป้ายจ้าวสมุทรโดยตรง ซึ่งธุรกรรมทางการเงินทั้งหมดก็ถือว่าเป็นอันสมบูรณ์

ในช่วงเย็นของวัน หลังจากได้ออกไปเลือกซื้อของที่ชื่นชอบและสนใจในราคาพิเศษ ฉื่อไท่หลางและคนอื่น ๆ ก็กลับมาพร้อมกันด้วยสีหน้าพึงพอใจ

“ลูกพี่อวี้โม่ ขอบคุณท่านมาก”

เมื่อมาถึงโรงเตี๊ยม ฉื่อไท่หลางกล่าวขอบคุณฉินอวี้โม่จากใจจริง หากมิใช่เพราะนาง พวกเขาคงไม่มีโอกาสได้เข้าร่วมงานประมูลครั้งใหญ่เช่นนี้แน่ อีกทั้งคนของศูนย์การค้าจ้าวสมุทรก็คงไม่ขายสมบัติล้ำค่าที่ไม่เคยพบเห็นในอำเภอซ่างหยวนให้กับพวกเขาในราคาถูกอย่างไม่น่าเชื่อ

ฉินอวี้โม่เพียงยิ้มตอบโดยไม่กล่าวสิ่งใด ฉื่อไท่หลางและคนอื่น ๆ ถือเป็นสหายกลุ่มแรกที่นางสนิทสนมด้วยนับตั้งแต่มาที่ดินแดนมหาเทพและพวกเขาก็เป็นสหายที่นางไว้วางใจอย่างมาก สำหรับหลายสิ่งหลายอย่างที่เกิดขึ้น พวกเขาไม่จำเป็นต้องกล่าวขอบคุณด้วยซ้ำ

วันต่อมา ทุกคนก็ตื่นลืมตาขึ้นมาตามเวลาธรรมชาติของตนเองและเตรียมความพร้อมก่อนมุ่งหน้าไปยังจวนตระกูลโหรวด้วยกัน

จวนตระกูลโหรว—หนึ่งในสี่ตระกูลใหญ่ของเมืองเทียนหยวนตั้งอยู่ในทางทิศตะวันตกของเมืองเทียนหยวน

จวนของสี่ตระกูลใหญ่แห่งเมืองเทียนหยวนตั้งอยู่ล้อมรอบจวนเจ้าเมืองและประจำอยู่ในทั้งสี่ทิศของเมืองซึ่งก็คือทิศเหนือ ทิศใต้ ทิศตะวันออกและทิศตะวันตก นอกจากนี้ พื้นที่ในบริเวณใกล้เคียงก็ล้วนอยู่ในเขตอำนาจการปกครองของแต่ละตระกูล

ทันทีที่ฉินอวี้โม่และคณะปรากฏตัวบนถนนที่มุ่งหน้าไปสู่ทิศตะวันตก คนจากตระกูลโหรวก็เข้ามาทักทายพวกนาง

“ไม่ทราบว่าท่านจอมยุทธ์ฉินอวี้โม่และสหายมากันกี่คนหรือขอรับ ?”

ผู้ที่มาต้อนรับคณะของฉินอวี้โม่คือพ่อบ้านของตระกูลโหรวและยังเป็นลุงรองของโหรวฉิงซึ่งมีนามว่า ‘โหรวอวิ๋น’

ตระกูลโหรวมิใช่ตระกูลที่ซับซ้อนวุ่นวายและมีจำนวนสมาชิกน้อยที่สุดในทั้งสี่ตระกูลใหญ่ แม้โหรวฉิงจะเป็นสตรี ทว่านางก็เป็นที่เคารพจากคนในตระกูลอย่างยิ่ง บุคคลสำคัญหลายคนในตระกูลโหรวมาจากรุ่นบิดาของโหรวฉิงซึ่งมีความสัมพันธ์ทางสายเลือดกับนางและมักที่จะยอมตามใจนางทุกอย่าง เพราะเหตุนั้น ไม่ว่าโหรวฉิงกล่าวสิ่งใดในจวนตระกูลก็จะไม่มีผู้ใดคัดค้านหรือปฏิเสธคำสั่งของนาง

“ข้ามาที่นี่ตามคำสั่งของท่านผู้นำเพื่อต้อนรับท่านทั้งหลายและนำทางไปที่จวนตระกูลโหรวขอรับ เชิญตามมาได้เลย”

พ่อบ้านกล่าวด้วยน้ำเสียงเคารพนอบน้อมและมองฉินอวี้โม่ด้วยแววตาจริงใจ

แม้ว่าเขาจะไม่ได้เข้าร่วมงานประมูลเมื่อวานนี้ ทว่าเมื่อโหรวฉิงกลับมาที่จวนตระกูลก็กล่าวชื่นชมฉินอวี้โม่อย่างไม่หยุดไม่หย่อน ไม่ว่าด้านความสง่างามหรือพรสวรรค์ความสามารถ ผู้นำตระกูลโหรวก็ชื่นชมฉินอวี้โม่ยิ่งนักและนั่นกระตุ้นความสนใจของทุกคนในตระกูลโหรวได้เป็นอย่างมาก

แท้จริงแล้วมีเพียงน้อยคนเท่านั้นที่จะได้รับการยอมรับจากโหรวฉิงเช่นนี้ และยิ่งเป็นคนรุ่นเยาว์ที่อายุน้อยกว่า มิใช่เรื่องง่ายเลยที่ใครสักคนจะได้รับคำชื่นชมเยินยอจากนางอย่างออกนอกหน้าเช่นฉินอวี้โม่ผู้นี้

ต้องกล่าวเลยว่ารูปลักษณ์ของฉินอวี้โม่ไม่ด้อยไปกว่าโหรวฉิงแม้แต่น้อย ด้วยรูปลักษณ์ที่สมบูรณ์แบบ กลิ่นอายความสูงส่งและเสน่ห์ดึงดูดใจที่ทำให้ทุกคนต้องการเข้าใกล้ เห็นได้ชัดว่าคุณสมบัติโดยรวมของฉินอวี้โม่ผู้นี้เหนือยิ่งกว่าโหรวฉิงมากนัก

แม้ความแข็งแกร่งของนางอยู่เพียงขอบเขตราชาเซียนครึ่งก้าว แต่กลิ่นอายที่แผ่ออกมาก็โดดเด่นจนยากที่จะละสายตา แม้เผชิญหน้ากับผู้ที่แข็งแกร่งกว่า กลิ่นอายความโดดเด่นของนางก็เหนือกว่าอย่างเห็นได้ชัด

“ขอบคุณเจ้าค่ะ”

ฉินอวี้โม่กล่าวขอบคุณโหรวอวิ๋นพร้อมรอยยิ้ม นางทราบดีว่าสถานะของคนผู้นี้ในตระกูลโหรวคงจะไม่ต่ำต้อยอย่างแน่นอน

“หลายคนในตระกูลโหรวของเราสงสัยใคร่รู้เกี่ยวกับจอมยุทธ์อวี้โม่อย่างยิ่งและอาจแสดงท่าทางกระตือรือร้นจนเกินไปสักหน่อย หวังว่าจอมยุทธ์อวี้โม่จะไม่รังเกียจนะขอรับ”

โหรวอวิ๋นกล่าวกับฉินอวี้โม่ว่าทุกคนในตระกูลโหรวได้ฟังข้อมูลจากโหรวฉิงและกระตือรือร้นกับการมาเยือนของนางอย่างมาก ผู้ที่โดดเด่นมากพรสวรรค์อย่างฉินอวี้โม่เป็นที่ต้อนรับของตระกูลโหรวอย่างแน่นอน

ฉินอวี้โม่คลี่ยิ้มโดยไม่กล่าวสิ่งใด อย่างไรก็ตาม นางสงสัยใคร่รู้เกี่ยวกับตระกูลโหรวขึ้นมา เห็นทีตระกูลอันดับสองของเมืองเทียนหยวนแห่งนี้จะแตกต่างไปจากที่ข้าคิดไว้มาก…

ขณะพูดคุยกันอย่างสบาย ๆ คนทั้งกลุ่มก็มาถึงหน้าประตูของจวนตระกูลโหรว

ในฐานะหนึ่งในสี่ตระกูลใหญ่ของเมืองเทียนหยวน แน่นอนว่าตระกูลโหรวมั่งคั่งร่ำรวยอย่างยิ่ง จวนตระกูลไม่ต่างจากพระราชวังขนาดย่อม ทั้งกำแพงสูงและประตูเคลือบสีแดงเงาใหม่เอี่ยมล้วนแสดงให้เห็นถึงความมั่งคั่งได้อย่างชัดเจน

หน้าประตูจวนในตอนนี้ โหรวฉิงผู้ซึ่งทราบข่าวแล้วจึงรีบมุ่งหน้ามารอต้อนรับพร้อมรอยยิ้ม

เมื่อเห็นฉินอวี้โม่และคณะเข้ามาใกล้ นางก็กล่าวทักทายพร้อมรอยยิ้มทันที

“เมื่อวานนี้ข้าเห็นใบหน้าของเจ้าไม่ชัดนัก เมื่อได้พบกันอีกครั้งในวันนี้ น้องอวี้โม่…พี่สาวผู้นี้รู้สึกละอายใจในตนเองขึ้นมาทันที”

เดิมทีโหรวฉิงมั่นใจในรูปลักษณ์งดงามของตนมาเสมอและเชื่อมั่นว่ายากที่จะมีผู้ใดเอาชนะตนได้ ทว่าเมื่อพบกับฉินอวี้โม่ผู้นี้ นางตระหนักได้ทันทีว่าก่อนหน้านี้นางมั่นใจในตัวเองมากเกินไป

ฉินอวี้โม่ไม่ด้อยกว่านางทั้งด้านรูปลักษณ์หรือการวางตัว ยิ่งไปกว่านั้น กลิ่นอายความลึกลับทว่าดึงดูดใจก็ทำให้ทุกคนต้องการเข้าใกล้ สตรีผู้มีคุณสมบัติเช่นนี้พบได้ยากยิ่งนัก แม้ทั้งดินแดนมหาเทพ เกรงว่าก็คงมีเพียงนางคนเดียวเท่านั้น แม้แต่ผู้นำนิกายหมื่นบุปผาก็คงด้อยกว่าฉินอวี้โม่พอสมควร

“ท่านพี่โหรวฉิงก็กล่าวเกินไปเจ้าค่ะ”

ฉินอวี้โม่ไม่ปฏิเสธวาจาของโหรวฉิงและกล่าวอย่างถ่อมตน นางสัมผัสได้ถึงความเป็นมิตรและความอ่อนโยนจากโหรวฉิง นางจึงยินดีผูกมิตรกับอีกฝ่าย

“เฮ้ น้องอวี้โม่ ข้ากำลังกล่าวความจริง หากข้าเป็นบุรุษ ข้าคงจะตามเกี้ยวพานเจ้าอย่างไม่ยอมแพ้แน่”

โหรวฉิงจับแขนฉินอวี้โม่อย่างสนิทสนมและกล่าวติดตลกทว่าความหมายของนางคือความจริงทั้งสิ้น

“ข้าเองก็คิดเช่นเดียวกันเมื่อได้พบท่านพี่เมื่อวานนี้เจ้าค่ะ”

ฉินอวี้โม่ตอบกลับอย่างจริงใจเช่นเดียวกันขณะผละออกจากอีกฝ่ายเล็กน้อย ความอบอุ่นและทรงเสน่ห์จากร่างของอีกฝ่ายทำให้นางรู้สึกประหม่าขึ้นมา เสน่ห์ดึงดูดใจของสตรีผู้นี้เป็นสิ่งที่ยากจะเทียบด้วยได้

“น้องอวี้โม่เอ๋ย เจ้าเองก็ช่างจ้อไม่น้อย ฮ่า ๆ ๆ ข้าชอบใจจริง ๆ”

โหรวฉิงยิ้มกว้างและกล่าวต่อ “เราเข้าไปข้างในกันเถอะ หากยังไม่รีบไปตอนนี้ เกรงว่าบุรุษทั้งสองคนจะใจร้อนและหนีกลับไปก็เป็นได้”

เฉินเซี่ยวลั่วและซ่างสี่ซานมาถึงก่อนหน้านี้แล้วและกำลังรออยู่ในลานกว้างของเรือน ด้วยลักษณะนิสัยของพวกเขา หากต้องรอต่อไป เกรงว่าผู้นำตระกูลทั้งสองคงอดทนรอไม่ไหวและรีบแยกย้ายกันกลับไป

ฉินอวี้โม่ก็เดินตามโหรวฉิงไปตามทางเพื่อไปยังเรือนกลางซึ่งเป็นเรือนของโหรวฉิงและนางก็ดึงดูดสายตาของผู้คนได้ตลอดทาง

บรรดาผู้คนที่พบในระหว่างทางล้วนมองตรงมาที่ฉินอวี้โม่อย่างไม่วางตา พวกเขาไม่เคยคิดเลยว่าจะมีสตรีใดที่ยืนเคียงข้างผู้นำตระกูลของตนได้โดยที่ไม่ถูกบดบังรัศมีเช่นนี้

หลังจากเดินตามทางมาเป็นระยะทางไกลพอสมควร ในที่สุดพวกนางก็มาถึงบริเวณลานกว้างของเรือน