ในจวนอ๋อง เมิ่งเชี่ยนโยวรีบไปที่เรือนของท่านอ๋องฉีกับพระชายาฉี แต่ไม่กล้าบอกตามตรง ได้แต่บอกว่า “มีเรื่องด่วนเจ้าค่ะ ข้ากับอี้เซวียนจะต้องไปจัดการ หลายวันถึงจะกลับเจ้าค่ะ”
พระชายาฉีกำลังจะเอ่ยปากถาม เมิ่งเชี่ยนโยวก็รีบออกไปเสียแล้ว พอเห็นหวงฝู่สือเมิ่งอยู่ในเรือน เลยบอกนางไปโดยไม่ปิดบังอะไร “มีการส่งสัญญาณเกิดขึ้น เย่ว์เอ๋อร์ถูกรับออกจากรัฐอิงแล้ว ข้ากับพ่อของเจ้าจะต้องออกไป ประมาณครึ่งเดือนถึงจะกลับ พอผ่านไปสิบวัน เจ้าค่อยบอกความจริงกับท่านปู่ท่านย่า ให้พวกท่านเตรียมเนื้อเตรียมใจเอาไว้ แล้วก็ เรื่องในจวนก็ยกให้เจ้าสองคนดูแล ตอนนี้ร่างกายของเจ้าไม่สะดวก ก็ให้อาเป่าช่วยแบ่งเบาภาระเจ้าไปก่อน”
เมื่อได้ยินว่าเกิดเรื่องขึ้นกับหวงฝู่เย่าเย่ว์ หวงฝู่สือเมิ่งถึงกับน้ำตาคลอ “ในจวนไม่ได้มีเรื่องอะไร ข้าไม่ได้เป็นอะไร ให้อาเป่าไปกับพวกท่านเถิดเจ้าค่ะ”
เยียลี่ว์อาเป่าลุกขึ้น แล้วพูดว่า “ให้ข้าไปกับพวกท่านเถิดขอรับ”
“ไม่ต้อง พวกเจ้าดูแลจวนให้ดีก็พอ”
หลังจากเมิ่งเชี่ยนโยวพูดเสร็จ ก็ออกไปที่เรือนของตนเองอย่างรวดเร็ว
จูหลีเตรียมพร้อมแล้ว เมิ่งเชี่ยนโยวจึงเดินออกไปด้านนอกอย่างรวดเร็ว
ตอนที่หวงฝู่อี้เซวียนมาถึงที่ประตูจวนนั้น เมิ่งเชี่ยนโยวก็รอเขาอยู่บนหลังม้าเรียบร้อยแล้ว เมื่อเห็นเขามาถึง ก็ควบม้าเข้าไป “ข้าได้เตรียมทุกอย่างไว้หมดแล้ว รีบไปกันเถอะ”
หวงฝู่อี้เซวียนจึงหันหัวม้ากลับทันที ทั้งสองคนออกนอกเมืองไป ส่วนโจวอันได้นำทหารองครักษ์สามร้อยนายมารอที่หน้าประตูเมืองตั้งนานแล้ว
ทั้งสองคนนำอยู่ด้านหน้า ชิงหลวนและจูหลีตามอยู่ด้านหลัง ส่วนโจวอันและทหารองครักษ์สามร้อยนายปิดท้าย คนกลุ่มหนึ่งมุ่งหน้าไปสู่ชายแดนอย่างอึกกระทึก
คนมากมายขนาดนี้ คึกโครมขนาดนี้ ไม่เพียงแต่ขุนนางทั้งหลายต่างได้ข่าว กระทั่งหวงฝู่ซวิ่นก็ได้รับรายงานแล้วเช่นกัน
หวงฝู่ซวิ่นขมวดคิ้วครุ่นคิด คนที่สามารถให้หวงฝู่อี้เซวียนกับเมิ่งเชี่ยนโยวพาทหารองครักษ์นับร้อยออกไปได้ นอกจากคนตระกูลเมิ่งแล้ว ก็เหลือแต่… … คิดถึงตรงนี้ ก็นึกขึ้นได้ว่า เกิดอันตรายขึ้นกับเย่ว์เอ๋อร์อย่างแน่นอน
จึงเรียกคนเข้ามา ออกคำสั่ง “เจ้าไปสืบมา ว่าเหตุใดซื่อจื่อกับซื่อจื่อเฟยถึงต้องออกนอกเมือง แล้วไปที่ใด”
หัวหน้าขันทีตอบรับ แล้วเดินออกไปอย่างรวดเร็ว
หวงฝู่ซวิ่นนั่งไม่ติดที่เสียแล้ว เดินไปเดินมาในห้อง ในใจได้แต่หวังว่าอย่าเกิดอะไรกับเย่ว์เอ๋อร์เลย ตอนนั้น ทั้งจวนของเสด็จอาต่างก็ไม่ยอม เป็นเพราะตนแท้ๆ ที่ฝืนจัดงานอภิเสกสมรสนี้ขึ้นมา หากเกิดอะไรขึ้นกับเย่ว์เอ๋อร์ล่ะก็ ต่อจากนี้เขาคงเข้าจวนอ๋องไม่ได้อีกเป็นแน่
กลัวอะไรมักจะได้เช่นนั้น แม้หัวหน้าขันทีจะสืบมาไม่ได้ว่าเป็นเรื่องอะไร แต่รู้ว่าหวงฝู่อี้เซวียนกับเมิ่งเชี่ยนโยวนั้นมุ่งหน้าไปที่ชายแดน จึงรีบกลับมารายงานทันที
หวงฝู่ซวิ่นฟังจบ ก็นั่งฟุบลงกับเก้าอี้ ภายในใจมีแต่ความหวาดระแวง
หลังจากที่อ๋องฉีกลับจวนมา ได้ฟังพระชายาฉีพูด สีหน้าก็เปลี่ยนเป็นไม่พอใจโดยทันที จึงสั่งให้คนตามหวงฝู่สือเมิ่งกับเยียลี่ว์อาเป่ามา ทั้งสองคนยังไม่ทันนั่งลง ก็ถามว่า “พูดมาเถอะ พ่อแม่ของเจ้าไปทำอะไร”
ทั้งสองคนมองหน้ากัน หวงฝู่สือเมิ่งมีท่าทีกังวล เยียลี่ว์อาเป่าเม้มปาก แล้วพูดออกมาว่า “เกิดเรื่องขึ้นกับน้องเย่ว์เอ๋อร์ขอรับ ท่านพ่อกับท่านแม่ไปรับนางกลับมา”
เพล้ง!
ถ้วยชาในมือของพระชายาฉีหล่นลงกับพื้น จนเกิดเสียงดังลั่น แล้วถาม “เย่ว์เอ๋อร์? เกิดเรื่องกับเย่ว์เอ๋อร์งั้นรึ”
หวงฝู่สือเมิ่งส่ายหน้า “ส่วนเรื่องราวเป็นมาอย่างไรพวกเราก็ไม่ทราบเจ้าค่ะ ท่านแม่ไม่ได้บอกไว้ บอกแต่ว่าประมาณสิบห้าวันถึงกลับ ให้พวกเราดูแลจวนให้ดีๆ เจ้าค่ะ”
พระชายาฉีมองท่านอ๋องฉี แล้วพูดขอร้องว่า “ท่านอ๋องเจ้าคะ พวกเรา… …”
ความหมายก็คือพวกเขาสองคนก็จะตามไปด้วย
ท่านอ๋องฉีนั่งนิ่งไม่ขยับ แล้วพูดออกมาด้วยความแน่วแน่ว่า “รอ!”
หลังจากนั้นหกวัน หวงฝู่อี้เซวียนและเมิ่งเชี่ยนโยวที่เดินทางทั้งวันทั้งคืนติดต่อกันไม่พัก ก็ได้เดินทางมาได้ครึ่งทางแล้ว ถ้าตามคาดการณ์ก็คงอีกสองสามวันถึงจะถึงชายแดน แต่ทุกคนก็เหนื่อยล้าเต็มทน เพราะร่างกายที่อยู่บนตัวม้า สั่นคลอนโอนเอนอยู่ตลอดเวลาขณะเดินทาง
เมื่อมองไปเห็นผู้คนที่เหนื่อยล้าอ่อนแรงด้านหลัง เมิ่งเชี่ยนโยวจึงกัดฟันออกคำสั่งว่า “พอถึงป่าด้านหน้า ให้พักครึ่งชั่วยามแล้วค่อยเดินทางต่อ”
ทุกคนรู้สึกถึงความโล่งในร่างกาย แล้วค่อยๆ ขี่ม้ามาที่ชายป่าด้านหน้า แทบจะกลิ้งลงจากม้า เดินโซเซไปหาต้นไม้ที่พอใจ แล้วทยอยกันนั่งพิงลงไปด้วยความเหนื่อยล้า
หวงฝู่อี้เซวียนกับเมิ่งเชี่ยนโยวลงจากหลังม้า แล้วปล่อยให้ม้าไปกินหญ้าในป่า ส่วนทั้งสองนั่งลงกับพื้น ด้วยสีหน้าที่เคร่งเครียด
แล้วก็มีเสียงเคลื่อนของรถม้าดังมาจากทางด้านหน้า ทำให้ทุกคนเงยหน้ามองไปพร้อมๆ กัน
เห็นเป็นทหารมากมายล้อมรอบรถม้าที่หรูหรากำลังแล่นเข้ามา ส่วนคนที่นำขบวนมาคือหลินจ้ง
หลินจ้งเห็นคนจำนวนมากนั่งอยู่ที่พื้น ก็เพ่งมองเข้ามา พอเห็นแน่ชัดแล้วว่าเป็นหวงฝู่อี้เซวียนและเมิ่งเชี่ยนโยว ก็ดีใจเป็นอย่างมาก รีบควบม้าเข้ามาอย่างเร็ว ลงจากม้า ทำความเคารพ “ซื่อจื่อ ซื่อจื่อเฟยขอรับ”
ทั้งสองคนยืนขึ้น
หวงฝู่อี้เซวียนพยักหน้า เมิ่งเชี่ยนโยวไม่รอช้า ถามว่า “ในรถม้านั้นคือเย่ว์เอ๋อร์ใช่หรือไม่”
“ขอรับ คือท่านหญิงน้อย… …”
พูดยังไม่ทันจบ ทั้งสองคนก็ไม่อยู่ตรงหน้าเสียแล้ว หวงฝู่อี้เซวียนและเมิ่งเชี่ยนโยวรีบมุ่งหน้าตรงไปที่รถม้าคันนั้นทันที
เหล่าทหารและคนรถก็หยุดลง
รู้สึกว่ารถม้าไม่แล่นต่อไป หมิงเย่ว์จึงเปิดม่านออก “อะไรกัน เหตุใด… …”
เมื่อเห็นทั้งสองคน จึงร้องตะโกนออกมาด้วยความดีใจ “ซื่อจื่อ ซื่อจื่อเฟยเจ้าคะ”
หวงฝู่เย่าเย่ว์ที่นอนอยู่ในรถม้าก็รู้สึกตัว น้ำตาไหลออกมา ตะเกียกตะกายจะลุกขึ้น
หมิงเย่ว์ได้ทำการเปิดม่านรถออกทั้งหมด ให้ทั้งสองคนได้เห็นสภาพภายใน
“ท่านพ่อ ท่านแม่”
หวงฝู่เย่าเย่ว์พูดออกมาด้วยเสียงแหบแห้ง
ลูกสาวที่อยู่ตรงหน้า สีหน้าซีดเซียว ร่างกายซูบผอม สีหน้าหม่นหมอง ไม่มีชีวิตชีวาเลยสักนิด ทั้งสองคนจึงใจไม่ดี
เมิ่งเชี่ยนโยวเดินขึ้นไปบนรถม้า โอบกอดหวงฝู่เย่าเย่ว์เอาไว้ แล้วพูดด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ “เย่ว์เอ๋อร์ กลับบ้านเรากันนะ”
ความโกรธแค้น ความเสียใจ ความไร้ที่พึ่ง หลังจากที่หวงฝู่เย่าเย่ว์ได้ฟังคำพูดของเมิ่งเชี่ยนโยวคำนี้เสร็จ ความรู้สึกเหล่านี้ที่นางเก็บเอาไว้ในใจก็พรั่งพรูออกมา ซุกเข้าไปที่อกของนาง แล้วร้องไห้ออกมา
เสียงร้องไห้ที่น่าสงสาร ไม่เพียงแต่ทำให้พวกหมิงเย่ว์ร้องไห้ไปตามๆ กัน ขนาดชิงหลวนและจูหลีที่ตามอยู่ด้านหลังและโจวอันหลินจ้ง ก็ขอบตาแดงเรื่อจะร้องไห้ด้วยเช่นกัน
หวงฝู่อี้เซวียนกำหมัดแน่น และใช้กำลังทั้งหมดที่มีในการบังคับตัวเองไม่ให้บุกไปฆ่าที่เมืองหลวงรัฐอิง โดยที่ไม่ต้องเอาทหารองครักษ์ไปสักคนก็ยังได้
ส่วนเมิ่งเชี่ยนโยวลูบหลังของหวงฝู่เย่าเย่ว์ด้วยสีหน้าที่ดุดัน และปลอบใจนางเหมือนปลอบใจเด็ก
เวลาหนึ่งก้านธูปผ่านไป หวงฝู่เย่าเย่ว์ถึงจะหยุดร้อง
เมิ่งเชี่ยนโยวหยิบผ้าเช็ดหน้าออกมา เช็ดน้ำตาให้นาง แล้วบอกให้พวกหมิงเย่ว์ไปเอาน้ำมา ให้หวงฝู่เย่าเย่ว์ดื่ม พยุงนางให้นอนลง แล้วเอามือจับที่ชีพจรของนาง
จับอยู่นาน เส้นเลือดที่หน้าผากก็ปูดขึ้น แล้วสบถด่าออกมาว่า “ไอ้เดรัจฉาน!”
แล้วหันหลังลงจากรถม้า
หวงฝู่เย่าเย่ว์ดึงนางเอาไว้ได้ แล้วส่ายหน้า แล้วพูดด้วยน้ำเสียงอ้อนวอน “ท่านแม่ พวกเรากลับจวนกันเถอะ ข้าอยากกลับจวน”
ตอนพูด น้ำตาก็ไหลเป็นทาง
จากที่จับชีพจร ก็จะรู้ได้ว่าหวงฝู่เย่าเย่ว์นั้นแท้งลูกมาได้ไม่เกินหนึ่งเดือน ยังคงต้องพักรักษาตัว หากเอาแต่ร้องไห้ ก็จะส่งผลเสียต่อดวงตาของนาง เมิ่งเชี่ยนโยวจึงหันไปเช็ดน้ำตาให้นาง แล้วพูดกับหวงฝู่อี้เซวียนว่า “หาหมู่บ้านเล็กๆ พักเสียก่อน พ้นสามวันค่อยเดินทางต่อ”
ตอนที่เริ่มออกเดินทางจากชายแดน หลินจ้งถามหวงฝู่เย่าเย่ว์แล้ว ว่าต้องการยาอันใดหรือไม่ เพื่อใช้กินระหว่างทาง แต่หวงฝู่เย่าเย่ว์ปฏิเสธ ดังนั้น นอกจากยาที่กินวันแรกแล้ว ต่อจากนั้นมาก็ไม่ได้กินอีกเลย ร่างกายของหวงฝู่เย่าเย่ว์กำลังทรุดหนัก ถ้าหากเดินทางต่อล่ะก็ เกรงว่าหลังจากนี้นางคงมีลูกยาก
แม้หวงฝู่อี้เซวียนจะไม่รู้ว่าหวงฝู่เย่าเย่ว์เป็นอะไรไป แต่พอเห็นสีหน้าของนาง ก็รู้ว่าอาการหนักพอควร เลยบอกให้ทหารองครักษ์หันหลัง กลับไปที่หมู่บ้านเล็กๆ ที่ผ่านมาเมื่อครู่นี้
เมื่อไม่ได้มีคำสั่ง หลินจ้งเลยไม่กล้าพาทหารกลับชายแดน จึงนำทหารมาที่ด้านนอกของหมู่บ้านด้วยเช่นกัน
ทหารและองครักษ์ทั้งหมดอยู่ด้านนอก ส่วนที่เหลือเข้าไปด้านในหมูบ้าน หาโรงเตี๊ยม แล้วเข้าพำนัก
พาหวงฝู่เย่าเย่ว์เข้าพักเรียบร้อย เมิ่งเชี่ยนโยวสั่งให้ชิงหลวนไปหาเถ้าแก่ เอากระดาษพู่กันมา แล้วเขียนใบสั่งยายื่นให้นาง “ไปเอายามาสามชุด แล้วเจ้าต้องไปดูตอนต้มด้วยตนเอง”
ชิงหลวนนำใบสั่งยาแล้วออกไปทันที
หวงฝู่อี้เซวียนอยู่อีกห้องหนึ่ง เรียกหลินจ้งเข้ามาถาม
หลินจ้งก็ไม่ทราบที่มาที่ไปแน่ชัด ได้แต่บอกว่า ตนได้รับรายงานจากทหารตอนกลางดึก จึงนำทหารไปที่เมืองหลวงของรัฐอิง รับหวงฝู่เย่าเย่ว์ออกมา
หวงฝู่อี้เซวียนขมวดคิ้วแล้วโบกมือให้หลินจ้งออกไป