ตอนที่ 1912 โอสถครองวิญญาณผสานเต๋า

Unrivaled Medicine God – จอมเทพโอสถ

เย่หยวนรู้สึกได้ว่าหรงซีเยว่คนนี้นั้นไม่ธรรมดา

วิชายั่วยวนที่แปลกประหลาดเช่นนี้ เย่หยวนแทบไม่เคยพบเคยเจอมาก่อนในชีวิต

หากนางนั้นใช้พลังออกมาจนสุดตัวคนอย่างหยูจินซงย่อมจะไม่มีทางป้องกันมันได้ง่ายๆ แน่

เพียงแค่ว่าเบื้องหลังหยูจินซงเองก็มีเทพถ่องแท้อยู่ ทำให้หรงซีเยว่ไม่กล้าจะทำอะไรออกไปอย่างสุดกำลัง

“เช่นนั้น…ทำไมท่านจึงจะยังหลอมโอสถให้นางอีกเล่า?” หนิงเทียนปิงถามขึ้นด้วยความมึนงง

เพราะเขานั้นไม่เคยเห็นท่าทางคิดหนักของเย่หยวนขนาดนี้มาก่อนจึงทำให้เขามึนงงอย่างมาก

เมื่อเย่หยวนพบเจอกับเหล่าเทพถ่องแท้ทั้งหลาย เขายังมีสีหน้าเรียบเฉยได้

“หญิงคนนี้มันไม่ธรรมดา หอยอดดอกนั้นเองก็คงเช่นกัน ดูท่าที่พวกนั้นส่งหรงซีเยว่มามันคงเป็นเพราะพวกเขายังไม่อยากตัดสายสัมพันธ์ทั้งหลายกับเราทิ้ง และแน่นอนว่าตอนนี้เราเองก็ไม่อาจเทียบเคียงกับฝั่งนั้นได้ เพราะฉะนั้นสิ่งที่เราทำได้ก็คือการทำเรื่องราวของตัวเองไปไม่ยุ่งเกี่ยวกันจะดีที่สุด” เย่หยวนบอก

เพราะหอยอดดอกนั้นมันทำให้เย่หยวนรู้สึกได้ถึงความลึกลับอย่างอธิบายไม่ถูก

เทียบกับหยูเหวินเฟิงและคนอื่นๆ แล้วทางเจ้าหอยอดดอกนั้นมีพลังฝีมือที่ไม่อาจวัดคาดได้

แต่การใช้โอกาสนี้รีดไถราคาสูงได้มันก็ทำให้เย่หยวนดีใจอยู่ไม่น้อยเช่นกัน

การเดินทางกลับครั้งนี้หรงซีเยว่ระวังตัวเป็นอย่างมาก

นางได้ใช้วิชาลับเพื่อเปลี่ยนคลื่นชีวิตในกายทำให้นางดูเหมือนคนผ่านทางทั่วๆ ไปมากขึ้น

เย่หยวนนั้นไม่ได้ส่งคนมาตามดูนาง แต่มันก็เป็นเพราะแบบนั้นที่ทำให้นางกังวลและระวังตัวมากขึ้น

เมื่อกลับมาถึงที่พักนางก็รีบปิดประตูหน้าต่างลงก่อนจะเกิดส่องลำหนึ่งส่องออกมาจากร่างของหรงซีเยว่

นางพูดพึมพำเล็กน้อยก่อนที่จุดแสงเหล่านั้นจะส่องสว่างขึ้นไปจนทั่วทั้งที่พักของนาง

จากนั้นก็มีแสงสายสีเหลืองพุ่งพวยออกมาจากหน้าผากของนางกลายเป็นร่างของชายชุดดำผู้หนึ่งนั่งลงตรงข้ามกับนาง

หากตอนนี้เย่หยวนอยู่ด้วยเขาคงบอกได้ทันทีว่านี่คือเจ้าหอยอดดอกอย่างไม่ต้องสงสัย

“คารวะท่านผู้พิทักษ์คูมู่”

หรงซีเยว่ก้มหัวลงต่อหน้าชายชุดดำ

ชายชุดดำพยักหน้ารับออกมาก่อนจะบอก “เด็กคนนี้มันไม่ธรรมดาจริงๆ!”

ดวงตางามๆ ของหรงซีเยว่ปรากฏแววตื่นตกใจขึ้นทันทีที่ได้ยิน “แม้แต่ท่านผู้พิทักษ์คูมู่เองก็ยังไม่อาจเทียบเขาได้?”

ชายชุดดำตอบ “ข้านั้นได้เฝ้ามองเขามาตลอด แต่ไม่รู้ทำไมข้าจึงรู้สึกแปลกๆ ขึ้นมาในใจ รู้สึกว่าหากข้าปล่อยจิตของตนออกจากหน้าผากเจ้าแล้วมันคงต้องถูกเขาลบล้างลงแน่!”

หรงซีเยว่หน้าถอดสีทันทีที่ได้ยิน “วิชาฝันเทพของข้าเองก็ไม่สามารถทำอะไรแก่เขาได้เลยแม้แต่น้อย นี่เป็นครั้งแรกเลยที่ข้าเจอคนเช่นนี้! ก่อนๆ มาแม้แต่เทพถ่องแท้ก็ยังไม่อาจหลบพ้นจากผลของมันได้จนสิ้น”

วิชาฝันเทพของหรงซีเยว่นั้นแตกต่างจากศาสตร์การยั่วยวนอื่นๆ มาก

เพราะนี่มิใช่วิชาที่ปั่นป่วนจิตศักดิ์สิทธิ์ของอีกฝ่าย แต่เป็นวิชาที่จะปั่นป่วนประสาทสัมผัสที่เกิดขึ้นรอบๆ จิตศักดิ์สิทธิ์แทนทำให้มันเป็นการยากมากที่จะตรวจสอบ

ตราบเท่าที่นางไม่ได้คิดจะเข้าไปจับจิตศักดิ์สิทธิ์ของอีกฝ่ายตรงๆ มันย่อมไม่มีทางใดที่อีกฝ่ายจะสามารถรู้ตัวได้

ตั้งแต่ที่หรงซีเยว่เรียนรู้มันมา นางก็ไม่เคยจะพลาดมาก่อน

ไม่นึกไม่ฝันว่าวันนี้เย่หยวนกลับสามารถทำลายมันลงได้อย่างสิ้นเชิง

“เดิมทีข้ายังคิดจะตรวจสอบเบื้องหลังของเขาอย่างจริงจังแต่ดูท่าแล้ว เด็กคนนี้มันอาจจะเป็นปัญหามากกว่าที่ข้าคาดคิด!” เสียงของคูมู่นั้นแฝงมาด้วยความหนักใจไม่น้อย

หรงซีเยว่ขมวดคิ้วแน่น “เขานั้นยื่นข้อเสนอมา บอกว่าจะหลอมโอสถให้เราในราคาห้าเท่าของที่อีกสองพวกจ่าย! ผู้พิทักษ์คูมู่ ท่านว่า… เราทำอย่างไรดี?”

ชายชุดดำเงียบไปพักหนึ่งก่อนจะบอก “ตกลงไป! เด็กคนนี้มันมีพลังพอจะมายุ่งแผนการของเราได้ ตอนนี้เมื่อเขาไม่คิดยุ่ง มันก็ย่อมจะดีที่สุดแล้ว ตราบเท่าที่เขาไม่เข้ามายุ่งเกี่ยวกับเรื่องราว เราก็จะไม่ไปหาเรื่องเขาด้วย เราจะยอมก้มหัวให้เขาหน่อยก็ไม่เป็นไร ทุกสิ่งอย่างก็เพื่อแผนการอันยิ่งใหญ่”

หรงซีเยว่ก้มหัวลงพร้อมรับปาก “ซีเยว่เข้าใจแล้ว”

การขายโอสถให้ทั้งสามพวกนั้นทำให้เย่หยวนได้กำไรมามากมาย

นอกจากนั้นแล้วตอนนี้เรื่องราวของเมืองสันเขาใต้มันก็ได้กระจายไปจนถึงเมืองหลวงจักรพรรดิเก้ามั่นจนทั่วแล้ว

เรื่องที่ว่าเมืองสันเขาใต้นั้นแยกตัวเป็นอิสระได้ประกาศกระจายออกไปทุกทิศ

แต่แน่นอนว่าเนื้อข่าวที่สำคัญที่สุดก็คือความสามารถในทางโอสถของเย่หยวน!

เหล่านภาสวรรค์จากเมืองจักรพรรดิขั้นกลางและขั้นสูงต่างออกเดินทางอย่างไม่คิดลังเล

จอมเทพโอสถห้าดาวที่สามารถหลอมโอสถได้ถึงขั้นเทวะวิญญาณไพศาลมันย่อมต้องเป็นที่ต้องการของทุกผู้คนในเขตแดนเมืองหลวงจักรพรรดิเก้ามั่น

ตอนนี้มิใช่แค่เหล่านักยุทธนภาสวรรค์ที่มายังเมืองจักรพรรดิอินทรีสวรรค์ แต่เหล่านักหลอมโอสถทั้งหลายเองก็ตามๆ กันมายังเมืองจักรพรรดิอินทรีสวรรค์ด้วยเช่นกัน

เพราะตอนนี้เหล่าจอมเทพโอสถแห่งหอโอสถนั้นรวมไปถึงซวนอี้ต่างได้รับการฝึกฝนสั่งสอนจากเย่หยวนมาก่อน หลังผ่านเวลาการฝึกฝนไปหลายต่อหลายปีมันย่อมทำให้ฝีมือของพวกเขานั้นเหนือล้ำกว่าที่เคยเป็นอย่างมหาศาล

โดยเฉพาะอย่างยิ่งหนิงซืออวี๋แห่งตระกูลหนิง นางนั้นมีพรสวรรค์ที่เหนือล้ำจนกลายเป็นจอมเทพโอสถสี่ดาวที่ชื่อก้องไปทั่ว

เมื่อรวมเข้ากับความเก่งกาจและชื่อเสียงของเย่หยวน มันจึงทำให้ตอนนี้เมืองจักรพรรดิอินทรีสวรรค์ได้กลายเป็นแดนศักดิ์สิทธิ์แห่งนักหลอมโอสถไป

หลังจากเรื่องราวของสิบเมืองสันเขาใต้สงบลง เวลามันก็ผ่านไปได้นับปี

ในเวลาหนึ่งปีนี้เย่หยวนเองก็ได้บรรลุขึ้นสู่อาณาจักรลายพระเจ้าหกดาวแล้วด้วย

แน่นอนว่าด้วยโอสถวิเศษของเย่หยวนนั้นทางเมืองจักรพรรดิอินทรีสวรรค์ก็ได้ให้กำเนิดนักยุทธนภาสวรรค์ขึ้นมามากมายด้วย

ตอนนี้พลังของเมืองจักรพรรดิอินทรีสวรรค์นั้นมันได้พุ่งทะยานขึ้นไปจนสูงกว่าเหล่าเมืองจักรพรรดิขั้นสูงหลายๆ เมืองแล้ว

แต่ทว่ายิ่งพลังของทุกผู้คนเพิ่มสูงมากขึ้น ไป๋เฉินก็ยิ่งรู้สึกอึดอัดที่จะอยู่ต่อไป

เขาได้รู้ว่าทุกคนที่ติดตามเย่หยวนนั้นต่างพัฒนาฝีมือตนได้อย่างไม่น่าเชื่อ มีเพียงแค่เขาเท่านั้นที่ยังยืนอยู่ที่เดิมไม่ไปไหน

ในเมืองจักรพรรดิอื่นๆ เหล่านักยุทธทั้งหลายต่างใช้เวลาบ่มเพาะอย่างมากมาย กว่าจะพัฒนาตนได้มันก็ต้องใช้เวลานับหมื่นๆ ปี

แต่ในเมืองจักรพรรดิอินทรีสวรรค์นี้หมื่นปีมันนานจนเกินไป ทุกผู้คนต่างใช้เวลาทุกนาทีเพื่อแข็งแกร่งขึ้น!

ด้วยโอสถระดับสูงทั้งหลายนั้นมันย่อมทำให้ความเร็วในการบ่มเพาะของทุกผู้คนเพิ่มสูงขึ้น

ทุกๆ วันไป๋เฉินรู้สึกราวกับกำลังถูกทรมาน

ในเวลาหนึ่งปีมานี้ ไป๋เฉินเองก็ได้สนิทสนมกับหนิงเทียนปิงและคนอื่นๆ รอบกายเย่หยวนมากขึ้น

เว้นเสียแต่ว่าสุดท้ายเขาก็ไม่อาจเข้าสังคมกับคนทั้งหลายได้

มันไม่ใช่เพราะทุกคนเกลียดชังเขาหรืออะไรเช่นนั้น แต่เป็นเพราะทุกคนรู้ดีว่าพวกเขาคงอยู่ด้วยกันได้ไม่นาน

หากทุกผู้คนยังพัฒนาตนอย่างรวดเร็วเช่นนี้ต่อไป นภาสวรรค์เก้าดาวในเมืองจักรพรรดิอินทรีสวรรค์นี้คงมีมากจนไม่อาจนับค่าได้

ในวันนี้ไป๋เฉินจึงอดทนต่อไปไม่ไหวและเข้ามาหาเย่หยวน

“อาจารย์ ข้า… ข้าคิดว่าตัวเองได้ออกมานานเกินไปแล้ว มัน… น่าจะได้เวลาแวะกลับไปดูที่ดินแดนนภาบรรพต”

ไป๋เฉินนั้นรู้แค่ว่าเวลานี้การกลับไปยังดินแดนนภาบรรพตมันจะทำให้เขาสงบสติอารมณ์ได้

เพราะไม่ว่าอย่างไรเสียที่แห่งนั้นเขาก็เป็นยอดผู้ปกครอง

แล้วมีหรือที่เย่หยวนจะไม่เข้าใจว่าไป๋เฉินรู้สึกอย่างไร? แต่เขาแค่ยิ้มตอบกลับไป “กลับไป เจ้าจะยอมแพ้ต่อชะตาหรือ?”

ในฐานะผู้ควบคุมดูแลเขาย่อมสามารถทำอะไรก็ได้ในดินแดนนภาบรรพต

แต่เรื่องนั้นมันก็แค่สร้างความพอใจให้แก่คนที่ไม่รู้เรื่องว่าภายนอกมีโลกกว้างใหญ่รออยู่ หากพวกเขารู้แล้วมีหรือที่จะทนอยู่ต่อไปในก้นบ่อน้ำนั้นได้?

ไป๋เฉินยิ้มออกมาอย่างขมขื่น “ต่อให้ข้าไม่คิดยอมแพ้แล้วมันจะมีประโยชน์ใด? พลังของแม่นางเล้งเองก็พัฒนาขึ้นอย่างมหาศาลจนแทบถึงระดับของข้าแล้ว ส่วนคนอื่นๆ รออีกแค่ไม่กี่ปีพวกเขาก็คงสามารถก้าวข้ามข้าไปได้ ข้า…”

เย่หยวนเดินเข้าไปตบบ่าด้วยรอยยิ้ม “เวลาหนึ่งปีมานี้เมืองสันเขาใต้มีเรื่องต้องจัดการมากมาย ข้ามีเรื่องที่ต้องดูแลจัดการมหาศาลจนไม่มีเวลาว่างใดๆ เลย แต่ตอนนี้เมื่อทุกอย่างเริ่มเข้าที่เข้าทางข้าจึงเริ่มมีเวลามาจัดการปัญหาให้เจ้าแล้ว!”

ไป๋เฉินผงะไปเล็กน้อยก่อนจะถามขึ้น “ปัญหาของข้า? ข้ามีปัญหาใดหรือ?”

ในเมืองจักรพรรดิอินทรีสวรรค์นี้คนที่ว่างไร้ปัญหามากที่สุดมันก็คงเป็นเขา เพราะเขาไม่ต้องทำการบ่มเพาะใดๆ

เย่หยวนยิ้มออกมา “ข้าคิดอยากสร้างโอสถชนิดใหม่ขึ้นมาและต้องการความร่วมมือจากเจ้า!”

เมื่อไป๋เฉินได้ยินเช่นนั้นเขาก็พูดขึ้นมาด้วยความตื่นเต้นดีใจ “ข้าสงสัยเหลือเกินว่าโอสถชนิดใดที่ท่านอาจารย์คิดอยากสร้างขึ้นมา?”

เย่หยวนมองดูใบหน้าของเขาด้วยรอยยิ้ม “โอสถครองวิญญาณผสานเต๋า!”

…………………………