บทที่ 683 เกิดความเห็นต่างรุนแรง

The king of War

เห็นบรรดาคนตระกูลกวนมีความจริงใจขนาดนี้ หยางเฉินให้รู้สึกปลื้มอยู่เป็นอันมาก

เดิมก็มีคิดอยู่ว่า ตระกูลกวนที่เป็นสุดยอดมหาเศรษฐีระดับท้องถิ่น ต่อเมื่อก้าวขึ้นไปถึงระดับมณฑลแล้ว ก็คงลืมหมด ไม่รู้ว่าทั้งหมดเพราะใครให้มา

แรกเริ่มนั้น ขณะที่ตระกูลกวนไม่เห็นใส่ใจในตัวหยางเฉิน หยางเฉินก็คิดจะละทิ้งตระกูลกวนแล้ว แต่ในเมื่อพวกเขายังรู้สำนึกผิด ก็ยังพออภัยให้ได้

“ความคิดผมตรงกับความคิดของท่านผู้นำเฒ่าตระกูลหาน พวกคุณไปเจรจากันก่อน ถ้าหากตระกูลเซวไม่ยอมตกลง ยังยืนกรานจะให้มหาเศรษฐีทั้งสามมณฑลต้องยอมสวามิภักดิ์ งั้นก็เปิดศึก!”

หยางเฉินเอ่ยปากพูดเรียบ ๆ

แท้จริงแล้วเขาก็ไม่ต้องการมีเรื่องบาดหมางกับตระกูลหลวง ไม่ว่าตระกูลหลวงก็ดี หรือตระกูลราชวงศ์ ล้วนระดับสุดยอดมหาเศรษฐีที่มีน้ำหนักทางสังคมภายในประเทศจิ่วโจว

ความรุ่งเรืองของเหล่าบรรดามหาเศรษฐีนี้ เป็นตัวบ่งชี้ถึงความร่ำรวยรุ่งโรจน์ของประเทศจิ่วโจวเลยทีเดียว

หากแม้นจะต้องถล่มตระกูลเซวให้ล่มสลายไปจริง สำหรับประเทศจิ่วโจวแล้ว มันจะเป็นความสูญเสียที่ใหญ่หลวงยิ่ง

ฉะนั้น เพียงขอให้ตระกูลเซวไม่ทำอะไรจนเกินเหมาะ หยางเฉินก็จะไม่ก้าวก่ายกับตระกูลเซวได้

“ได้ครับ ในเมื่อคุณหยางท่านพูดอย่างนี้ ผมก็จะปฏิบัติตามที่ท่านว่า หากตระกูลเซวไม่ยอมเจรจา ก็เปิดศึก!”

กวนเจิ้งซานเอ่ยปากตอบไปอย่างไม่ลังเล

“ฮ่า ฮ่า เยี่ยม!”

หานเซี่ยวเทียนพูดด้วยเสียงหัวเราะอย่างดัง ให้เห็นความที่สะใจ

สีหน้าซูเฉิงอู่ออกความเห็นขัดแย้ง ความก้าวหน้าของตระกูลซูในวันนี้ ในข้อเท็จจริงก็มีเกี่ยวข้องกับหยางเฉิน แต่เขายังมีความสัมพันธ์กับตระกูลอวี๋เหวินอย่างมาก ๆ

ในสายตาของเขา ตระกูลอวี๋เหวินมีฐานะยืนอยู่ในระดับสุดยอดมหาเศรษฐีในประเทศจิ่วโจวแล้ว เวลานี้เกิดมีตระกูลเซวขึ้นมาอีก ทั้งยังเป็นตระกูลมหาเศรษฐีที่แข็งแกร่งยิ่งใหญ่กว่าตระกูลอวี๋เหวินหลายเท่า

แล้วจะอาศัยเพียงพวกเขาไม่กี่ตระกูลนี้ จะต้านรับกันไหวจริงหรือ?

แต่ทว่า ตระกูลอวี๋เหวินเคยกำชับเขาไว้แต่แรกแล้วว่า กับหยางเฉินท่านนี้ ไม่ว่าจะกรณีไหน ๆ จะต้องเชื่อใจเขาอย่างไม่มีเงื่อนไขใด ๆ ทั้งสิ้น

ด้านหนึ่งยืนตรงข้ามกับตระกูลเซว อีกด้านหนึ่งหยางเฉิน ซูเฉิงอู่เองตัดสินใจไม่ถูกในเวลาเดียวกัน

“กวนเจิ้งซาน คุณจะบ้าไปแล้วหรือ?”

สีหน้าจินจื้อหมิงกับเหลี่ยงเหวินคางเปลี่ยนไปกันทันที ต่างพากันถามใส่กวนเจิ้งซานอย่างกราดเกรี้ยว

“ไอ้นี่มันตัวอะไรกัน?ทำไมพวกคุณยอมเอาทั้งอนาคตของตระกูลกวน ไปฝากไว้กับเด็กหนุ่มที่ขนยังขึ้นไม่เต็มคนนี้?”

เหลียงเหวินคางพูดใส่ด้วยความโกรธ

จินจื้อหมิงก็ถามไปอย่างโมโหว่า “คุณทำแบบนี้ ไม่เพียงผลักไสตระกูลกวนเข้าไปในทางตัน อีกยังพากลุ่มพันธมิตรพวกเรา โดนผลักตามเข้าไปในทางมรณะด้วย!”

“หุบปาก!”

กวนเจิ้งซานตวาดใส่ด้วยความโมโห “คุณหยางเป็นแขกผู้มีเกียรติสูงศักดิ์ที่สุดของตระกูลกวน อีกทั้งเป็นผู้มีเกียรติศักดิ์สูงที่สุดของตระกูลมหาเศรษฐีในมณฑลเจียงผิงทั้งหมด พวกเจ้านี่แหละเป็นตัวอะไรกัน มีหน้ามาข้องใจสงสัยคุณหยาง?”

ก็ได้ตัดสินใจเลือกแล้ว กวนเจิ้งซานก็ต้องไม่ทำให้หยางเฉินผิดหวังอีก

จินจื้อหมิงและเหลี่ยงเหวินคางต่างงงเป็นไก่ตาแตก เหมือนคิดไม่ถึง แค่กับเด็กหนุ่มวัยยี่สิบเศษ กวนเจิ้งซานถึงขนาดกล้าด่าว่าพวกเขาเป็นตัวอะไรต่อหน้าธารกำนัล

ต่างคนก็อยู่ในฐานะมหาเศรษฐีชั้นสุดยอด ถึงแม้กวนเจิ้งซานจะอยู่ในระดับอาวุโส แต่ก็ไม่มีเหตุผลพอที่จะเอาอารมณ์คำพูดแบบนี้มาใช้

“ไอ้กลุ่มพวกขี้ขลาดที่คิดว่าตัวเองคิดถูก ในเมื่อพวกแกไม่กล้าจะเปิดศึกกับตระกูลเซว งั้นก็ไสหัวกันกลับไปรอที่บ้านตระกูลตัวเอง ไปนั่งรอตระกูลเซวไปเก็บกวาดพวกแกเถอะ!”

หานเซี่ยวเทียนพูดไปหัวเราะเย้ยหยันไป

เมื่อสักครู่ ท่าทีจินจื้อหมิงกับเหลี่ยงเหวินคางที่แสดงออกต่อตระกูลเซว ก็ได้กระตุ้นความโกรธของหานเซี่ยวเทียนแล้ว มาตอนนี้เจ้าสองคนนี้ยังกล้ามาหมิ่นประมาทหยางเฉินว่าเป็นตัวอะไร ยิ่งทำให้ไม่มีอะไรต้องให้อภัยอีกแล้ว

“ไอ้ขี้ขลาด?”

จินจื้อหมิงพูดด้วยความโกรธ “ถ้าพวกผมขี้ขลาด ก็คงไม่มาหาพวกคุณเพื่อปรึกษากัน ร่วมกันวางแผนขับไล่ศัตรูกันแล้ว”

เหลียงเหวินคางพูดเสียงเยือก “พวกคุณช่างไม่รู้จักดีชั่ว พวกเราสู้อุตส่าห์ข้ามมณฑลมาช่วยพวกคุณ พวกคุณกลับใช้มารยาทแบบนี้ ช่างทำให้พวกเราผิดหวังจริง ๆ!”

“ท่านผู้นำทุกท่าน โปรดระงับอารมณ์กันหน่อย เรื่องนี้มันเกี่ยวพันกับสภาวะสมดุลของพวกเราสามมณฑล ไม่ว่ามีอิทธิพลภายนอกใด ๆ แทรกแซงเข้ามา ย่อมทำให้ความสมดุลนี้ต้องพังทลายไปได้”

ซูเฉิงอู่ก็รีบก้าวเข้ามา พูดโน้มน้าวเข้าหาความปรองดอง “พวกเราต้องการใช้ความร่วมมือกัน จึงจะต้านรับปัญหายุ่งยากที่กำลังเผชิญได้ มิฉะนั้นแล้วลำพังแต่ละตระกูลบ้าน ต่างก็ไม่สามารถต้านทานตระกูลเซวได้”

“ผู้นำตระกูลซู ไม่ใช่พวกเราไม่ยอมให้ความร่วมมือนะ แต่เป็นเพราะตระกูลกวนกับตระกูลหานไม่ยอม ตระกูลเซวก็ใกล้จะมาถึงแล้ว ดูพวกเขาทำสิ แล้วพวกเรายังมีอะไรต้องคุยอีก?”

เหลียงเหวินคางพูด

“ถึงตอนนี้มีแต่เปิดศึกกับยอมสวามิภักดิ์สองทางเลือก พวกคุณไม่ยอมเปิดศึก แล้วยังมีทางเลือกอะไรอีก?” หานเซียวเทียนพูดด้วยเสียงหัวเราะเย้ย

จินจื้อหมิงจ้องหานเซี่ยวเทียนด้วยแววตาเย็นเยือกพูดไปว่า “สองทางเลือกก็เป็นแค่ความคิดของคุณเอง แต่เท่าที่ผมดู ยังมีทางเลือกที่สาม!”

“อ้าว?ผู้นำตระกูลจินยังมีแผนต้านรับอีกหรือ?”

ซูเฉิงอู่เกรงว่าหานเซี่ยวเทียนจะตะแบงใส่กับจินจื้อหมิงอีก รีบเข้ามาสรุปถาม

จินจื้อหมิงผงกหัวรับแล้วพูด “พวกเราห้าตระกูล ตอนนี้ก็สรุปเป็นแนวเดียวกันแล้วว่า ต่างยอมรับวิธีการนั่งลงเจรจากับตระกูลเซว ไม่มีปัญหานะ?”

หลายคนนั้นก็ไม่พูดว่าอะไร ก็ถือว่ายอมรับโดยปริยาย

“ความคิดของผมง่าย ๆ นั้นก็คือเจรจากันก่อน จะให้สวามิภักดิ์กับตระกูลเซว คงไม่ยอมรับแน่นอน แต่ถ้าตระกูลเซวยังขืนจะใช้อำนาจบาตรใหญ่ ก็คงอาจจะขอให้ต่างฝ่ายต่างถอยกันคนละก้าว ยอมรับให้ตระกูลเซวมาขยายกิจการในสามมณฑลของพวกเรา เริ่มตั้งฐานทำเป็นธุรกิจสาขาของตระกูลเซว”

จินจื้อหมิงว่า “ถึงเวลานั้น สาขาตระกูลเซว คงจะต้องเป็นอีกหนึ่งตระกูลมหาเศรษฐีระดับยอดในสามมณฑลของเรา สำหรับพวกเราด้วยกันแล้ว มันไม่น่าจะเป็นผลเสีย ตรงข้ามกันเสียอีกว่าน่าจะต้องเป็นผลดี”

“ถึงเวลานั้น ให้เป็นพวกตระกูลมหาเศรษฐีอื่น มาอยู่ต่อหน้าพวกเรา ก็จะไม่กล้าอวดเบ่งละ”

เหลี่ยงเหวินคางรีบผงกหัวเห็นด้วย “ผู้นำจินพูดถูกต้อง พวกเรายินยอมให้กิจการสาขาของตระกูลเซวมาตั้งในสามมณฑลของพวกเราได้”

“นี่แหละแผนดำเนินการที่ดีด้วยกันทั้งสองฝ่ายจริง ๆ”

แม้ซูเฉิงอู่เอง ก็ยังผงกหัวพูดไป

“ลมตดทั้งสองฝ่ายสิ!”

หานเซี่ยวเทียนพูดอย่างเสียอารมณ์ “เดี๋ยวอย่าเพิ่งพูด ตระกูลเซวจะตกลงหรือไม่นั่น ถ้าพูดถึงตกลง สาขาตระกูลเซวตั้งขึ้นมาแล้ว มันก็คงค่อย ๆ กลืนพวกมหาเศรษฐีของทั้งสามมณฑล!”

“กับการที่จะให้มหาเศรษฐีสามมณฑลนี้สวามิภักดิ์ด้วย ก็เพียงเสียเวลาเพิ่มเท่านั้น ด้วยกำลังของตระกูลเซว ไม่พ้นเดือน ก็จะสามารถครอบคลุมมหาเศรษฐีทั้งสามมณฑลนี้ได้แล้ว พวกคุณเชื่อไหม?”

กวนเจิ้งซานก็ผงกหัวพูดว่า “ท่านผู้นำหานพูดไม่ผิด และอย่างน้อยมณฑลเจียงผิงของพวกผม จะไม่ยอมอย่างเด็ดขาด ที่จะให้ตระกูลเซวมาตั้งสาขาที่นี่”

“พวกคุณนี่ก็ไม่เอา นั่นก็ไม่ได้ นั่นก็คือใจตั้งแน่นอนไว้แล้ว จะเปิดศึกกับตระกูลเซวแน่?”

จินจื้อหมิงพรวดพราดพูดขึ้นมาอย่างฉุนเฉียว

“เปิดศึกก็ต้องเปิดศึก พวกคุณใครไม่กล้า ก็ไสหัวกลับเมืองหนันหยังและตงหยางไปเถอะ!”

หานเซี่ยวเทียนพูดไปอย่างไม่มีเกรงใจ

กวนเจิ้งซานแม้จะไม่โฉ่งฉ่างเหมือนหานเซี่ยวเทียน แต่ก็แสดงท่าทีชัดเจน “แคว้นเจียงผิง จะไม่ยอมให้ตระกูลเซวเข้ามาตั้งรกรากเด็ดขาด!”

สามสุดยอดตระกูลมหาเศรษฐีแห่งมณฑลเจียงผิง ตอนนี้ก็เหลือเพียงซูเฉิงอู่ที่ยังไม่แสดงท่าที

จินจื้อหมิงและเหลี่ยงเหวินคางมีสีหน้าที่ดูไม่น่าดูขึ้นมา การที่พวกเขามาบ้านตระกูลกวนโดยพลการนี้ ก็เพื่อจะมาดึงหาตระกูลเข้าเป็นแนวร่วมให้กว้างใหญ่ขึ้น ทำแบบนี้ได้จึงมีคุณสมบัติพอที่จะไปนั่งคุยเจรจาโดยตรงกับตระกูลเซว เมื่อหลังจากพวกเขาได้เข้าประจำการในสามมณฑล

แต่ทว่า พวกเขาก็ยังคงมองตระกูลเซวต่ำไปอีกไกล อย่าว่าแต่แค่เพียงห้าตระกูลมหาเศรษฐีของพวกเขาเลย ต่อให้ระดมเอามหาเศรษฐีทั้งสามมณฑลมาร่วมมือกัน ก็ยังไม่มีศักดิ์ศรีพอที่จะไปคุยกับตระกูลเซวได้

“ก็ดี ดีมาก ๆ ในเมื่อพวกคุณจะรนหาที่ตาย ถ้างั้นพวกผมไม่ขอเล่นด้วยแล้ว!”

จินจื้อหมิงกระแทกขาลุกพรวดยืนขึ้น พูดเสียงเยือก “ไม่มีพวกคุณ พวกเราก็หาตระกูลแนวร่วมของพวกเราเองได้อีกนั่นแหละ!