บทที่ 494.3 พันภูเขาหมื่นแม่น้ำ ดวงจันทร์ดวงเดียว

กระบี่จงมา! Sword of Coming

เฉินผิงอันออกจากภูเขากระจกวิเศษมาไกลมากแล้ว

เพื่อเดินทางมาเยือนภูเขากระจกวิเศษลูกนี้ เฉินผิงอันจึงเดินอ้อมออกจากเส้นทางที่มุ่งหน้าไปยังเมืองชิงหลูมามากแล้ว

ดูท่าเรื่องของการเสี่ยงดวงนี้คงไม่เหมาะกับตนสักเท่าไหร่จริงๆ

หากเปลี่ยนมาเป็นลู่ไถหรือหลี่ไหวก็คงเป็นอีกเรื่องหนึ่ง

ออกจากภูเขากระจกวิเศษมาแล้ว เฉินผิงอันก็ยังคงเลือกเดินไปบนสันเขาสูงชัน ขยับเข้าไปใกล้เมืองชิงหลูมากขึ้นเรื่อยๆ วิญญาณหยินโอสถทองและผีใต้บังคับบัญชาของมันไม่ยอมปรากฎตัวเสียที แต่นี่ก็สมเหตุสมผลดีแล้ว เพราะถึงอย่างไรศึกที่สันเขาอีกาตนก็ไล่ฆ่าศัตรูด้วยอารมณ์ฮึกเหิมไปบ้าง จึงไม่ได้จงใจปกปิดพลังอำนาจที่แท้จริง ทางฝั่งของนครฟูนี่ที่มีฟ่านอวิ๋นหลัวซึ่งเป็นโอสถทองเป็นผู้นำก็เรียกได้ว่าพ่ายแพ้ยับเยินดุจขุนเขาถล่มทลาย เชื่อว่า ‘โจรบนหลังม้า’ ที่ป้วนเปี้ยนอยู่แถบหุบเขาผีร้ายมานานหลายปีกลุ่มนั้นคงไม่คิดจะเป็นฝ่ายออกมาหาเรื่องซวยใส่ตัวเอง

การเดินทางขึ้นเหนือผ่านภูเขาแม่น้ำมาได้อย่างไร้อุปสรรค ภูตผีปีศาจส่วนใหญ่ที่อาจจะทำให้ผู้ฝึกตนห้าขอบเขตกลางคนหนึ่งตายก่อนวัยอันควรได้นั้น มักจะระมัดระวังตัว แค่มองดูเฉินผิงอันอยู่ไกลๆ แล้วก็หดหัวกลับเข้ารังของตัวเองในป่าลึกไป

ยกตัวอย่างเช่นงูเหลือมยักษ์และปีศาจแมงมุมที่อยู่บนสะพานโซ่เหล็ก หากเป็นคู่บำเพ็ญเพียรคู่นั้นที่ผ่านทางมา บางทีแค่พบหน้ากัน ไม่จำเป็นต้องให้พวกเขาเสี่ยงอันตรายข้ามสะพานไปก็อาจเจอกับภัยที่นำความตายมาสู่ตัวแล้ว

ยามสนธยาของวันนี้ เฉินผิงอันหยุดพักเท้าอยู่ในป่าต้นท้อแห่งหนึ่ง

แน่นอนว่าป่าต้นท้อแห่งนี้ย่อมมีความประหลาด ไหนเลยจะมีหลักการที่ดอกท้อบานสะพรั่งในวันที่อากาศหนาวเหน็บเช่นนี้

เพียงแต่ครั้งนี้เฉินผิงอันสะพายกระบี่มาหาประสบการณ์อยู่ในหุบเขาผีร้าย สิ่งที่เขากลัวไม่ใช่ความแปลกประหลาดพิสดารต่างๆ นานา แต่กลัวว่าจะไม่พบเจอความผิดปกติใดๆ เลยต่างหาก

ก่อนหน้านี้ตอนอยู่ด้านนอกป่าท้อเห็นว่ามีป้ายศิลาสองแผ่นที่ขนาดสูงต่ำไม่เท่ากันตั้งอยู่ คล้ายกับเป็นเพื่อนบ้านคู่หนึ่งที่ไม่ถูกกัน บนแผ่นป้ายแบ่งออกเป็นสลักคำว่า วัดเยว่หยวนใหญ่ และอารามเสวียนตูเล็ก

หากไม่เป็นเพราะด้านหลังคำว่า ‘เสวียนตู’ ยังมีคำว่าเล็ก ให้ตายเฉินผิงอันก็ไม่มีทางเดินเข้ามาในป่าท้อนี่เด็ดขาด

เพราะอารามเสวียนตูที่แท้จริงแห่งนั้นก็คือสถานที่สำคัญแห่งหนึ่งของตระกูลเซียนในใต้หล้ามืดสลัวที่กล้าไม่ปฏิบัติตามคำสั่งของเจ้าลัทธิทั้งสามท่าน

เล่าลือกันว่าหลังจากที่เต๋าเหล่าเอ้อร์ได้กลายเป็นเจ้าลัทธิของสายหนึ่งแล้ว มีเพียงครั้งเดียวที่เขาใช้กระบี่เซียนเล่มนั้นในใต้หล้าซึ่งเป็นบ้านของตัวเอง ก็คือที่อารามเสวียนตู

แม้จะแน่ใจว่าบนป้ายศิลาเขียนไว้ว่าอารามเสวียนตูเล็กจริงๆ ไม่ใช่สถานที่สำคัญของลัทธิเต๋าที่ขนาดอยู่ในใต้หล้าไพศาลก็ยังมีชื่อเสียงโด่งดังประดุจฟ้าผ่าแห่งนั้น แต่ก่อนที่เฉินผิงอันจะเข้ามาในป่าก็ยังเหยียบบนกระบี่บินชูอีสืออู่ ลอยตัวกลางอากาศก้มหน้าลงมองเบื้องล่าง เขาพบว่าป่าท้อแห่งนี้มีอาณาบริเวณกว้างขวางไม่ต่ำกว่าพันไร่ น่าจะไม่มีสิ่งปลูกสร้างประเภทวัดหรืออารามใดๆ

ป่าท้อแห่งนี้ ทางสำนักพีหมาไม่ได้บันทึกไว้ใน ‘รวมเล่มวางใจ’ แม้แต่คำเดียว

คิดดูแล้วก็น่าจะไม่มีปีศาจใหญ่หรือผีดุร้ายถึงจะถูก

เฉินผิงอันสังเกตเห็นว่ารอบด้านไม่มีกิ่งไม้ท้อแห้งเลยแม้แต่ครึ่งกิ่ง มีเพียงพุ่มใบบนยอดไม้ที่หนาจนเกินจริง ดอกท้อผลิบานสะพรั่ง นี่ไม่ได้ทำให้จิตใจคนปลอดโปร่งสดชื่นแล้ว เพราะพอดมนานๆ เข้า กลิ่นของมันกลับเข้มข้นจนทำให้คนรู้สึกเอียน

เฉินผิงอันปลดงอบลง นั่งขัดสมาธิ คีบยันต์ปราณหยางส่องไฟแผ่นหนึ่งออกมาจากชายแขนเสื้อ ขยี้เบาๆ ยันต์ก็ติดไฟช้าๆ ความเร็วในการเผาไหม้ของมันไม่ต่างจากตอนที่อยู่บนเส้นทางของหุบเขาผีร้าย ดูท่าแล้วปราณดุร้ายของสถานที่แห่งนี้คงจะปกติจริงๆ เพียงแต่ว่ากลิ่นหอมที่อบอวลไปทั่วป่าท้อแห่งนี้กลับเกินกว่าเหตุไปบ้าง เฉินผิงอันปล่อยนิ้วทั้งสอง ค้อมเอววางยันต์ไว้ตรงหน้าตัวเอง จากนั้นก็เริ่มตั้งท่ายืนนิ่งเจี้ยนหลู โคจรลมปราณแท้จริงที่บริสุทธิ์เฮือกนั้น เหมือนมีมังกรเพลิงตัวหนึ่งว่ายวนไปตามช่องโพรงแห่งต่างๆ ช่วยป้องกันไม่ให้กลิ่นหอมของที่แห่งนี้รุกรานเข้ามาในร่างกายได้พอดี แต่ขออย่าให้เกิดปัญหาที่ไม่คาดฝันก็แล้วกัน

ใต้พื้นดินมีเสียงหัวเราะใสปานกระดิ่งเงินของสตรีดังมาระลอกหนึ่ง

เฉินผิงอันแสร้งทำเป็นไม่ได้ยิน

เสียงหัวเราะเริ่มหยุดลง เปลี่ยนมาเป็นถ้อยคำอ่อนหวานแทน “หนุ่มน้อยท่านนี้ช่างหน้าตาหล่อเหลานัก เข้ามาในกระโจมชมพูของข้า สูดดมกลิ่นหอมของเส้นผมข้า นับว่ามีวาสนาด้านความรักไม่น้อย หากข้าเป็นเจ้าจะไม่จากไปไหนอีกแล้ว จะอยู่ที่นี่ไปทุกชาติทุกภพ”

เฉินผิงอันลืมตาขึ้น เพ่งสายตามองไปก็เห็นว่าบนพื้นมีไอน้ำชั้นหนึ่งแผ่ระเหยขึ้นมา แต่กลับไม่ลอยขึ้นสูง เพียงแค่ลอยไปลอยมาในระดับความสูงต่ำกว่าหนึ่งฉื่อ

เฉินผิงอันรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย “เหตุใดสำนักพีหมาถึงได้จงใจละเว้นปีศาจต้นท้อเช่นเจ้า?”

ต้นไม้ตลอดทั้งป่าท้อเริ่มส่ายโงนเงนประหนึ่งสาวงามสวมชุดกระโปรงสีชมพูหลายคนพากันร่ายรำ

ราวกับว่าต้นท้อนับพันนับหมื่นต้นของที่แห่งนี้เป็นเพียงเส้นผมของนางเท่านั้น

เฉินผิงอันพบว่าทัศนียภาพที่ปรากฏอยู่ในสายตาของตัวเองเริ่มส่ายไหวแล้วเช่นกัน

ไม่รู้ว่านางซ่อนอยู่ที่ใด มีเพียงเสียงหัวเราะพลิ้วหวานล่อลวงใจคนที่ดังมาให้ได้ยินไม่หยุดจากใต้ดิน “แน่นอนว่าผู้ฝึกตนสำนักพีหมากลัวข้าอย่างไรล่ะ ยังจะเป็นอะไรไปได้อีก? หนุ่มน้อยเจ้าช่างหล่อเหลายิ่งนัก แต่กลับโง่ไปหน่อย ไม่อย่างนั้นก็คงจะเป็นคู่ตุนาหงันที่สมบูรณ์แบบคนหนึ่งแล้ว”

ครู่หนึ่งต่อมา นางพลันหยุดหัวเราะ เอ่ยถามว่า “เอ๊ะ? เหตุใดตัวเจ้าไม่ขยับ ใจก็ไม่หวั่นไหวด้วยเล่า? หรือว่าเป็นพระสงฆ์ที่ไม่ได้โกนผม? เป็นนักพรตจมูกวัวที่ไม่ได้สวมชุดคลุมเต๋า?”

เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “หากยังเล่นผีหลอกเจ้าอยู่อีก ข้าจะตัดต้นท้อทั้งหมดทิ้ง ถือเสียว่าเป็นการฝึกกระบี่ ให้เจ้าได้เป็นแม่ชีเสียเดี๋ยวนี้”

นางไม่โกรธกลับยังหัวเราะ เอ่ยอย่างลิงโลดว่า “ดีสิๆ ข้าผู้น้อยขอน้อมรับวิชากระบี่ตระกูลเซียนของท่านหนุ่มน้อย”

เฉินผิงอันทอดสายตามองไป

นักพรตน้อยที่ในมือถือแส้ปัดฝุ่นคนหนึ่งย่อพื้นที่พุ่งเข้ามา ใบหน้าของเขาขาวนวลริมฝีปากแดงก่ำ ปราณที่แท้จริงท่วมท้น ไม่อาจปกปิดสติปัญญาความฉลาดเฉลียวที่เอ่อล้นออกมาภายนอกได้

ไม่นึกว่าจะเป็นยอดฝีมือนอกโลกที่กำลังจะเลื่อนขั้นเป็นเซียนดินโอสถทองคนหนึ่ง

นักพรตชำเลืองตามองเฉินผิงอันด้วยสายตาเย็นชา “สถานที่แห่งนี้คือสถานที่ฝึกตนที่อาจารย์และสหายปลูกกระท่อมอยู่เคียงข้างกัน ตลอดหนึ่งพันปีที่ผ่านมาได้ถูกหุบเขาผีร้ายให้การยอมรับว่าเป็นดินแดนสุขาวดีนอกโลก ไม่ชอบให้คนนอกมารบกวน ต่อให้เป็นผูหรางแห่งนครกรงขาว หากไม่มีธุระเร่งด่วนก็จะไม่มีทางเข้ามาในป่าง่ายๆ เจ้าเป็นแค่คนที่มาฝึกประสบการณ์คนหนึ่ง จะมางัดข้อเอาอะไรกับภูตท้อเล็กๆ ตนหนึ่ง รีบไปซะ!”

เห็นได้ชัดว่าภูตท้อตนนั้นกริ่งเกรงในตัวนักพรตน้อยผู้นี้อย่างมาก เพียงแต่ว่าคำพูดที่พึมพำออกมากลับแฝงไว้ด้วยความขุ่นเคืองน้อยๆ “ดินแดนสุขาวดีนอกโลกอะไรกัน ก็แค่ร่ายใช้วิชาอภินิหารตระกูลเซียนมาบังคับกักขังข้าไว้ที่นี่ จะได้ให้ช่วยปกป้องปราณวิญญาณที่หลงเหลืออยู่ในวัดและอารามไม่ให้ไหลออกไปสู่ภายนอกก็เท่านั้น”

“บังอาจ!”

ใบหน้าของนักพรตน้อยดุดัน สะบัดแส้ปัดฝุ่นหนึ่งครั้งก็มีสายฟ้าหนาเท่าแขนเส้นหนึ่งระเบิดพุ่งลงไปใต้ดินในเสี้ยววินาที ภูตต้นท้อที่อยู่ลึกใต้ดินร้องโหยหวนเสียงอู้อี้ ดอกท้อที่อยู่บนต้นร่วงกราวลงมาเป็นสาย

เฉินผิงอันเริ่มจะเข้าใจอะไรได้บ้างแล้ว

ในหุบเขาผีร้ายจะต้องมียอดฝีมือผู้บรรลุมรรคาส่วนหนึ่งที่ไม่กลัวปราณหยินชั่วร้ายมาลงหลักปักฐานอยู่ที่นี่ กลับกันคือพวกเขายังต้องอาศัยปราณหยินที่ตลบอบอวลอยู่ภายในฟ้าดินแห่งนี้มาขัดเกลาตบะของตัวเองด้วย

นักพรตน้อยยังคงไม่หายแค้นจึงสะบัดแส้ปัดฝุ่นอีกรอบ สายฟ้ายิ่งเพิ่มจำนวนมากขึ้น ถักทอกันเป็นตาข่ายตระกูลเซียนปากหนึ่งที่ผลุบหายลงไปใต้ดิน ใต้ดินพลันเกิดเสียงครืนครั่นดังเป็นระลอกทันที “สามวันไม่ตีปีนขึ้นไปรื้อกระเบื้องหลังคา! หากไม่เป็นเพราะอาจารย์ของข้ามีพระคุณแก่เจ้า ภูตต้นท้อเล็กๆ ที่เป็นแค่เวทอำพรางตาอย่างเจ้าจะหยัดยืนอยู่ในหุบเขาผีร้ายได้อย่างไร? แล้วยังแอบฟังอาจารย์ข้าถกปัญหาธรรมกับสหาย อาศัยโอกาสนี้ถึงได้ค่อยๆ ฝึกตนจนเป็นขอบเขตประตูมังกร เจ้าภูตลืมกำพืดของตัวเอง…”

ภูตต้นท้อร้องโหยหวนไม่หยุด ขอร้องให้นักพรตน้อยที่ลงมืออย่างดุดันผู้นั้นเมตตามัน

นักพรตน้อยยิ่งพูดก็ยิ่งมีโทสะ สะบัดแส้ปัดฝุ่นอีกครั้ง ทำให้จุดลึกของทะเลเมฆเกิดภาพเหตุการณ์ประหลาด เตรียมจะปล่อยสายฟ้าที่มาจากวิชาลับของลัทธิเต๋าสายหนึ่งลงมาจากท้องฟ้า ให้มาสั่งสอนภูตต้นท้อตัวนั้น

เฉินผิงอันจึงได้แต่เปิดปากเอ่ยว่า “ท่านนักพรตน้อยโปรดระงับโทสะ ข้าจะไปจากป่าท้อเดี๋ยวนี้”

ก้อนเมฆสีดำทะมึนก้อนหนึ่งลอยออกมาจากทะเลเมฆเพียงลำพังแล้วลดระดับลงเบื้องล่าง มีสายฟ้าแลบแปลบปลาบอยู่ภายใน พลังอำนาจน่าตะลึงอย่างยิ่ง

นักพรตน้อยแค่นเสียงหยันเอ่ยว่า “หากไม่เป็นเพราะพวกเราฝึกตนอยู่ในป่าท้อแห่งนี้ เจ้าที่บุกเข้ามาที่นี่โดยพลการ ป่านนี้ก็คงถูกภูตต้นท้อที่เกิดมาก็เชี่ยวชาญวิชาล่อลวงใจคนตนนี้ดูดกินปราณหยางพลังต้นกำเนิดไปจนสิ้นแล้ว เจ้าคนไม่รู้จักดีชั่ว ยังจะเกิดใจสงสารมันอีกหรือ อาจารย์กล่าวถูกแล้ว มนุษย์ธรรมดาที่วันๆ ถูกอาบย้อนด้วยฝุ่นผงแห่งโลกีย์อยู่ภายนอกอย่างพวกเจ้า…”

เฉินผิงอันชักเท้าข้างหนึ่งถอยหลังแล้วปล่อยหมัดต่อยเข้าใส่จุดสูงของทะเลเมฆอย่างรวดเร็ว เขาใช้กระบวนท่าไอเมฆเหนือบึงใหญ่ต่อยให้สายฟ้าที่กำลังก่อตัวอยู่ในก้อนเมฆแหลกสลาย พลังอำนาจกระจัดกระจายไปสี่ทิศประหนึ่งมีลมพายุพัดอยู่บนภูเขา ป่าท้อบนพื้นดินที่ติดร่างแหไปด้วยจึงถูกลมพัดกระโชกจนดอกท้อสีแดงสดยิ่งร่วงระนาวราวกับสายฝน

นักพรตน้อยขมวดคิ้วไม่พูดไม่จา

เขาไม่ได้กลัวอีกฝ่าย ก็แค่รู้สึกประหลาดใจเล็กน้อยเท่านั้น

ปรมาจารย์น้อยวิถีวรยุทธที่อายุน้อยเพียงเท่านี้เองหรือ? ดูจากพลังอำนาจของหมัดเมื่อครู่นี้ทั้งกระชับแน่นและยิ่งใหญ่ทรงพลัง แม้ว่าจะยังไม่ใช่ขอบเขตร่างทอง แต่ก็อยู่ห่างอีกไม่มากแล้ว

แต่นักพรตน้อยเองก็ลืมไปว่า ทำไมตัวเขาจะไม่ใช่ผู้ฝึกตนขอบเขตประตูมังกรที่ยัง ‘อายุน้อยเพียงเท่านี้’ คนหนึ่งเหมือนกัน

แม้จะบอกว่าเป็นเพราะเลื่อนขั้นสู่ขอบเขตถ้ำสถิตเร็วเกินไป ตอนนั้นอาจารย์ได้อธิบายถึงความลี้ลับมหัศจรรย์มากมายบนเส้นทางของการฝึกตน เคยถามเขาว่าจะอาศัยโอกาสนี้มาคงสภาพรูปโฉมของตัวเองเอาไว้หรือไม่ ตอนนั้นเขายังเด็กไม่รู้ความ รู้สึกว่าเรือนกายเป็นเพียงแค่เนื้อหนังที่เน่าเหม็น ในเมื่อไม่ส่งผลกระทบต่อการฝึกตนในวันหน้า ถ้าอย่างนั้นหากไม่ต้อง ‘เติบโต’ อีกก็ไม่ใช่เรื่องเลวร้าย นับจากนั้นมารูปร่างของเขาก็ถูกกำหนดไว้แน่นอน ช่วงเวลาหกสิบปีหลังจากนั้น ‘นักพรตน้อย’ ก็เกือบจะต้องเสียใจจนไส้เขียว

ไม่ว่าอย่างไรก็ควรให้ร่างกายเติบโตจนถึงช่วงอายุยี่สิบของบุรุษก่อนแล้วค่อย ‘หยุดชะงัก’ ถึงจะถูก

ดังนั้นทุกครั้งที่เขาแอบออกไปผ่อนคลายอารมณ์ภายนอกแล้วได้เจอกับฟ่านอวิ๋นหลัวที่มีรูปลักษณ์เป็นเด็กหญิงก็จะต้องหงุดหงิดอย่างมาก หลวงจีนผู้เฒ่าคนนั้นยังจะราดน้ำมันลงบนกองเพลิง พูดสัพยอกว่าเขากับฟ่านอวิ๋นหลัวสมกับเป็นคู่กุมารทองกุมารีหยกจริงๆ

เฉินผิงอันเก็บหมัดแล้วยิ้มพลางเอ่ยว่า “เหตุผลที่เจ้ากล่าวมานั้นถูกต้อง แต่เรื่องของการใช้เหตุผลนั้น หากเพื่อให้อีกฝ่ายฟังเข้าหูอย่างแท้จริง หาใช่เพื่อให้ตนเองสบายใจอย่างเดียวเท่านั้น ถ้าอย่างนั้นอารมณ์และน้ำเสียงก็ล้วนเป็นสิ่งที่สำคัญ อารมณ์นิ่งสงบสักหน่อย น้ำเสียงเป็นมิตรสักหน่อย ถึงอย่างไรก็ไม่ใช่เรื่องร้าย”

ภูตต้นท้อที่ตกใจจนเกือบขวัญหนีดีฝ่อรีบพูดคล้อยตามทันที “มีเหตุผลๆ ประโยคนี้ควรจะรับฟังไว้สักหน่อย”

นักพรตน้อยที่คล้องพู่สีขาวหิมะซึ่งตัวด้ามจับทำมาจากกระดูกขาวของวิญญาณวีรบุรุษไว้ตรงแขนลังเลตัดสินใจไม่ได้

พูดจาไม่เข้าหูกันคำเดียวก็รบราฆ่าฟันกัน นี่ไม่ใช่เรื่องที่คนของอารามเสวียนตูเล็กสมควรทำ

แต่ในเมื่ออีกฝ่ายเป็นผู้ฝึกยุทธที่มาฝึกประสบการณ์ในหุบเขาผีร้าย สองฝ่ายประมือแลกเปลี่ยนความรู้กันก็ไม่น่าจะผิดไม่ใช่หรือ? อาจารย์คงไม่กล่าวโทษกระมัง?

และเวลานี้เอง มัลละเกราะทองตนหนึ่งก็เดินก้าวเข้ามา มองไปยังแผ่นหลังของนักพรตน้อยแล้วเอ่ยเสียงหนักว่า “สวีส่ง เจินจวินเชิญคุณชายท่านนี้ให้ไปพบที่อาราม”

นักพรตน้อยกล่าวอย่างขุ่นเคือง “เจ้าคนผู้นี้มีคุณธรรมมีความสามารถใดถึงสามารถเข้าไปในอารามเสวียนตูเล็กของพวกเราได้?”

มัลละเกราะทองทำเป็นมองไม่เห็นไฟโทสะที่ผุดขึ้นสามจั้งของนักพรตน้อย เขาหันหน้าไปหาเฉินผิงอันที่เพิ่งจะสวมงอบลงบนศีรษะ “คุณชายท่านนี้ เจินจวินของข้าขอเชิญเจ้า หากไม่รีบร้อนเดินทางก็สามารถไปดื่มน้ำชาดอกท้อพันปีที่อารามเสวียนตูเล็กของพวกเราถ้วยหนึ่งได้”

เฉินผิงอันกุมหมัดเอ่ยปฏิเสธอย่างละมุนละม่อม “จับผลัดจับผลูเข้ามาในป่าท้อก็ถือว่ารบกวนการฝึกตนอย่างสงบของเจินจวินพวกเจ้าแล้ว ข้าไม่กล้าไปรบกวนถึงที่อารามศักดิ์สิทธิ์จริงๆ จะจากไปเดี๋ยวนี้”

มัลละเกราะทองพยักหน้ารับ “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ข้าก็คงไม่รั้งไว้ วันหน้าหากอยากจะเข้ามาดื่มชาในอารามก็แค่มาที่นี่แล้วออกคำสั่งแก่ภูตต้นท้อ ให้มันนำทางเจ้าไป”

เฉินผิงอันจึงหมุนตัวเดินออกมาจากป่าท้อ

นักพรตน้อยที่มีนามว่าสวีส่งแค่นเสียงหยันในลำคอ “ไปเสียได้ก็ดี จะได้ไม่ต้องเปลืองน้ำชาดอกท้อที่แม้แต่เจ้าโครงกระดูกผูผู้นั้นก็ยังเคยดื่มแค่สามครั้ง!”

ภูตต้นท้อที่อยู่ใต้ดินเอ่ยประจบขึ้นว่า “ใช่แล้วๆ คนผู้นี้มีตาแต่ไร้แวว ขนาดโชควาสนาใหญ่เทียมฟ้ายังปล่อยให้พลาดไปได้ คราวหน้าหากมาที่ป่าท้ออีก ข้าจะหลบเขาซะ ไม่ให้เขาเจอตัวได้”

สวีส่งกล่าวอย่างเดือดดาล “คำสั่งของอาจารย์ เจ้ากล้าเห็นเป็นเรื่องเล่นๆ อย่างนั้นหรือ?!”

ภูตต้นท้อรีบพูดวิงวอนทันใด “มิกล้าๆ มิกล้าเด็ดขาดเลย”

ในอารามเต๋าโบราณงดงามที่ปลูกต้นท้อไว้รอบด้านแห่งหนึ่ง นักพรตเฒ่าที่มีเส้นผมสีขาวโพลนแต่ใบหน้าอ่อนเยาว์ท่านหนึ่งกำลังนั่งอยู่ตรงข้ามกับภิกษุเฒ่าเรือนกายผ่ายผอมคนหนึ่ง ภิกษุเฒ่าผอมจนเหมือนท่อนฟืนแห้ง แต่กลับสวมใส่จีวรที่ตัวใหญ่มากเป็นพิเศษ

นักพรตเฒ่ายิ้มบางๆ เอ่ยว่า “หมัดนี้เป็นอย่างไร?”

ภิกษุเฒ่าเอ่ยเนิบช้า “แกร่งเกินไปก็หักง่าย”

นักพรตเฒ่าชำเลืองตามองชาถ้วยหนึ่งที่วางไว้บนโต๊ะแล้วถามอีกว่า “เจ้าคิดว่าต้องเก็บน้ำชาดอกท้อถ้วยนี้ไว้หรือไม่? เจ้าเดาว่าคนหนุ่มจะย้อนกลับมาที่ป่าท้ออีกครั้ง มาดื่มชาถ้วยนี้ให้หมดหรือไม่?”

ภิกษุเฒ่าสีหน้าเฉยชา “พูดไปสองไพเบี้ย นิ่งเสียตำลึงทอง”

นักพรตเฒ่าไม่ได้สวมกวานเต๋า เพียงผูกผ้าขาวไว้บนมวยผมเท่านั้น ชุดคลุมเต๋าบนร่างก็เก่าและธรรมดา ไม่มีมาดของตระกูลเซียนเลยแม้แต่น้อย

เขาถอนหายใจเบาๆ “เทพหญิงสามท่านของนครปี้ฮว่าพากันเดินออกจากภาพวาด ติดตามเจ้านายของใครของมันไปหมดแล้ว แล้วยังมีผู้ฝึกตนห้าขอบเขตบนของทวีปอื่นที่จับมือบุกเข้ามาในหุบเขาผีร้ายพร้อมกับเฮ้อเสี่ยวเหลียง ไปเยือนนครจิงกวาน อีกทั้งยังมีลางว่าหยางฉงเสวียนจะคว้าจับโชควาสนาเอาไว้ได้ หากผูหรางผู้นั้นก่อเรื่องอะไรขึ้นมาอีกจนจู๋เฉวียนลงมือด้วยตัวเอง หุบเขาผีร้ายแห่งนี้ก็คงเละกลายเป็นโจ๊กหม้อหนึ่งจริงๆ และหลังจากนั้นก็ไม่แน่ว่าดินแดนสุขาวดีที่มีเพียงหนึ่งเดียวของพวกเรานี้อาจไม่เหลือความสงบสุขอีกเลย”

ภิกษุเฒ่าร่างผอมแห้งพยักหน้ารับ “เจินจวินมองการณ์ไกล”

ได้ยินสองคำว่าผูหราง ภิกษุเฒ่าก็สวดมนต์อยู่ในใจ

อันที่จริงนักพรตเฒ่าสังเกตเห็นความผิดปกติในสภาพจิตใจของอีกฝ่ายแล้ว เพียงแต่ทั้งสองฝ่ายต่างก็รู้รากฐานของกันและกันดีจึงไม่จำเป็นต้องพูดอะไรมาก

นักพรตเฒ่าทอดสายตามองไปไกล “เจ้าว่าสำหรับผู้ฝึกตนอย่างพวกเรา แม้แต่เส้นแบ่งระหว่างความเป็นความตายยังพร่าเลือนแล้ว ถ้าอย่างนั้นทุกที่ในฟ้าดิน ไยมิใช่กรงขัง? ยิ่งไม่รู้ จิตใจก็ยิ่งสงบได้ง่ายเท่านั้น พอรู้แล้ว จะทำใจให้จิตใจสงบอย่างแท้จริงได้อย่างไร”

ภิกษุเฒ่าใคร่ครวญอยู่ครู่หนึ่งก็พนมมือก้มหน้า เผยให้เห็นฝ่ามือสองข้างที่แม้จะผอมแห้ง แต่กลับเป็นสีทองอร่าม “พระธรรมของอาตมา แม้แต่จะประคับประคองจีวรตัวนี้ยังไม่ได้ แล้วจะไปพบศาสดาพุทธเพื่อถามคำถามที่เป็นปริศนายากจะคลี่คลายมานับพันปีข้อนี้ได้อย่างไร”

ภิกษุเฒ่าลุกขึ้นยืนช้าๆ พนมสิบนิ้วคารวะ

นักพรตเฒ่าไม่พิถีพิถันในเรื่องมารยาทยิบย่อยกับสหายผู้นี้ เขาเพียงพยักหน้ารับเท่านั้น

ภิกษุเฒ่าก้าวออกไปหนึ่งก้าว ร่างก็หายวับไป ย้อนกลับไปยังวัดหยวนเยว่ใหญ่แห่งนั้น ที่นี่ก็ไม่ต่างจากอารามเสวียนตูเล็กที่รอบด้านต่างก็เป็นป่าท้อ จวนตระกูลเซียนที่ถือว่าเป็นฟ้าดินขนาดเล็กแห่งหนึ่งซึ่งอยู่ด้านในนั้น หากไม่ใช่ก่อกำเนิด ไม่ว่าใครก็ตามที่ต่อให้มาเดินวนในป่าท้อแห่งนี้พันปีก็ไม่มีทางพบเจอจวนแห่งนี้ และไม่มีทางเดินเข้าไปได้

ในวัดมีเสียงสวดภาษาบาลีดังแว่วมา มีภิกษุเฒ่านั่งเข้าฌานอยู่บนเบาะรองนั่ง มีภิกษุที่ก้มหน้าก้าวเดินเนิบช้าอยู่ในระเบียง มีสามเณรน้อยที่กำลังกวาดพื้นใต้ต้นไม้อย่างขมีขมัน ต่างคนต่างง่วนทำงานของตัวเองไป ไม่มีใครสื่อสารกันด้วยภาษา

ภิกษุเฒ่าร่างผอมแห้งยืนอยู่ที่เดิม ในสายตาของเขา ภิกษุทั้งหลายเหล่านั้น แท้จริงแล้วล้วนเป็นเพียงโครงกระดูกขาวโพลนเท่านั้น

—–