ตอนที่ 975 จะไม่หยุดจนกว่าความตายจะมาถึง

ท่านอ๋องผู้โหดร้ายกับหมอปีศาจ

มู่เฉียนซีกล่าวอย่างไม่สบอารมณ์ “จิ่วเยี่ย เจ้าไม่คิดว่าทุกครั้งที่ถูกสุ่ยจิงอิ๋งบังคับส่งตัวกลับไปมันน่าอายบ้างหรือ?”

“การได้ใกล้ชิดกับซีมากขึ้น แม้จะถูกบังคับส่งตัวกลับไปข้าก็ยอม”

การพัวพันที่โหมกระหน่ำดั่งพายุฝนจะไม่ยอมหยุดลงจนกว่าความตายจะมาเยือน

จิ่วเยี่ยเพิ่งจะได้ลิ้มรสความหวาน สุ่ยจิงอิ๋งผู้เป็นมารบ้าคลั่งในการปกป้องก็ได้ทำตามหน้าที่โดยไม่เห็นแก่ความสัมพันธ์ส่วนตนและส่งจิ่วเยี่ยกลับไปยังแดนนรก

เมื่อเห็นสภาพของมู่เฉียนซี สุ่ยจิงอิ๋งก็กล่าวถามขึ้น “ซีเอ๋อร์ ไม่เป็นอะไรกระมัง!”

มู่เฉียนซีกล่าว “มีหยกเย็นศักดิ์สิทธิ์อยู่ จิ่วเยี่ยยังค่อนข้างมั่นคง มาตอนนี้มีข่าวคราวเกี่ยวกับคัมภีร์หมื่นคำสาปส่วนนั้นของเผ่ามังกรแล้ว รีบหาคัมภีร์หมื่นคำสาปให้พบจิ่วเยี่ยกับข้าก็จะไม่เป็นอะไรหรอก”

สุ่ยจิงอิ๋งกล่าว “อื้ม!”

หลังจากที่จิ่วเยี่ยจากไปแล้ว คู่ซ้อมของมู่เฉียนซีก็ได้เปลี่ยนเป็นกู้ไป๋อี

ระยะเวลาหนึ่งเดือนผ่านไปอย่างรวดเร็ว มู่เฉียนซีได้ไปจับชีพจรให้กับปู่ตงหวง จากนั้นก็ไปยังห้องปรุงยาแล้วสกัดยาออกมาจำนวนไม่น้อย

นั่นทำให้ตงหวงรู้สึกปวดใจเป็นอย่างมาก “ซีเอ๋อร์ ข้าผู้เป็นผู้เฒ่าทำให้เจ้ากังวลใจเสียแล้ว เจ้าเองก็ต้องพักผ่อนให้ดี ๆ การสกัดยานั้นสิ้นเปลืองพลังนัก! แต่เจ้ากลับสกัดออกมาทีเดียวเสียมากมายเช่นนี้”

มู่เฉียนซีกล่าว “ท่านปู่ตงหวง ข้าไม่เป็นไรจริง ๆ”

“นี่เป็นยาบำรุงร่างกายที่ให้ท่าน เช้ากลางวันเย็นแต่ละมื้อกินหนึ่งเม็ด แล้วก็นี่เป็นยาฟื้นฟูวิญญาณ แล้วก็…”

หลังจากที่แนะนำตัวยาแต่ละตัวจนเสร็จสิ้นเรียบร้อย ตงหวงก็รู้สึกไม่ค่อยมีความสุขราวกับว่าจะขาดอะไรไป “ซีเอ๋อร์ นี่เจ้ากำลังจะทอดทิ้งปู่ไปหรือ?”

เพื่อภรรยา เขาอยู่ตัวคนเดียวมาเป็นเวลายาวนานนัก มาวันนี้มีหลานสาวผู้ที่เป็นห่วงเป็นใยอยู่ข้างกายของเขา เขาตัดใจไม่ลง

มู่เฉียนซีกล่าว “ท่านปู่ตงหวง ข้ายังมีเรื่องอีกมากมายที่ต้องทำ ก็เลยควรที่จะจากไปแล้ว”

ตงหวงเก็บอาการเสียใจนั้นเอาไว้ เขาถามขึ้น “ซีเอ๋อร์มีแผนที่จะทำอะไร?”

“หาตำแหน่งของเผ่ามังกรให้พบแล้วไปเอาคัมภีร์หมื่นคำสาปเล่มนั้นของเผ่ามังกร” มู่เฉียนซีกล่าวตอบ

ตงหวงถามต่อ “แล้วหลังจากที่หาคัมภีร์นั้นของเผ่ามังกรพบแล้วเล่า? บางทีคัมภีร์หมื่นคำสาปส่วนนั้นของเผ่ามังกรอาจจะไม่มีบันทึกเกี่ยวกับคำสาปของเจ้าหนูนั่น หรือไม่ก็มีบันทึกไม่ครบ อย่างไรเสียมันก็มีตั้งสามส่วน”

มู่เฉียนซีกล่าว “เช่นนั้นก็ไปหาเผ่ากินเลนไม่ก็เผ่าหงส์”

“ในเมื่อกุญแจเทพเผ่ามังกรอยู่ในมือของเจ้า ข้าก็จะไม่อยู่ที่นี่อีกต่อไปแล้ว ข้าเตรียมตัวที่จะออกเดินทางไปค้นหาคัมภีร์หมื่นคำสาปส่วนนั้นของเผ่าหงส์ หากทันทีที่มีข่าว ข้าไม่รู้ว่าข้าจะสามารถไปส่งข่าวบอกเจ้าได้ที่ไหน?”

มู่เฉียนซีกล่าว “ท่านปู่ตงหวง ท่านสามารถไปส่งข่าวที่หอหมอปีศาจได้ ข้าคิดว่าคงอีกไม่นานนักหอหมอปีศาจก็จะมีชื่อเสียงเป็นอย่างมากไปทั่วโลกทั้งสี่ทิศ ท่านจะสามารถหามันได้อย่างง่ายดาย”

เมื่อไม่มีจิ่วเยี่ยอยู่ ในที่สุดตงหวงก็สามารถลูบหัวของมู่เฉียนซีได้ดั่งใจหมาย

เขากล่าวออกมาด้วยความสงสาร “ซีเอ๋อร์ ลำบากเจ้าเสียแล้ว”

“ไม่ลำบาก ขอแค่เพียงเขาไม่เป็นไรก็พอ” มู่เฉียนซียิ้มแล้วกล่าว

ขอแค่เพียงเขาไม่เป็นอะไรก็พอ! กู้ไป๋อีตกตะลึงไปเล็กน้อย รอยยิ้มของนางกำลังทำให้หัวใจของเขาเจ็บแปลบ

ตงหวงยิ้มแล้วกล่าว “ไม่เสียทีที่เป็นหลานสาวของข้า มีนิสัยอารมณ์ที่เหมือนกับข้า! พวกเราจะต้องสามารถทำได้”

ล้านปีมานี้ไม่รู้ว่ามีคนมากน้อยเท่าใดที่ไม่เลือกวิธีการเพื่ออยากจะได้มาซึ่งคัมภีร์หมื่นคำสาป

สามเผ่าสัตว์เทพโบราณแข็งแกร่งเกินไปยิ่งนัก อีกทั้งพวกมันยังซ่อนตัวอยู่อย่างลับ ๆ ตั้งแต่ไหนแต่ไรมาไม่เคยมีผู้ใดที่จะสามารถรวบรวมคัมภีร์หมื่นคำสาปทั้งสามส่วนได้ครบ

แต่ทว่า พวกเขากลับมีเหตุผลที่จะต้องรวบรวมมันให้ครบ

ไม่ว่าอย่างไรก็ตามพวกเขาจะต้องทำให้ได้ เพราะพวกเขาไม่สามารถที่จะทนรับความเจ็บปวดของการสูญเสียสิ่งอันเป็นที่รักไปได้

มู่เฉียนซีกำลังจะจากไปพร้อมกับกู้ไป๋อี ตงหวงยังคงอดเสียดายไม่ได้เลยกล่าว “ซีเอ๋อร์ ก่อนเจ้าจะจากไปจะให้ปู่เตรียมอาหารสำรับใหญ่ไว้ให้เจ้าหรือไม่”

มุมปากของมู่เฉียนซีกระตุกเล็กน้อย นางรู้สึกว่ากระเพาะของนางกำลังดีดดิ้น

“ไม่ต้องหรอกท่านปู่ตงหวง ตอนนี้ข้ายังไม่หิว!”

ว่าแล้วนางกับกู้ไป๋อีก็ได้วิ่งออกไปราวกับวิ่งหนีเพื่อเอาชีวิตรอด ตงหวงมองตามเงาหลังพวกเขาไปก็อดกลั้นไว้ไม่ไหวหัวเราะออกมา

“เจ้าหนูเฟิงอวิ๋นกลับมีบุตรสาวที่น่ารักเช่นนี้ ผู้เฒ่าผู้นี้รู้สึกอิจฉาเสียแล้ว”

คาดไว้ว่าจะออกมาทำการฝึกฝนครึ่งปี แต่ด้วยเพราะการหมุนไปของเวลาในเมืองเฮยตูไม่เหมือนกับที่อื่น ๆ นางจึงยังเหลือเวลาอยู่อีกไม่น้อย

มู่เฉียนซีกล่าว “เสี่ยวไป๋ พวกเราไปในแต่ละที่ของทุ่งรกร้างนี้กันเถอะ! ถือโอกาสหาข่าวสำนักขวางโซ่วเสียหน่อย”

กู้ไป๋อีพยักหน้ากล่าว “ทั้งหมดล้วนแล้วแต่บัญชาของคุณหนูใหญ่”

พวกเขาทั้งสองมีบุคลิกที่โดดเด่น เลยพบกับปัญหาอยู่ไม่น้อย

คนของทุ่งรกร้างนั้นนับว่าเป็นกลุ่มคนที่ค่อนข้างห้าวหาญของแดนตะวันตก แต่พวกเขาเพิ่งออกมาจากเมืองเฮยตูเลยรู้สึกว่าเจ้าพวกนี้ไม่มีโอกาสที่จะให้พวกเขาได้ขยับมือไม้เลย

แม้ว่าจะพบเข้ากับระดับมหาจักรพรรดิก็ตาม แต่พลังความสามารถก็อ่อนแอยิ่งนัก

มู่เฉียนซีกล่าว “พวกคนเหล่านี้น่าเบื่อเกินไป ดูทีจะต้องกลับไปให้ไวเสียหน่อยแล้ว”

หลังจากได้ผ่านศึกอันนองเลือดที่เมืองเฮยตู ทุ่งรกร้างแห่งนี้ก็ไม่พบคนผู้ใดที่สามารถพอจะประมือกันได้เลย

กู้ไป๋อีกล่าว “คุณหนูใหญ่สามารถไปลองดูที่เมืองขั้นสำนักนิกายระดับสองได้”

“เมืองขั้นสำนักนิกายระดับหนึ่งสูงสุดก็มีเพียงมหาจักรพรรดิแห่งภูตขั้นที่สามซึ่งมิได้แข็งแกร่งสักเท่าไร ตอนนี้พลังความสามารถของคุณหนูใหญ่แม้สู้กับมหาจักรพรรดิแห่งภูตขั้นที่สี่ก็ยังไม่มีความกดดันแม้แต่นิดเดียว”

มู่เฉียนซีกล่าว “ได้! ถ้าหากว่าที่เมืองขั้นสำนักนิกายระดับสองยังหาคู่ต่อสู้ไม่พบพวกเราก็กลับไปเมืองเหลย สำนักขวางโซ่วซ่อนตัวลึกล้ำนัก ในตอนนี้แม้แต่ร่องรอยหรือเบาะแสเพียงเล็กน้อยก็ยังหาไม่พบ”

จากนั้นมู่เฉียนซีกับกู้ไป๋อีก็ได้มาถึงยังเมืองขั้นสำนักนิกายระดับสองที่อยู่ค่อนข้างห่างไกลแห่งหนึ่ง มันคือเมืองเทียนอวิ่น (สวรรค์ทลาย)

ทันทีที่พวกเขาเข้าไปในเมืองก็พบว่าเมืองนี้เป็นเมืองที่ครึกครื้นเป็นอย่างมาก

“พวกเจ้ารู้หรือไม่? วันนี้คุณหนูใหญ่แห่งจวนเจ้าเมืองจะเปิดการประลองเพื่อหาคู่! ได้ยินมาว่าอัจฉริยะจากเมืองขั้นสำนักนิกายระดับหนึ่งและสองรอบ ๆ ด้านล้วนแต่รีบรุดมา”

“คุณหนูใหญ่ของพวกเรานั้นงดงามเป็นอย่างมากอีกทั้งยังเป็นบุตรสาวเพียงคนเดียวของท่านเจ้าเมือง ขอแค่เพียงได้นางไปแต่งงานด้วยก็สามารถที่จะได้รับตำแหน่งเจ้าเมืองแห่งเมืองเทียนอวิ่นของพวกเราต่อได้ เจ้าคิดว่าพวกคนที่มีความสามารถเหล่านั้นจะไม่มาร่วมเหรอ?”

“……”

มู่เฉียนซีมองไปทางกู่ไป๋อีแล้วกล่าว “เสี่ยวไป๋ ได้ยินมาว่าคุณหนูใหญ่แห่งจวนเจ้าเมืองนั้นมีรูปลักษณ์งดงามยิ่งนัก อีกทั้งนางกำลังจัดงานประลองเพื่อหาคู่ เจ้าว่าเจ้าควรจะไปดูเสียหน่อยหรือไม่?”

กู้ไป๋อีกล่าวด้วยสีหน้าอันไร้อารมณ์ “คุณหนูใหญ่ ข้าไม่ต้องการ!”

มู่เฉียนซีกล่าวต่อ “แต่ข้าประหลาดใจยิ่งนัก! หญิงสาวผู้ที่มีรูปลักษณ์งดงามกลับมาจัดงานประลองเพื่อหาคู่ในทุ่งรกร้าง พวกเขาไม่กลัวว่าจะถูกลักชิงตัวไปแต่งงานในทันทีหรือ?”

แม้ว่ากู้ไป๋อีจะไม่ชอบเป็นอย่างมาก แต่มู่เฉียนซีก็ได้พาตัวเขาเข้าไปยังกลุ่มคนที่แออัดกันอยู่เสียแล้ว

จนเมื่อพวกเขามาถึง คนที่ยืนอยู่ด้านล่างของเวทีประลองก็มีจำนวนไม่น้อยแล้ว

หลังจากคนของจวนเจ้าเมืองกล่าวปราศรัยไปแล้ว หญิงสาวในชุดสีขาวก็ได้เดินเข้ามา ทรวดทรงของนางนั้นเย้ายวนยิ่งนัก แต่นางก็มิได้กล่าวอันใด

น่าเสียดายที่ใบหน้านั้นถูกปิดเอาไว้ด้วยผ้าคลุมสีขาว ทำให้ไม่มีใครมองเห็นใบหน้าอันแสนงดงามนั้น

คุณหนูใหญ่แห่งจวนเจ้าเมืองกล่าวขึ้น “วันนี้ ผู้ที่ได้รับชัยชนะในการประลองครั้งนี้และกลายเป็นสามีของข้าถึงจะได้เห็นใบหน้าของข้า ข้าหวังว่าสามีในอนาคตของข้าจะมิเป็นเพียงอัจฉริยะบรรลือโลกผู้หนึ่งเท่านั้น อีกทั้งยังจะต้องเป็นผู้แข็งแกร่งผู้หนึ่ง”

สายลมอ่อน ๆ พัดผ่านกระโปรงและผ้าคลุมหน้าของคุณหนูใหญ่ มีกลิ่นหอมชนิดหนึ่งลอยมา นั่นยิ่งทำให้จิตวิญญาณของผู้ที่คิดจะเข้าร่วมการประลองเหล่านั้นลุ่มหลงล้มครืนอย่างไม่เป็นท่ามากเข้าไปกว่าเดิม

เมื่อปลายจมูกของมู่เฉียนซีขยับ นางก็ได้กล่าวกับกู้ไป๋อี “ไป๋อี เจ้าดูสิ! ช่างเป็นคนงามที่งดงามอะไรเช่นนี้! ถ้าเจ้าขึ้นไปเข้าร่วมการประลอง คนเหล่านี้ล้วนแต่มิใช่คู่ต่อสู้ของเจ้าและเมื่อถึงตอนนั้นเจ้าสามารถที่จะอุ้มสาวงามกลับมาด้วยได้”

เมื่อได้ยินคำกล่าวนี้ของมู่เฉียนซี สีหน้าของกู้ไป๋อีก็มืดครึ้มลงพลัน ดวงตาที่ใสและเย็นยะเยือกแฝงไปด้วยแววตาแห่งความโกรธ “คุณหนูใหญ่จงอย่าได้ล้อเล่นกับข้าเช่นนี้ ข้าไม่มีความสนใจในตัวสตรีนางนั้น!”