ตอนที่ 755 ร่างจันทราถึงสุริยา

ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ

ตอนที่ 755 ร่างจันทราถึงสุริยา
โดย
Ink Stone_Fantasy
จะบอกว่าช้าแต่กลับรวดเร็วมาก ภายใต้การสะบัดหัวของอสรพิษเพลิง เปลวไฟอันพวยพุ่งก็ถูกพ่นออกมาทันที และพุ่งเข้าหาหลิ่วหมิงอย่างล้นหลาม

เปลวไฟยังไม่ทันเข้าใกล้หลิ่วหมิง ไอร้อนก็กดดันเข้ามาราวกับภูเขา

หลิ่วหมิงไม่กระพริบตาเลยแม้แต่น้อย แม้ว่าอสรพิษนี้จะมีพลังมาก แต่กลับไม่ได้อยู่ในสายตาของเขาเลย พอยกมือข้างหนึ่งขึ้น ก็เกิดเสียงกระบี่ดังกังวาน เงากระบี่สีทองเปล่งประกายออกมา และแผ่ขยายออกไปเป็นรูปพัด กลิ่นไอกระบี่อันครั่นคร้ามพวยพุ่งออกมาทันที

ครู่ต่อมา ท่ามกลางเสียงดังหวึ่งๆ เงากระบี่ก็รวมตัวกันเป็นแสงกระบี่ที่ยาวสิบกว่าจั้งก่อนพุ่งออกไปเป็นแถบผ้าสีทอง

เปลวไฟที่พวยพุ่งเข้ามาสั่นสะท้านทีหนึ่ง จากนั้นก็ถูกกวาดออกไปท่ามกลางปราณกระบี่สีทองจนหมดสิ้น

ภายใต้การพร่ามัวของแถบผ้าสีทอง มันก็ฟันลงบนหัวของอสรพิษเพลิง

หลิ่วหมิงเผยแววตาโหดเหี้ยมออกมา นิ้วทั้งสิบเคลื่อนไหวติดต่อกัน ไอกระบี่เย็นราวกับน้ำแข็งพุ่งขึ้นฟ้าท่ามกลางแสงสีทอง

ท่ามกลางเมฆอัคคี กู่อวี้รู้สึกแค่ว่าร่างกายเย็นสะท้าน จากนั้นจิตใจและสติปัญญาก็จมอยู่ในไอกระบี่อันครั่นคร้ามโดยสมบูรณ์ ในสมองว่างเปล่าอยู่ครู่หนึ่ง

เกิดเสียงดังขึ้นมา!

อสรพิษเพลิงถูกแสงสีทองฟันจนระเบิดตัวกลายเป็นสะเก็ดไฟ

ตั้งแต่ตอนที่กู่อวี้ลงมือ จนถึงตอนที่อสรพิษเพลิงถูกโจมตี ใช้เวลาพริบตาเดียวเท่านั้น สิ่งนี้ทำให้ซือหม่าชงที่ยืนอยู่ไกลๆ รู้สึกตกใจจนปากอ้าตาค้าง ดูเหมือนว่าเขาไม่อยากจะเชื่อสิ่งที่เกิดขึ้นตรงหน้า

“เป็นไปไม่ได้!” ท่ามกลางเมฆอัคคี กู่อวี้ได้สติขึ้นมาทันที และตะโกนด้วยความตกใจระคนโมโห

หลิ่วหมิงทำเสียงฮึดฮัด แต่กลับชี้มือข้างหนึ่งไปกลางอากาศ พลังของสายรุ้งสีทองม้วนตัวกลับไปยังเมฆอัคคีโดยที่พลังของมันไม่ได้ลดลงเลยแม้แต่น้อย จากนั้นจันทราสีทองก็ปรากฏออกมา และหมุนวนอย่างบ้าคลั่ง ทันใดนั้น มันก็ระเบิดปราณกระบี่สีทองออกมาจนแน่นขนัด

เมฆอัคคีที่ปกคลุมเต็มฟ้าถูกปราณกระบี่แทงจนกลายเป็นรูจำนวนมาก หลังจากส่งเสียงดังสะเทือนเลือนลั่นแล้ว มันก็ระเบิดออกมาโดยสมบูรณ์

ครู่ต่อมา เงาร่างสีแดงก็โซเซออกมาจากท่ามกลางเมฆอัคคี และกระเด็นออกจากเมฆอัคคีที่แตกกระจาย หลังจากเกิดเสียง “ปัง!” ก็ถูกปราณกระบี่ขนาดใหญ่ที่กวาดเข้ามาโจมตีจนล้มลงบนกองหินที่อยู่บริเวณนั้น และส่งเสียงร้องอย่างเวทนา

เงาร่างสีแดงก็คือกู่อวี้นั่นเอง พอเขาตกถึงพื้นก็รีบลุกขึ้นมาทันที ใบหน้าเป็นสีแดงไปทั้งแถบ ดวงตาดูเหลือเชื่อเป็นอย่างมาก แต่ดูจากท่าทีของเขาแล้ว เหมือนว่าจะไม่ได้รับบาดเจ็บอะไรมากนัก

ขณะนั้นเอง หลิ่วหมิงพลันรู้สึกว่ามีลมร้อนโจมตีมาจากด้านข้าง ซือหม่าชงที่เฝ้าดูการต่อสู้อยู่เห็นว่ากู่อวี้เสียเปรียบ จึงปะทะเข้ามาโดยไม่พูดพร่ำทำเพลง

หลิ่วหมิงยังไม่ทันได้หันหน้ากลับมา ไอดำก็เปล่งประกายรอบตัว ทันใดนั้นเขาก็กลายเป็นเงาร่างสามเงา เงาร่างจริงพุ่งไปด้านหน้าหลายจั้งอย่างรวดเร็ว และเงาร่างสองเงาที่ยังอยู่ที่เดิมก็ถูกกำปั้นสีทองโจมตีจนแตกกระจาย

ขณะนี้หลิ่วหมิงถึงหันหน้ากลับไปมอง จะเห็นว่าซือหม่าชงถูกแสงสีทองกลุ่มหนึ่งปกคลุมไว้ ร่างของเขาขยายใหญ่หนึ่งเท่ากว่าๆ ขณะเดียวกัน กลิ่นไอที่แผ่ออกมาก็บ้าคลั่งอย่างหาที่เปรียบมิได้

“ผู้ฝึกร่าง!”

หลิ่วหมิงเผยแววตาประหลาดใจออกมา มือซ้ายงอเล็กน้อย ปราณกระบี่สีทองพุ่งกลับมา หลังจากกระพริบหนึ่งทีแล้ว มันก็หลายเป็นเงากระบี่พุ่งกลับเข้าไปในระหว่างคิ้ว

“ฮึ! ตอบสนองเร็วดีนี่!”

ดวงตาของซือหม่าชงดูเยือกเย็นขึ้นมา เขาส่งเสียงคำรามออกมาทันที ร่างสีดำแววแววปล่อยแสงสีทองออกมานับหมื่นลำ กล้ามเนื้อแต่ละก้อนที่เป็นสีดำราวกับเหล็กก็นูนขึ้นมา ร่างกายขยายใหญ่สามถึงสี่ส่วน

คนผู้นี้เป็นผู้ฝึกร่างผู้หนึ่ง พอโคจรพลังจนกลายเป็นชายฉกรรจ์ร่างยักษ์ที่มีผิวสีทองแล้ว ปราณแกร่งคุ้มร่างก็ส่งเสียงระเบิดดังซ้ำแล้วซ้ำเล่า พอแขนข้างหนึ่งพร่ามัว เงากำปั้นขนาดเท่าศีรษะมนุษย์ก็โจมตีผ่านอากาศมาทางหลิ่วหมิง

สีหน้าหลิ่วหมิงไม่เปลี่ยนไปเลยแม้แต่น้อย ไอดำรอบตัวพวยพุ่งขึ้นมา เงาร่างมังกรพยัคฆ์สีดำหมุนอยู่บนแขน จากนั้นก็โจมตีใส่กำปั้นสีทองที่พุ่งเข้ามา

เกิดเสียงดังขึ้น!

มังกรพยัคฆ์สีดำปะทะเข้ากับเงากำปั้นสีทอง พลังมหาศาลทำให้เกิดระลอกคลื่นสีดำกับสีทองกลางอากาศ และแผ่ขยายออกไปทั่วทิศ

จากนั้นลำแสงสองกลุ่มก็แตกสลายไปพร้อมๆ กัน

คิดไม่ถึงว่าพลังของทั้งสองจะไม่มีใครเป็นรองใคร ซึ่งมีกำลังพอฟัดพอเหวี่ยงกัน!

ซือหม่าชงรู้สึกทั้งตกใจทั้งโมโห

อย่างที่รู้ว่า เขาเกิดมาพร้อมกับโครงกระดูกอันน่าประหลาดใจ หลังจากตั้งใจฝึกฝนมาหลายปีสิบปี ตอนนี้ยิ่งกระตุ้นเคล็ดวิชา ‘ร่างจันทราถึงสุริยา’ ขั้นที่สองที่เป็นวิชาฝึกร่างของยอดเขาแสงทองคำด้วย แต่คิดไม่ถึงว่าในด้านของพลัง ยังไม่อาจเอาชนะหลิ่วหมิงได้

หลังจากเขาครุ่นคิดสองสามทีแล้ว ก็เผยแววตาโหดเหี้ยม และร่ายคาถาออกมา

ทันใดนั้น แสงสีทองก็เปล่งประกายบนร่างของซือหม่าชง ลวดลายแปลกประหลาดสีเงินจางๆ ปรากฏขึ้นบนผิวหนัง เสียงเอ็นและกระดูกดังขึ้นภายในร่าง จากนั้นร่างของเขาก็ขยายใหญ่อีกสามส่วน กลิ่นไอก็เกิดการเปลี่ยนแปลงเล็กน้อย แลดูโหดเหี้ยมขึ้นมามาก

หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ ดวงตาของเขาก็เป็นประกาย และกระตุ้นพลังเวททั่วร่างอย่างไม่รอรี ไอดำรอบตัวก็เพิ่มขึ้นมาอีกเล็กน้อย

ขณะนั้นเอง ร่างขนาดใหญ่ของซือหม่าชงก็พุ่งขึ้นฟ้า และก้มลงมองหลิ่วหมิง แขนขนาดใหญ่กวาดออกไป กำปั้นขนาดเท่าศีรษะพร่ามัวเล็กน้อย และกลายเป็นกำปั้นสีทองเจ็ดแปดลูกที่มีรูปร่างเหมือนกันไม่มีผิด จากนั้นก็พุ่งเข้าหาหลิ่วหมิงอีกครั้ง

“ตู๊ม!”

หลังจากร่างของหลิ่วหมิงพร่ามัวแล้ว ก็หายไปจากที่เดิมในทันที และบนพื้นที่เคยยืนอยู่ก็มีแสงสีทองระเบิดอยู่ครู่หนึ่ง ทันใดนั้น ก็เกิดหลุมลึกๆ ขึ้นมาหนึ่งหลุม ซึ่งก่อให้เกิดเศษหินและฝุ่นควันจำนวนมาก

แต่พอร่างของหลิ่วหมิงมาปรากฏตัวบนพื้นบริเวณนั้น ซือหม่าชงก็กระโจนเข้ามาอีกครั้ง กำปั้นยักษ์ในมือเปล่งแสงสีทองเป็นประกาย

หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ก็หัวเราะเบาๆ พอขยับตัวหนึ่งที ก็กลายเป็นเงาร่างสามเงาพุ่งออกไปรับมือ และหมุนวนรอบตัวซือหม่าชงราวกับพายุ

เงากำปั้นของซือหม่าชงยกขึ้นมาโจมตีเงาร่างจนแตกกระจายอีกครั้ง พอเงาร่างสลายไป เงาร่างอีกเงาก็ปรากฏออกมาทันที!

“ตู๊ม!”

ซือหม่าชงรู้สึกตกตะลึงเล็กน้อย ร่างจริงของหลิ่วหมิงปรากฏตัวด้านหลังราวกับปีศาจ เงาร่างมังกรพยัคฆ์กลุ่มหนึ่งโจมตีลงบนหลังโดยตรง

ภายใต้สถานการณ์ที่ซือหม่าชงไม่ทันได้ระวัง ร่างขนาดมหึมาของเขาก็ถูกพลังมหาศาลโจมตีจนกระเด็นออกไปหลายจั้ง และกระแทกใส่หินบริเวณนั้นจนกระเด็นออกไป

เขาเอามือทั้งสองค้ำยันพื้นไว้ และกระอักเลือดออกมาจำนวนมาก แสงสีทองบนตัวดับลงอย่างรวดเร็ว วิชาฝึกร่างถูกทำลายในกำปั้นเดียว ร่างของเขาก็ฟื้นฟูกลับมาเท่าคนปกติราวกับมีรูรั่ว แม้แต่กลิ่นไอก็ดูอ่อนแรงขึ้นมา

“ล่วงเกินแล้ว!”

หลังจากมีน้ำเสียงราบเรียบดังขึ้นไม่ไกล เงาร่างทั้งสามก็พร่ามัวรวมกันเป็นหนึ่ง ผู้ที่ยืนเอามือไขว้หลัง และอยู่ห่างออกไปหลายจั้งก็คือหลิ่วหมิงนั่นเอง

กู่อวี้กับซือหม่าชงสบตากันทีหนึ่ง พวกเขาต่างก็รู้สึกว่าตนเองทั้งตกใจ ทั้งโมโห และน่าอับอายยิ่งนัก

ทั้งสองต่างก็ถูกหลิ่วหมิงโจมตีจนต้องถอยออกไปในไม่กี่กระบวนท่า แต่กลับไม่ได้รับบาดเจ็บอะไร และดูจากสีหน้าผ่อนคลายของฝ่ายตรงข้าม เห็นได้ชัดว่ายังไม่ได้นำพลังที่แท้จริงออกมา

“ดี! พลังของศิษย์น้องหลิ่วล้ำลึกยิ่งนัก เป็นพวกข้าที่สายตาคับแคบ ไม่รู้จักประมาณพลังของตนเอง” ซือหม่าชงเอามือเช็ดเลือดตรงมุมปาก ตอนนี้ไหนเลยจะยังมีหน้าอยู่ต่ออีก หลังจากทำท่าคารวะแล้ว ก็ทะยานขึ้นฟ้าโดยไม่สนใจกู่อวี้ที่อยู่ด้านข้างอีก

จะว่าไปแล้ว แม้เขาจะรู้สึกไม่พอใจที่หลิ่วหมิงแย่งสิทธิ์ไป แต่ก็ไม่คิดที่จะมาท้าสู้ถึงที่เช่นนี้ หากไม่ใช่ว่ากู่อวี้พยายามชวนเขามา ครั้งนี้คงไม่ต้องมาเสียหน้าเช่นนี้ ตอนนี้เขาจึงขี้เกียจสนใจสหายผู้นี้แล้ว

กู่อวี้ก็มองดูหลิ่วหมิงอย่างลึกซึ้งทีหนึ่ง จากนั้นก็หันตัวกลับไป และขี่เมฆทะยานขึ้นฟ้าโดยไม่พูดอะไรออกมาอีก

หลิ่วหมิงเห็นทั้งสองจากไปเช่นนี้ ก็ยิ้มออกมาทันที พอทำท่ามือด้วยมือข้างหนึ่ง เมฆดำก็ปรากฏขึ้นใต้เท้า และยกร่างของเขาขึ้นมา

ขณะนั้นเอง มีเสียงเด็กผู้ชายดังออกจากถุงหนังบนเอว ซึ่งก็คือหัวบินนั่นเอง

“นายท่าน ถุงหล่อเลี้ยงวิญญาณอึดอัดมาก ให้ข้าออกไปเถอะ!”

“เจ้านี่พูดมากเสียจริง นายท่านบอกแล้วนี่ว่าจะซื้อถุงหล่อเลี้ยงวิญญาณใบใหม่ให้พวกเรา อดทนอีกสองสามวันไม่ได้หรือไร?” น้ำเสียงเยือกเย็นของแมงป่องกระดูกดังออกมาจากถุงหนังอีกใบ

หลิ่วหมิงได้ยินก็เอามือลูบท้ายทอย ดูเหมือนว่าเขาจะนึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ จึงเก็บเมฆดำแล้วหมุนตัวเดินกลับไปยังถ้ำที่พักอีกครั้ง

พอเขาเหยียบเข้าไปในห้องลับ ก็ตบถุงหนังบนเอวทันที ไอหมอกสีเขียวดำทั้งสองสายพุ่งออกมาจากในนั้น หลังจากหมุนติ้วๆ รวมตัวกันแล้ว ก็กลายเป็นเด็กชายชุดเขียวกับหญิงสาวชุดดำ

“ในเมื่อเจ้าทั้งสองกลายร่างเป็นมนุษย์แล้ว ข้าออกไปชั่วคราวคงไม่พาพวกเจ้าไปด้วยแล้ว ตั้งใจฝึกฝนอยู่ในถ้ำจะดีกว่า แต่อย่าได้ออกไปเพ่นพ่านในขณะที่ข้าไม่อยู่ เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดปัญหาตามมา” หลิ่วหมิงสั่งด้วยน้ำเสียงที่นุ่มนวล

“อันนี้……รับทราบ! นายท่าน!” หญิงสาวชุดดำลังเลเล็กน้อย จากนั้นถึงตอบรับกลับไป

“แต่ว่าหากยังมีคน……” เด็กชายชุดเขียวเผยสีหน้าลำบากใจออกมา

“แต่อะไรกัน เจ้านี่เรื่องมากสุดเลย” หญิงสาวชุดดำเห็นเช่นนี้ ก็ตบหัวเด็กชายทีหนึ่ง และกล่าวอย่างไม่เกรงใจ

“รับทราบ! นายท่าน!” เด็กชายชุดเขียวก็ได้แต่พยักหน้าตอบรับเท่านั้น

ดูเหมือนว่าหลิ่วหมิงจะมองอะไรออก จึงกล่าวอย่างไม่ถือสา

“ข้ารู้ว่าพวกเจ้าทั้งสองกลัวจะมีคนในนิกายมาท้าสู้อีก แต่ด้วยพลังของข้า พวกเจ้ายังไม่วางใจอีกหรือ? อีกอย่างการประลองในนิกายก็สิ้นสุดลงแล้ว คงไม่มีปัญหาอะไรมาก ช่วงเวลานี้พวกเจ้าก็ตั้งใจฝึกฝนอยู่ในถ้ำก็พอแล้ว”

“ได้ รอถึงงานประตูสวรรค์จริงๆ พวกข้าทั้งสองจะช่วยนายท่านอีกแรงหนึ่ง” เด็กชายชุดเขียวได้ยินก็พยักหน้าติดต่อกัน

“นายท่านระวังตัวให้มากๆ นะ” หญิงสาวกล่าวกับหลิ่วหมิงด้วยน้ำเสียงอบอุ่น

หลังจากอสูรเลี้ยงทั้งสองเข้าสู่ระดับผลึกแล้ว ไม่เพียงแต่จะสามารถกลายร่างเป็นมนุษย์ได้เท่านั้น คำพูดคำจาก็คล่องแคล่วไม่น้อย และนิสัยก็เหมือนกับคนทั่วไปแล้ว

หลิ่วหมิงพยักหน้าแล้วเดินออกไปเปิดชั้นจำกัดนอกถ้ำอย่างคุ้นเคย จากนั้นถึงกลายเป็นแสงสีทองพุ่งไปยังวิหารลี้ลับ

หลังจากผ่านไปกว่าครึ่งชั่วยาม หลิ่วหมิงกลับเดินออกมาจากหอลี้ลับด้วยสีหน้าผิดหวัง

เขาได้ประกาศภารกิจบนป้ายประกาศลี้ลับมาเป็นเวลาเกือบสองเดือนแล้ว แต่กลับไม่มีคนรับภารกิจเลยแม้แต่คนเดียว ดูท่าเบาะแสของอสูรว่างเปล่าคงหายากกว่าที่คิดไว้มาก

หลิ่วหมิงถอนหายใจเบาๆ หลังจากยืนครุ่นคิดอยู่หน้าประตูหอลี้ลับอยู่ครู่หนึ่ง ก็พลันนึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ พอทำท่าเคล็ดกระบี่ เขาก็กลายเป็นแสงสีทองพุ่งไปทางวิหารไท่เจินทันที

ก่อนหน้านั้นเขาใช้แต้มคุณูปการแลกกับแก่นทองคำอุกกาบาตของตัวอ่อนกระบี่บินที่วิหารไท่เจิน แม้ว่าตอนนี้จะมีแต้มคุณูปการไม่มาก แต่ก็ลองไปเสี่ยงโชคที่วิหารไท่เจินดู

ชั่วเวลาหนึ่งถ้วยชาผ่านไป เขาก็มาอยู่ด้านในของวิหารไท่เจินแล้ว และกำลังตรงขึ้นไปบนชั้นสอง

………………………………