ส่วนที่ 5 สมรภูมิดอกไม้เหลือง ตอนที่ 26 ฤดูใบไม้ร่วงมีฝน

ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา

เมื่อเวลาผ่านไป ลึกเข้าไปในฤดูใบไม้ร่วง ท้องฟ้าเต็มไปด้วยใบไม้ที่ร่วงหล่นดูอ่อนล้า ต้นไม้เก่าแก่ในอารามถานเจ้อเหลือแค่กิ่งโกร๋นต้นเปลือย

ใบไม้ร่วงยังคงปกคลุมทางเดินเข้าสู่ภูเขา แต่หลังจากฝนฤดูใบไม้ร่วงตกลงมาเมื่อคืน ก็ไม่เหลือความงดงามอีก มีแต่กระตุ้นความรำคาญ เฉกเช่นผ้าห่มที่เปียกโชก

ใบไม้เปียกชุ่มก็มีประโยชน์อยู่บ้าง ประโยชน์หนึ่งก็คือเหยียบแล้วไม่เกิดเสียงดัง ภายใต้ท้องฟ้าที่ปกคลุมไปด้วยเมฆและม่านฝน ยอดฝีมือจากกองทัพต้าโจวหลายสิบคน และมือสังหารกับสายลับจำนวนมากจากกรมอาญาได้เหยียบย่ำใบไม้ที่ชุ่มโชก ข้ามผ่านทางภูเขาอย่างไร้เสียงลอบเข้าสู่ป่าที่ล้อมรอบภูเขา

เส้นทางจากวิหารถานเจ้อออกจากภูเขาถูกควบคุมไว้หมดแล้ว ไม่มีใครสามารถจากไปได้

มีเสียงกรอบแกรบดังขึ้น ราวกับว่ามีคนเดินผ่านใบไม้สีทองที่แห้งผากเหมือนเมื่อหลายวันก่อน แต่ละก้าวเหยียบใบไม้แห้งแหลกไปเป็นจำนวนมาก

เสียงเหมือนใบไม้ถูกเหยียบ แต่ที่จริงคือลมฤดูใบไม้ร่วงพัดผ่านสายฝน พัดหน้ากากกระดาษอย่างต่อเนื่อง

ชายคนหนึ่งเดินอยู่บนทางเดินบนเขา มีหน้ากากกระดาษอยู่บนใบหน้า บดบังจมูกและปากเอาไว้ มีเพียงแค่รูสีดำสองรูบนกระดาษตรงดวงตา ทำให้เขาดูน่าหวาดกลัวผิดปกติ

ฮว่าเจี่ยเซียวจาง

สายฝนที่ตกจากฟากฟ้ากลับหลีกเลี่ยงที่จะตกลงบนร่างของเขา กระดาษขาวยังคงแห้งสะอาด ไร้รอยหยดน้ำแม้แต่หยดเดียว

ในยุคดอกไม้ป่าเบ่งบาน มีอัจฉริยะผู้บำเพ็ญเพียรปรากฏตัวขึ้นมากมาย ทั้งน่ากลัวและน่าเกรงขาม ในหมู่พวกเขา เขาเป็นหนึ่งในคนที่แข็งแกร่งและน่ากลัวที่สุด

เขาไม่เคยพ่ายแพ้มาตลอดชีวิตยกเว้นหวังผ้อเพียงหนึ่งเดียวเท่านั้น เช่นเดียวกับสวินเหมย เขาไม่เคยเอาชนะหวังผ้อ ไม่แม้แต่ครั้งเดียว ไม่ว่าที่การประชุมใหญ่จู่สือหรือประกาศเซียวเหยา เขาก็เป็นได้แค่ที่สอง

แต่เขาไม่เคยกลัวหรือหวาดหวั่น คอยท้าสู้กับหวังผ้ออยู่เสมอ แต่ก็พ่ายแพ้อยู่ตลอด ต่อให้บ้าคลั่งจนแทบตายก็ไม่อาจสั่นคลอนเจตจำนงของเขาได้

การอยู่ใต้คนเพียงแค่คนเดียวดูเหมือนจะเป็นอันดับที่โดดเด่นมากแล้ว แต่เขาไม่ต้องการที่จะยอมรับ

วันนี้ฝนฤดูใบไม้ร่วงเย็นเยียบ เขาเดินบนทางภูเขาเส้นนี้ก็ย่อมมาเพื่อสู้กับหวังผ้ออีกครั้ง

เขาไม่เคยคิดว่าหวังผ้อจะไม่ยอมรับเพราะมียอดฝีมือจากราชสำนักจำนวนมากล้อมอารามถานเจ้อ หากหวังผ้อต้องการจากไป ก็ต้องล้มเขาให้ได้ก่อน

เพื่อเอาชนะสักครั้ง ไม่ก็พ่ายแพ้อีกครา

ลมฤดูใบไม้ร่วงพัดใส่กระดาษขาว ส่งเสียงกรอบแกรบราวใบไม้แห้ง

ฝนฤดูใบไม้ร่วงตกลงบนทางเดินภูเขา แต่ใบไม้ที่เปียกชุ่มไม่อาจส่งเสียงได้

เซียวจางไม่อาจเดินไปยังอารามถานเจ้อ ด้วยว่ามีคนปรากฏขึ้นตรงหน้าเขา

เดินบนใบไม้เปียกชุ่มไม่ก่อให้เกิดเสียงจริงๆ คนผู้นี้เดินผ่านแนวกั้นจำนวนมากบนทางภูเขาอย่างเงียบงัน ถึงขนาดปกปิดการมีอยู่จากการรับรู้ของเซียวจางได้

คนผู้นี้เป็นใครถึงได้แข็งแกร่งเพียงนี้

คนผู้นี้ใส่ชุดดำ เขาปล่อยให้น้ำฝนเปียกชุ่มร่างกายแผ่กลิ่นอายที่เย็นเยียบอย่างที่สุด

เสื้อผ้า หน้า ไหล่และมือที่ไพล่หลังล้วนดูเหมือนจะหล่อหลอมขึ้นจากเหล็ก

ยืนตรงหน้าทางถนน เขาตัดสายฝนฤดูใบไม้ร่วงออกจากพื้นดิน กันสายลมฤดูใบไม้ร่วงจากหน้ากากกระดาษ แยกอารามถานเจ้อออกจากส่วนที่เหลือของโลก

เขาเป็นเสมือนกำแพง มิใช่กำแพงที่สร้างขึ้นจากหินหรืออิฐ หากแต่เป็นกำแพงเหล็ก เป็นกำแพงที่แม้แต่ลมก็ไม่อาจผ่านไปได้

เซียวจางรู้ว่าคนผู้นี้เป็นใคร หลุมดำบนหน้ากากกระดาษสีขาวดูเหมือนจะลึกล้ำและสงบยิ่งกว่าเดิม แต่ก็ยังเห็นเปลวเพลิงแห่งความบ้าคลั่งได้อย่างเลือนราง

“เจ้าอยากหยุดข้าเช่นนั้นหรือ” เขาถามมนุษย์กำแพงเหล็กตรงหน้า

คนผู้นั้นมองกลับอย่างเรียบเฉย ราวกับว่าคำถามของเซียวจางนั้นช่างโง่เขลา ไม่ควรค่าให้ตอบคำ

ทั่วทั้งโลกรู้ว่าฮว่าเจี่ยเซียวจางเป็นคนบ้าคนหนึ่ง มีพฤติกรรมดื้อด้านรุนแรงผิดปกติ ไม่มีใครกล้าก่อกวนเขาแม้แต่น้อย คนที่กล้าสบประมาทเขามีน้อยยิ่งกว่า

แต่คนผู้นี้กลับทำเช่นนั้น แม้ว่าเจตจำนงต่อสู้ในดวงตาเซียวจางจะรุนแรงมาก แต่ที่สุดแล้ว…เขาก็ไม่โจมตี

เซียวจางนึกถึงข่าวลือ ด้วยความสัมพันธ์ของคนพวกนี้กับดินแดนต้าซี ย่อมไม่มีเหตุผลที่จะไม่โจมตีหวังผ้อ เขาถามขึ้น “หากเจ้าไม่ลงมือเองแล้วมาขวางทางข้าทำไม”

คนผู้นั้นตอบ “เมื่อข้ามาแล้ว พวกเจ้าก็ย่อมต้องจากไป เจ้าไม่ใช่คู่มือของเขา ข้าไม่อยากให้เจ้าทำให้เขาระวังตัวขึ้นมา”

เซียวจางโกรธขึ้นมาแล้วจริงๆ กระดาษขาวบนใบหน้าพัดกระพือเป็นการตอบสนอง

ทันใดนั้นลมฤดูใบไม้ร่วงก็หยุดพัดใบหน้า เขานิ่งเงียบเพราะเข้าใจเจตนาของอีกฝ่าย

“มันไม่ยุติธรรมกับเขา” เซียวจางกล่าว จ้องมองดวงตาของคนผู้นั้น

คนผู้นั้นมายังอารามถานเจ้อก็เพื่อสู้กับหวังผ้อ

เซียวจางกล่าวว่านี่ไม่ยุติธรรมกับหวังผ้อ

นี่หมายความว่าในสายตาเขา คนผู้นี้มีความแข็งแกร่งเหนือกว่าหวังผ้อ ว่าตามเหตุผล พวกเขาไม่ควรลดตัวเองลงมาสู้กับหวังผ้อ

หวังผ้ออยู่ในอันดับสูงสุดของประกาศเซียวเหยา แข็งแกร่งที่สุดในบรรดายอดฝีมือที่ระดับต่ำกว่าขั้นเขตแดนเทพศักดิ์สิทธิ์ในใจของผู้คน แล้วใครกันที่มีความแข็งแกร่งพอจะเอาชนะเขาได้โดยง่าย

หากมีใครสักคนจริงๆ ก็ต้องเป็นคนที่แข็งแกร่งในขั้นเขตแดนเทพศักดิ์สิทธิ์ เหล่าปีศาจเฒ่าที่ใช้มือคู่เดียวนับได้

คนผู้นี้เป็นใคร เป็นสมาชิกของแปดมรสุมอย่างนั้นหรือ หรือว่าเป็นผู้ยิ่งใหญ่ที่ซ่อนตัวจากโลกมานานหลายปี

เซียวจางรู้ว่าคนผู้นี้เป็นใคร ดังนั้นเขาจึงบอกว่าไม่ยุติธรรม แต่ไม่ได้หมายความว่าเขาหวาดกลัว

เขามองเห็นอนาคตอันใกล้ได้เล็กน้อย หวังผ้อล้มลงใต้ต้นไม้เก่าร่างปกคลุมไปด้วยเลือด

เขาจึงรู้สึกว่ายากจะยอมรับได้

เหมือนเช่นสวินเหมย เขาได้ใช้เวลาทั้งชีวิตหมายจะก้าวข้ามหวังผ้อ เขาพบว่ายากจะยอมรับได้หากก่อนที่เขาจะทำสำเร็จ หวังผ้อก็ถูกคนอื่นฆ่าไปเสียก่อน

ในตอนนี้ เขาได้เอาชนะความต้องการที่จะหยุดชายผู้นี้

คนผู้นี้อาจจะสังหารหวังผ้อได้ และหวังผ้อก็แข็งแกร่งกว่าเขา แต่เขาก็ยังหวังว่าจะหยุดคนผู้นี้เอาไว้ได้ ไม่ว่าจะมองอย่างไร นี่ก็ยังเป็นความคิดที่บ้าคลั่ง

เขาเป็นค้นบ้าตลอดมา

ฝนตกลงมาบนทวน เปียกชุ่มโชกมือ

มือนั้นเป็นของเซียวจาง ซึ่งกำเอาไว้แน่น

“แล้วเจ้ามีสิทธิ์อะไรมาพูดเรื่องความยุติธรรมกับข้า”

ชายผู้นั้นมองไปที่เซียวจาง สีหน้าไม่แยแสประหนึ่งมองความว่างเปล่า

ไหล่ที่เหมือนกำแพงเหล็กถูกสายฝนฤดูใบไม้ร่วงชะล้าง ดูเหมือนถูกขัดถูมาหลายหมื่นครั้ง เป็นประกายแวววาวราวโลหะ จากนั้นก็เริ่มเผยคมออกมา

เสียงคำรามดังออกมาจากกระดาษขาว

ฝนฤดูใบไม้ร่วงชะล้างทวนและนิ้วมือที่กำทวนเอาไว้ก็ซีดขาวลงเล็กน้อย

ในที่สุด เซียวจางก็ยังไม่โจมตี

หรือไม่อาจโจมตีได้

เขาได้แต่มองชายผู้นั้นเดินผ่านสายฝนเข้าสู่อารามถานเจ้อ

ดังเช่นกำแพงเหล็กที่ส่องแสงเย็นเยียบ

……

……

เถี่ยซู่[1]หนึ่งในแปดมรสุม

เขาเกิดที่ดินแดนต้าซี เมื่อครั้งยังเยาว์ เขาหนีออกทะเล ข้ามมหาสมุทรกว้างใหญ่ เขาปางตายแต่ก็โชคดีมีคนช่วยขึ้นฝั่ง คนผู้นั้นชื่อกวนซิงเค่อ

สิบปีที่ผ่านมา เขาได้ท่องไปในทะเลใต้ ทำความเข้าใจวิถีสวรรค์ ในที่สุดตอนนี้เขาก็กลับมาแล้ว

เขาทำความเข้าใจวิถีสวรรค์ ฝึกฝนในกล้ามเนื้อร่างกายจนแข็งแกร่งหาใดเปรียบ

‘ต้นไม้เหล็กออกดอก’ มีชื่อเสียงเทียบเท่ากับดอกไม้แดงของเปี๋ยยั่งหง ทว่าไม่มีใครเคยเห็นด้วยตาตนเองมาก่อน

เขาเข้าสู่อารามถานเจ้อ

ต้นไม้เก่าแก่ได้ผลัดใบจนหมดแล้ว ใบไม้เหลืองที่เหลืออยู่บนพื้นเปียกชุ่มไปด้วยน้ำฝน

เถี่ยซู่เดินไปยังโต๊ะหิน นั่งลงและหลับตา

ดังเช่นที่หวังผ้อทำช่วงหลายวันที่ผ่านมา

[1] เถี่ยซู่ แปลว่า ต้นไม้เหล็ก