บทที่ 495.1 ป๋ายอวี้จิงบนท้องฟ้า

กระบี่จงมา! Sword of Coming

ฟ้าสว่าง ผู้เฒ่าชุดดำคนนั้นก็เก็บคันเบ็ดตกปลาแล้ว ปลาหลีสีเงินเกิดมาก็ชื่นชอบแสงจันทร์ กริ่งเกรงแสงอาทิตย์ มีเพียงยามค่ำคืนเท่านั้นที่จะออกมาจากใต้น้ำ ว่ายวนหาอาหารไปทั่วทิศ หากบางครั้งที่กินเบ็ดตอนกลางวัน ต่อให้ถูกกระชากขึ้นบนฝั่ง ปลาหลีสีเงินที่มีสติปัญญาก็เลือกที่จะให้พินาศวอดวายกันไปทั้งสองฝ่าย ยอมทำให้ปราณวิญญาณในหนวดเจียวหลงสองเส้นสลายหายไป แม้ว่าจะไม่ได้กลายเป็นสัตว์ธรรมดาไปอย่างสิ้นเชิง แต่ระดับขั้นก็ลดฮวบลงต่ำอย่างเลี่ยงไม่ได้

แต่ว่าคนทั้งสามกลับไม่ได้หมดอาลัยตายอยากเพราะเหตุนี้ คิดจะตกปลาใหญ่ในทะเลสาบ อย่าว่าแต่ปลาที่มีสติปัญญาอย่างปลาหลีสีเงินนี่เลย ต่อให้เป็นปลาใหญ่ทั่วไปที่พวกชาวประมงชื่นชอบ รอด้วยความยากลำบากมาหนึ่งคืนแต่ไร้ผลเก็บเกี่ยวก็ถือว่าเป็นเรื่องปกติ หลังจากที่ผู้เฒ่าเก็บคันเบ็ดมาแล้วก็เริ่มเปลี่ยนเส้นเอ็นตกปลาเส้นใหม่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งตะขอตกปลาที่เปลี่ยนมามีขนาดเล็กจิ๋วกระทัดรัดเท่านิ้วหัวแม่มือ เด็กหนุ่มคนนั้นก็เริ่มปรับวัตถุดิบในการประกอบเหยื่อล่ออย่างใหม่ เผาผลาญเงินมากกว่าเดิม คงเป็นเพราะคิดจะตกปลาหลั่วสีทองที่หาได้ยากยิ่งกว่าแล้ว

เด็กหนุ่มคนนั้นนึกเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้ก็หันมามองทางต้นไม้ใหญ่ ตะโกนเรียก “สหาย คิดจะตกปลาหลั่วต้องอาศัยดวงอย่างเดียวเท่านั้น ไม่ได้มีข้อต้องห้ามใดๆ อยากจะไปตกปลาที่ใจกลางทะเลสาบด้วยกันหรือไม่? ข้ามีแพไม้ไผ่ พวกเราสามารถพายไปตกปลาด้วยกันได้”

สตรีที่เป็นองค์รักษ์อยากจะห้ามปราม แต่ก็ไม่ทันเสียแล้ว

เด็กหนุ่มหยิบเงินเหรียญทองแดงหนักอึ้งที่มีขนาดใหญ่เท่าฝ่ามือเด็กเหรียญหนึ่งออกมาถูไว้กลางฝ่ามือทั้งสองข้างเบาๆ ทันใดนั้นแพไม้ไผ่เล็กจิ๋วขนาดยาวเท่านิ้วมือก็จำแลงออกมา เด็กหนุ่มเป่าลมใส่เบาๆ จากนั้นก็โยนมันไปไว้ในทะเลสาบ แพไม้ไผ่พลันขยายใหญ่จนน้ำทะเลสาบแผ่กระเพื่อมเป็นริ้วๆ

เฉินผิงอันลังเลอยู่เล็กน้อย แต่สุดท้ายก็ยังพยักหน้ารับ กระโดดลงจากกิ่งไม้ มุ่งหน้าตรงไปที่ริมฝั่ง

สตรีผู้นั้นใช้วิธีรวมเสียงให้เป็นเส้นบอกเตือนผู้เฒ่าชุดดำว่าคนหนุ่มก็คือผู้ฝึกยุทธคนหนึ่งเช่นกัน อีกทั้งขอบเขตยังมีแต่จะสูงกว่า ไม่ต่ำกว่านาง

เมื่อคืนคนผู้นี้นอนหลับอยู่บนกิ่งไม้ ลมหายใจทอดยาวประหนึ่งน้ำสายเล็กไหลริน ปณิธานหมัดบริสุทธิ์อีกทั้งยังกระชับแน่น คือยอดฝีมือที่เดินเข้าสู่เส้นทางการฝึกวรยุทธอย่างแท้จริงแล้ว

การนอนหลับของผู้ฝึกยุทธ โดยทั่วไปมีเพียงเลื่อนสู่สามขอบเขตของหลอมดวงจิตแล้วเท่านั้นถึงจะอยู่ในสภาวะหลับเหมือนไม่หลับ มีปณิธานหมัดไหลเวียนทั่วร่างประหนึ่งมีสิ่งศักดิ์สิทธิ์คอยปกป้องได้

ดังนั้นจึงมีความเป็นไปได้มากว่าจอมยุทธพเนจรหนุ่มคนนี้จะเป็นลูกหลานชนชั้นสูง

ผู้เฒ่าชุดดำใช้เสียงในทะเลสาบหัวใจบอกแก่สตรี “ข้ากังวลแค่พวกผู้ฝึกตนอิสระเซียนดินที่ประวัติความเป็นมาไม่ถูกต้องมากกว่า หากเป็นผู้ฝึกยุทธหนุ่มที่มีพรสวรรค์สูง กลับกลายเป็นว่าไม่จำเป็นต้องกังวลมากนัก ศาลซานหลางของพวกเราไม่กลัวพวกภูเขาไร้ตีนพวกนั้นมากที่สุด วางใจเถอะ ตอนตกปลาข้าจะจับตามองเขาให้มาก บนร่างนายน้อยยังมีชุดคลุมอาคมและเม็ดเสื้อเกราะ สามารถต้านทานการโจมตีอย่างสุดกำลังจากผู้ฝึกกระบี่โอสถทองได้สองครั้ง ไม่มีทางเกิดข้อผิดพลาดแน่”

เฉินผิงอันเดินขึ้นไปบนแพไม้ไผ่ สตรีหยิบไม้ขึ้นมาถ่อเรืออย่างชำนาญ แพไม้ไผ่ลอยมุ่งหน้าสู่ใจกลางทะเลสาบอย่างช้าๆ นั่งลงบนม้านั่งที่เด็กหนุ่มเป็นฝ่ายยื่นส่งมาให้แล้ว เฉินผิงอันก็เอ่ยขอบคุณหนึ่งคำ หยิบคันเบ็ดตกปลาออกมาจากวัตถุจื่อชื่อของตัวเอง ส่วนเหยื่อแน่นอนว่าได้แต่ยืมเอาจากเด็กหนุ่มคนนั้น สายตาของสตรีฉายแววประหลาดใจเล็กน้อย ผู้ฝึกยุทธพกพาวัตถุฟางชุ่นติดตัว ไม่ใช่เรื่องที่เห็นได้บ่อย เป็นคุณชายตระกูลชนชั้นสูงจริงๆ เสียด้วย แต่ผู้เฒ่ากลับไม่เห็นเป็นสำคัญนัก สีหน้าของเขายังคงเป็นธรรมชาติ อีกทั้งยังเริ่มคุยเล่นกับจอมยุทธพเนจรหนุ่มที่ปลดงอบลงแล้วคนนั้นไปพร้อมกับนายน้อยของตัวเอง ทั้งสองฝ่ายต่างก็รู้สึกตรงกัน นั่นคือต่างก็ไม่พูดถึงชื่อแซ่และชาติตระกูลของตัวเอง

จอมยุทธคนหนึ่งที่สวมชุดคลุมอาคมท่องไปทั่วทิศ นี่หมายความว่าคนผู้นี้ยังไม่เลื่อนสู่สามขอบเขตของการหลอมดวงจิตบนวิถีวรยุทธอย่างแท้จริง

เห็นได้ชัดว่าเด็กหนุ่มที่มีชาติกำเนิดสูงศักดิ์ยังไม่เคยท่องอยู่ในยุทธภพมาก่อน หลังจากที่โยนเบ็ดไปพร้อมกับเฉินผิงอันก็พูดอย่างตรงไปตรงมาว่า “คุณชายท่านนี้ ข้ารู้สึกว่าคนที่ชอบตกปลาจากใจจริงอย่างพวกเรานี้ น้อยนักที่จะมีคนเลว เจ้าคิดว่าอย่างไร? ท่านปู่หลิวกับพี่หญิงฝานต่างก็ป้องกันเจ้าทุกเรื่อง ข้าคิดว่าไม่ค่อยดีสักเท่าไหร่”

ผู้เฒ่าชุดดำยังคงมีท่าทีเอ้อระเหยอยู่ดังเดิม เขาคีบเหยื่อส่วนหนึ่งออกมาจากในอ่างไม้แล้วโยนเข้าไปในทะเลสาบ

ทว่าผู้ติดตามที่เป็นสตรีแซ่ฝานกลับรู้สึกกระอักกระอ่วนเล็กน้อย

เฉินผิงอันไม่รู้ว่าควรจะตอบอย่างไร ได้แต่ใคร่ครวญอยู่ชั่วครู่แล้วเลือกจะพูดด้วยวิธีพบกันครึ่งทาง “คนเลวก็อาจจะมี แต่ก็ต้องน้อยกว่าอย่างแน่นอน ลงจากภูเขามาฝึกประสบการณ์ ไม่ว่าจะระมัดระวังรอบคอบแค่ไหนก็ไม่ถือว่าเกินไป”

เด็กหนุ่มส่ายหน้า ถอนหายใจเอ่ยว่า “ข้ารู้สึกว่าคำพูดนี้ของเจ้ามาจากความหวังดี เพียงแต่ว่านับตั้งแต่ท่านปู่ทวดจนมาถึงท่านปู่ แล้วก็มาถึงท่านพ่อท่านแม่ของข้า ทุกครั้งที่ข้าจะออกจากบ้าน พวกเขาล้วนชอบพูดแบบนี้ ข้ารำคาญอยู่บ้างจริงๆ”

เฉินผิงอันจึงไม่เอ่ยอะไรอีก

ก็แค่พบเจอกันโดยบังเอิญเท่านั้น เรื่องของครอบครัวคนอื่น ไม่ว่าจะพูดอะไรก็ไม่เหมาะสม

แต่เด็กหนุ่มคนนี้ออกจะทำตัวสนิทสนมกันเกินไปหน่อยหรือไม่?

จะต้องมีชาติกำเนิดที่ดีขนาดไหนถึงได้เป็นคนใจกว้างขนาดนี้?

จิตของเฉินผิงอันกระตุกเล็กน้อย เพียงแต่แสร้งทำเป็นว่าสัมผัสไม่ถึง ยังคงจ้องไปที่ผิวทะเลสาบ

ผู้เฒ่าชุดดำหันหน้าไปมองทิศไกล ยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “นายน้อย ตู้เหวินซือแห่งสำนักพีหมาใกล้จะมาถึงแล้ว ก่อนหน้านี้พวกเราหยุดอยู่ที่เมืองหลันเซ่อนานเกินไป คงเป็นเพราะกำหนดการเดินทางไม่ตรงกัน กลัวว่าจะเกิดเรื่องไม่คาดคิดกับพวกเรา โอสถทองหนุ่มคนนี้เลยนั่งไม่ติดแล้ว”

เด็กหนุ่มรู้สึกหงุดหงิดเล็กน้อย เขารำคาญที่ต้องรับมือกับเรื่องพวกนี้มากที่สุด หากเป็นคนวัยเดียวกันที่ถูกคอกันก็ว่าไปอย่าง แต่หากเป็นความสัมพันธ์กับพวกผู้อาวุโส เขาไม่ถนัดที่จะสานสัมพันธ์ด้วยจริงๆ สตรีผู้ฝึกยุทธเอ่ยเสียงเบา “นายน้อย ได้ยินมาว่าตู้เหวินซือมีนิสัยอ่อนโยน ไม่แก่งแย่งชิงดีชิงเด่นกับใคร ปีนั้นเขาออกจากชายหาดโครงกระดูกไปท่องเที่ยวอยู่ทางทิศเหนือได้เดินทางผ่านหน้าบ้านของพวกเรา ถูกชะตากับท่านผู้เฒ่าอย่างมาก จึงกลายมาเป็นสหายต่างวัยกัน คิดดูแล้วก็คงพูดคุยกับนายน้อยถูกคอ”

เด็กหนุ่มพยักหน้า หันไปทำหน้าทะเล้นใส่สตรีแล้วยิ้มเอ่ยว่า “พี่หญิงฝาน มารยาทยามอยู่นอกบ้าน ข้ายังพอจะเข้าใจอยู่บ้าง”

สตรีมีสายตาอ่อนโยน มุมปากยกกระตุกขึ้น

เฉินผิงอันชำเลืองตามองแวบหนึ่งแล้วก็ดึงสายตากลับ

ดีนักนะ

เจ้าเด็กโง่ข้างกายเขาผู้นี้คงยังจะไม่เข้าใจคำพูดไร้เสียงในดวงตาของพี่หญิงฝานของเขาคนนี้

มีผู้ฝึกลมปราณสวมชุดผ้าป่านสีขาวหิมะคนหนึ่งทะยานลมมาแต่ไกล ขอบฟ้าที่ห่างไปไกลจึงมีเสียงฟ้าคำรามประหนึ่งสายฟ้าในฤดูหนาว

พอขยับเข้ามาใกล้ทะเลสาบถงลวี่ เซียนดินสำนักพีหมาคนนั้นก็ชะลอความเร็วของกระบี่ ทว่าอันที่จริงความเร็วนั้นก็ยังไม่ถือว่าช้า แต่กลับไม่มีความเคลื่อนไหวใดๆ แทบจะเรียกได้ว่าเงียบสนิทไร้เสียง

เขาไม่ได้พลิ้วกายลงบนแพไม้ไผ่โดยตรง แต่เลือกที่จะรอคอยอย่างสงบอยู่บนฝั่ง แล้วก็ไม่เอ่ยปากพูดอะไร คงจะกลัวว่าจะทำให้ฝูงปลาในทะเลสาบถงลวี่ตกใจ

แค่มองก็รู้ว่าเป็นคนนิสัยอ่อนโยน

เฉินผิงอันจึงเตรียมจะเก็บคันเบ็ด

คิดไม่ถึงว่าเด็กหนุ่มคนนั้นจะยิ้มเอ่ยว่า “หากเจ้ายังอยากตกปลาต่อก็ตกเถิด ข้าจะทิ้งแพไม้ไผ่ลำนี้ไว้ให้เจ้าแล้วกัน ข้าอาจจะต้องไปที่เมืองชิงหลูก่อนหนึ่งรอบ แล้วค่อยกลับมาตกปลาหลีสีเงินที่ทะเลสาบถงลวี่นี้อีกครั้ง ถึงอย่างไรเจ้าเองก็มีวัตถฟางชุ่น ข้าสามารถสอนคาถาเก็บแพไม้ไผ่ให้เจ้าได้ ง่ายมากเลยล่ะ พอเจ้าไปถึงเมืองชิงหลูก็นำมันไปมอบไว้ให้ผู้ฝึกตนสำนักพีหมาคนใดก็ได้”

เฉินผิงอันส่ายหน้า “ไม่ต้องหรอก ข้าจะต้องรีบเดินทางต่อ เดิมทีขึ้นแพมาตกปลาครั้งนี้ก็เพื่อผ่อนคลายอารมณ์อยู่แล้ว”

เด็กหนุ่มเองก็ไม่คิดจะบังคับให้คนอื่นรับความหวังดีของเขาเอาไว้

พวกเขาย้อนกลับไปที่ชายฝั่งด้วยกัน เด็กหนุ่มเก็บแพไม้ไผ่ พอหันไปคารวะโอสถทองหนุ่มของสำนักพีหมาคนนั้นแล้วก็ยิ้มกว้างอย่างสดใส “หยวนเซวียนแห่งศาลซานหลางคารวะท่านอาตู้”

ตู้เหวินซือพยักหน้ารับด้วยรอยยิ้ม “ข้าเดาเอาว่าเจ้าจะต้องมาตกปลาที่ทะเลสาบถงลวี่แห่งนี้ ดังนั้นเดิมทีควรจะมาหาเจ้าช้ากว่านี้ เพียงแต่ถูกเจ้าสำนักจู๋เร่งรัด เลยไม่กล้าไม่มา ตอนนี้ท่านปู่ทวดของเจ้าสบายดีหรือ?”

หยวนเซวียนยิ้มกล่าว “แข็งแรงนักล่ะ”

ตู้เหวินซือยิ้มรับ

เฉินผิงอันกุมหมัดบอกลา

ตอนที่สายตาของเฉินผิงอันกับตู้เหวินซือประสานกัน ทั้งสองก็ผงกศีรษะให้อีกฝ่ายแทบจะเวลาเดียวกัน

เฉินผิงอันเดินออกไปได้ไม่กี่ก้าว หยวนเซวียนก็ไล่ตามเขามา เอ่ยเบาๆ ว่า “หากจะไปที่เมืองชิงหลู ทางที่ดีที่สุดคือเดินไปบนทางหลวงเส้นนั้น อ้อมหน่อยก็จริง แต่ก็ปลอดภัยกว่า หากต้องการความเร็วก็ต้องผ่านสถานที่ป่าเถื่อนที่มีพวกปีศาจใหญ่วางอำนาจ แต่ละตนบุกเบิกที่ดินตั้งตัวเป็นราชา ขวัญกล้าเทียมฟ้า ถึงขนาดเรียกตัวเองว่าหกอริยะ รวมตัวกันสร้างอิทธิพล ร่วมมือกันต้านทานพวกเจ้านครทั้งหลายที่อยู่ภาคกลางของหุบเขาผีร้าย ดุร้ายมากนักล่ะ ภูตผีในนครต่างๆ กับพวกปีศาจกลุ่มนี้มักจะเข่นฆ่ากันเป็นประจำ ตอนอยู่บนสนามรบก็สู้กันดุเดือดอย่างมาก ว่ากันว่ายังมีปีศาจใหญ่บางตนที่เสาะหาตำราพิชัยยุทธมาโดยเฉพาะ วันๆ ก็เอาแต่ศึกษาตำราเหล่านั้น ก็น่าขันอยู่ไม่น้อย”

เฉินผิงอันพยักหน้ารับ “ข้าจะระวังให้มาก ขออวยพรให้เจ้าประสบความสำเร็จในการตกปลา ได้ผลเก็บเกี่ยวก้อนใหญ่ ได้ทั้งปลาหลั่วและปลาหลีสีเงินมาอยู่ในกระเป๋าพร้อมกัน”

หยวนเซวียนพยักหน้ารับอย่างแรง ก่อนหน้านี้เผลอพูดไปแล้ว ก็เลยถือโอกาสแนะนำตัวเองเสียเลย “ข้าชื่อหยวนเซวียน คือลูกศิษย์ของศาลซานหลาง”

เฉินผิงอันลังเลเล็กน้อย ก่อนจะยิ้มเอ่ยว่า “ข้าชื่อเฉินผิงอัน มาจากแจกันสมบัติทวีป”

หยวนเซวียนหัวเราะหึหึ “อันที่จริงฟังจากสำเนียงของเจ้าก็รู้แล้วว่าเป็นคนจากทวีปอื่น”

เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “คนเก่าแก่ในยุทธภพ”

หยวนเซวียนอึ้งตะลึง “พูดจริงหรือ?”

เฉินผิงอันจึงเอ่ย “พูดไปตามมารยาท”

หยวนเซวียนหัวเราะฮ่าๆ เสียงดังอย่างอารมณ์ดี

บอกแล้วไงล่ะว่า สหายตกปลาในใต้หล้านี้ล้วนเป็นคนครอบครัวเดียวกัน ไม่มีใครที่เป็นคนเลว

ตนชอบตกปลามาตั้งแต่เด็ก แน่นอนว่าล้วนเป็นเพราะได้รับการสั่งสอนจากท่านปู่ทวดที่เชี่ยวชาญในเรื่องนี้ ท่านปู่ทวดเคยบอกไว้นานแล้วว่า ผู้มีปัญญาดุจสายน้ำ ผู้ที่มีงานอดิเรกเป็นการตกปลาก็ยิ่งมีความสามารถและหาได้ยากยิ่ง เพราะคนที่มีสติปัญญาเฉียบไวกลับยากที่จะทำใจให้สงบได้มากที่สุด และการตกปลาก็พิถีพิถันในเรื่องของคำว่าสงบนิ่งมากที่สุด

ทั้งสองฝ่ายจึงจากลากันตรงนี้

พวกกลุ่มนายบ่าวหยวนเซวียนแห่งซานหลางติดตามตู้เหวินซือเดินเลียบทางหลวงเส้นนั้นไปยังเมืองชิงหลู

ส่วนเฉินผิงอันก็ไปที่ภูเขาถงกวาน

ไปเจอกับวานรย้ายภูเขาและสุนัขตะลุยภูเขาเสียหน่อย โดยเฉพาะฝ่ายแรกที่เขาควรจะเรียนรู้หนังทองแดงกระดูกเหล็กของพวกมันให้มากขึ้นสักหน่อย

ส่วนศาลซานหลางของหยวนเซวียนนั้น ตอนที่เฉินผิงอันอ่านขนบธรรมเนียมประเพณีของกุรุทวีปในเขตการปกครองหลงเฉวียนก็พอจะรู้จักมาบ้างแล้ว ศาลซานหลางคือร้านขายอาวุธที่ใหญ่ที่สุดของอุตรกุรุทวีป มีชื่อเสียงดีเยี่ยม มีมิตรสหายอยู่ทั่วทั้งใต้หล้าอย่างแท้จริง แน่นอนว่าผู้ฝึกตนของศาลซานหลางก็มีชื่อเสียงมากที่สุดในด้านที่ว่า แต่ละคนล้วนต่อสู้เก่งอย่างยิ่ง

มิน่าเล่า

เด็กหนุ่มหยวนเซวียนถึงได้มีจิตใจที่ซื่อบริสุทธิ์ถึงเพียงนี้

ค่อนข้างจะคล้ายคลึงกับฟ่านเอ้อร์แห่งนครมังกรเฒ่า

และดูเหมือนว่าจะคล้ายหลิวโยวโจวแห่งธวัลทวีปที่ได้ครอบครองจวนหยวนโหรวในภูเขาห้อยหัวมากเหมือนกัน

ลูกศิษย์ศาลซานหลางผู้หนึ่งที่สามารถทำให้เจ้าสำนักพีหมาให้ความสำคัญ และตู้เหวินซือยังมารับด้วยตัวเอง ในสายตาของเขาแล้ว ภูตแห่งภูเขาหนองบึงในหุบเขาผีร้ายก็ยังคู่ควรกับคำว่า ‘ปีศาจใหญ่’ ‘ดุร้าย’ ด้วยหรือ?

จะว่าไปแล้วก็ยังอุตส่าห์มาบอกเตือนเฉินผิงอันด้วยความหวังดี

ลูกหลานคนมีเงิน หากเป็นอย่างนี้เหมือนกันทุกคน วิถีทางโลกคงจะสงบสุขมากขึ้นกระมัง

น่าเสียดายก็แต่หวงเฮ้อแห่งทะเลสาบซูเจี่ยน องค์ชายแห่งราชวงศ์ต้าเฉวียนใบถงทวีปที่เจอกันที่โรงเตี๊ยมริมชายแดน รวมไปถึงองค์ชายที่สังหารเฉินผิงอันในคืนวันหิมะตกไม่สำเร็จแล้วยังกลายเป็นฝ่ายถูกฆ่า ลูกหลานชนชั้นสูงประเภทนี้ มีเยอะมาก

ต่อให้เจอแล้วก็ล้วนฆ่าได้ ล้วนฆ่าได้ทั้งหมด ราวกับว่าฆ่าอย่างไรก็ไม่หมดสิ้นเสียที พวกคนที่เดินตามเส้นทางของตัวเองไปสู่ตำแหน่งสูงเหล่านี้มีแต่จะเป็นดั่งหน่อไม้หลังฝนที่พากันผุดออกมาคนแล้วคนเล่า ฤดูใบไม้ผลิพัดโชยมาก็เติบโตขึ้นมาใหม่ ไม่ได้เป็นดั่งต้นหญ้าที่พลิ้วไหวไปตามสายลมอย่างเดียวเท่านั้น

เป็นเพราะคนอย่างฉีจิ้งชุนบนโลกใบนี้มีน้อยเกินไป หรือเป็นเพราะคนอย่างชุยฉานจำเป็นต้องดำรงอยู่?

เฉินผิงอันเดินอยู่บนทางเล็กที่เปลี่ยวร้างในผืนป่า ปลดน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ลงมาดื่มเหล้าหนึ่งอึก แต่กลับพบว่าเป็นน้ำในลำธารภูเขา หาใช่เหล้าไม่

เฉินผิงอันหันกลับไปมองแผ่นหลังตัวเองที่ถูกแสงแดดสาดส่อง

เขาดีดปลายเท้าบินทะยานขึ้นไปบนยอดหญ้าสีเหลืองแห้งกรอบ ตรงดิ่งไปยังภูเขาถงกวาน

อริยะใหญ่ปานซาน (ย้ายขุนเขา) หนึ่งในหกอริยะของหุบเขาผีร้ายมีชาติกำเนิดมาจากภูเขาถงกวาน วานรย้ายภูเขาตัวนั้นหล่อหลอมเรือนกายจนแข็งแกร่งอย่างหาที่เปรียบไม่ได้ อาวุธประจำกายคือค้อนดาวตกคู่หนึ่ง

ฝ่ายของหยวนเซวียนที่แยกทางกับเฉินผิงอัน

เมื่อเด็กหนุ่มพบว่าตู้เหวินซือคือผู้อาวุโสที่มีเมตตาแต่พูดไม่เก่ง ก็กลับกลายเป็นว่าเขาเป็นคนชวนคุยเสียเองด้วยการเล่าเรื่องน่าสนใจตลอดทางที่ผ่านมาให้ตู้เหวินซือฟัง

ระหว่างนี้มีครั้งหนึ่งที่ตู้เหวินสือหันไปมองแผ่นหลังของจอมยุทธหนุ่มคนนั้นเหมือนตั้งใจแต่ก็คล้ายไม่เจตนา โอสถทองหนุ่มที่มีชื่อเสียงทัดเทียมกับหยางหลินในสำนักพีหมาและนครปี้ฮว่าผู้นี้ทำท่าครุ่นคิด สถานการณ์บางอย่างที่เกิดขึ้นในนครฟูนี่ ว่ากันว่าถูกเซียนกระบี่หนุ่มคนหนึ่งทำร้ายจนบาดเจ็บสาหัสที่สันเขาอีกา ฟ่านอวิ๋นหลัวยังเกือบจะตายภายใต้คมกระบี่ของอีกฝ่าย ยังคงเป็นผูหรางแห่งนครกรงขาวที่ออกหน้าขัดขวางถึงได้ไม่เกิดคลื่นลมมรสุมที่ใหญ่ยิ่งกว่าเดิม ไม่รู้ว่าหยวนเซวียนไปรู้จักคนผู้นี้ได้อย่างไร ดูแล้วคนผู้นั้นไม่เหมือนจะเป็นผู้ฝึกตนที่นิสัยใจร้อนหุนหัน แล้วเหตุใดถึงต้องฉายประกายคมกริบถึงเพียงนั้น? น่าจะมาถึงหุบเขาผีร้ายได้ไม่นานเท่าไหร่ก็สร้างความครึกโครมไปถึงผูหรางเชียวหรือ? หากผูหรางยืนกรานจะสังหารคน หุบเขาผีร้ายก็ขัดขวางไม่อยู่ เจ้าสำนักทำไม่ได้ วิญญาณวีรบุรุษขอบเขตหยกดิบของนครจิงกวานผู้นั้นก็ไม่แน่เสมอไปว่าจะทำได้เหมือนกัน

ผูหรางสังหารผู้ฝึกกระบี่ล้วนใช้วิธีการที่อำมหิตอย่างมาก ไม่เคยมีครั้งไหนที่ใจอ่อนยอมออมมือ

ตู้เหวินซือนึกถึงข่าวคราวกระแสคลื่นใต้น้ำระหว่างนครใหญ่ทั้งหลายในช่วงเวลาไม่กี่ปีที่ผ่านมา ก็ให้รู้สึกเป็นกังวลเล็กน้อย

ราวกับว่าลมฟ้าลมฝนกำลังจะมาเยือน

ตู้เหวินซือถือเป็นผู้ฝึกลมปราณที่ไม่สนใจเรื่องทางโลกนอกเหนือจากการฝึกตนมากที่สุดในสำนักพีหมาแล้ว อีกทั้งนับตั้งแต่เจ้าสำนักไปจนถึงเพื่อนร่วมสำนักก็มีเจตนาไม่ให้เขาเข้ามายุ่งเกี่ยวกับเรื่องเหล่านั้น แค่ตั้งใจฝึกตนฝ่าคอขวดไปให้ได้ก็พอ แต่ตอนนี้แม้แต่เขาก็ยังสัมผัสได้ถึงความกระเหี้ยนกระหือรือเหล่านั้น แค่คิดก็พอจะรู้ได้ถึงความร้ายแรงของสถานการณ์ที่จะเกิดขึ้นในหุบเขาผีร้าย

ส่วนเรื่องที่ฟ่านอวิ๋นหลัวแห่งนครฟูนี่ป่าวประกาศแก่ภายนอกว่าตนเป็นพี่ชายบุญธรรมของนาง ตู้เหวินซือก็รู้สึกเพียงว่าหัวเราะไม่ได้ร้องไห้ไม่ออก แล้วก็ยังรู้สึกนับถือนางนิดๆ ที่คิดหาวิธีเช่นนี้ออกมาได้ ก็เลยปล่อยไปตามใจนาง

รากฐานมหามรรคาของผู้ฝึกตนก็เหมือนภูเขาลูกหนึ่ง เรื่องราวมากมายบนโลกมนุษย์ก็เหมือนก้อนเมฆและกลุ่มควันที่ลอยผ่านตาไป ต้นไม้พืชหญ้าบนภูเขาเหลืองแห้งเขียวขจี ลำธารในภูเขาไหลริน ไม่จำเป็นต้องรั้งเอาไว้ ดังนั้นจึงไม่ต้องคิดเล็กคิดน้อย

เฉินผิงอันเดินไปข้างหน้าอย่างเชื่องช้า

ความคิดล่องลอยไปไกล ไม่อาจทำใจให้สงบได้เลย

โลกใบนี้อาจจะไม่ได้ดีอย่างที่พวกเราจินตนาการเอาไว้

แต่ก็อาจจะไม่ได้เลวร้ายอย่างที่พวกเราคิด

ทว่าทุกๆ คำว่า ‘อาจจะ’ ก็ล้วนหมายถึงเรื่องไม่คาดฝันและหนึ่งในหมื่นส่วนเสมอ

ทุกคนที่พบเจอบนเส้นทางแห่งชีวิตสายนี้ก็อาจจะเป็นคนในฝันที่คนอื่นคิดถึงคำนึงหา

เฉินผิงอันยิ่งคิดก็ยิ่งเข้าใจเส้นทางในหัวใจของคนเลวเหล่านั้น

แต่เขาก็ยังคงไม่เข้าใจอยู่ดีว่า เหตุใดคนแบบนี้ถึงได้มีชีวิตที่ดีได้ถึงเพียงนั้น ถึงขั้นยังดีกว่าคนดีด้วยซ้ำ

โดยไม่ทันรู้ตัว สายตาของเฉินผิงอันก็มืดลึกดำทะมึน

—–