ตอนที่ 991 หนทางสู่เศรษฐกิจอันเฟื่องฟู

นายน้อยเจ้าสำราญ

ตอนที่ 991 หนทางสู่เศรษฐกิจอันเฟื่องฟู

รัชสมัยเทียนเต๋อปีที่สาม วันที่ยี่สิบหก เดือนสิบสอง

มีหิมะตกโปรยปรายที่เมืองจินหลิง

ณ จวนจ่งตูเยี่ยน

“ปีนี้ยากลำบากมากยิ่งนัก หากมิใช่เพราะการจัดสรรเงิน 100 ล้านตำลึงจากกรมคลังแห่งราชสำนักกลางแล้วล่ะก็ มิรู้ว่าจะมีราษฎรอดตายมากเพียงใดในเขตจิงซีเป่ยเต้าของฉินโม่เหวินและจิงซีหนานเต้าของหนิงหยู่ชุน

เยี่ยนซือเต้าอ่านรายงานผลการดำเนินงานตลอดทั้งปีแล้วทอดถอนใจด้วยความหดหู่ “นโยบายใหม่ของฝ่าบาทได้เริ่มดำเนินการแล้ว โดยเอ่ยว่าเงิน 100 ล้านนี้เป็นรากฐานให้แก่มณฑลทั้งห้าของพวกเรา หลังจากนี้พวกเรามิสามารถคาดหวังการสนับสนุนเงินจำนวนมากจากราชสำนักกลางได้อีกแล้ว”

“คังผิง ข้าคิดว่าพวกเราต้องสร้างอุตสาหกรรมหลักขึ้นมาโดยมีอุตสาหกรรมเกลือ การขนส่งทางน้ำและเหล็กเป็นหลัก ซึ่งทั้งหมดนี้คืออุตสาหกรรมของสามตระกูลใหญ่ในอดีต พวกเราควรให้ความสำคัญต่อการหารายได้เข้าบัญชีเหล่านี้ ท่านคิดว่าเป็นเยี่ยงไร ? ”

ต่งคังผิงครุ่นคิดอยู่ชั่วครู่ จากนั้นก็พยักหน้าเห็นด้วย “เกลือขาวและเหล็กสามารถขายให้กับมณฑลเยวี่ยซานและมณฑลต้าหลี่ทั้งสี่ได้ทันทีที่พวกเขามีการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจ ส่วนมณฑลจิงตงและมณฑลเหอเป่ยทั้งสี่ได้มีตลาดการค้าขายเกิดขึ้นแล้ว ข้ามีข้อเสนอหนึ่ง ท่านลองดูว่าใช้ได้หรือไม่”

ต่งคังผิงเป็นเสนาบดีกรมคลังมานานหลายปี ดังนั้นในด้านระบบเศรษฐกิจ เยี่ยนซือเต้าจึงเชื่อมั่นในตัวเขามากยิ่งนัก “ท่านเอ่ยว่าพวกเราต้องมองหาวิธีฟื้นฟูเศรษฐกิจมิใช่หรือ ? ”

“ในขณะที่มณฑลเยวี่ยซานและมณฑลต้าหลี่ทั้งสี่ยังมิมีการจัดตั้งโรงงานอุตสาหกรรมสำหรับกลั่นเกลือขาว พวกเราจะปล่อยโอกาสนี้ไปเยี่ยงนั้นหรือ ? พวกเราควรให้ตระกูลเฉินและตระกูลโจวส่งคนไปยังมณฑลทั้งสี่นี้เพื่อซื้อเหมืองเกลือและแร่เหล็กจากฝานเทียนหนิง จากนั้นก็จะสามารถผลิตสิ่งเหล่านี้ได้ทันที”

“วิธีนี้จะช่วยแก้ปัญหาเรื่องค่าใช้จ่ายในการขนส่ง ทั้งยังช่วยฝานเทียนหนิงแก้ปัญหาการว่างงานบางส่วนได้อีกด้วย”

เยี่ยนซือเต้านิ่งเงียบอยู่ครู่หนึ่ง “ฝานเทียนหนิงจะคิดว่าพวกเราแย่งหนทางทำมาหากินของเขาหรือไม่ ? ”

“ฝ่าบาทเคยตรัสเกี่ยวกับระบบเศรษฐกิจแบบทุนนิยมแล้วมิใช่หรือ ? ฝานเทียนหนิงแม้เป็นจ่งตูก็มิอาจแทรกแซงการดำเนินงานขององค์กรได้ ! นอกจากนี้ตามสภาพเศรษฐกิจและชนิดของสินค้าในปัจจุบันแล้ว ฝานเทียนหนิงต้องการให้มณฑลทั้งสี่ในมือเป็นฐานอุตสาหกรรมเบาเสียมากกว่า”

“ตัวอย่างเช่นต้าหลี่หนานเต้าของจงสือจี้ที่กำลังผลักดันเรื่องการทอผ้าฝ้ายอย่างสุดกำลัง และได้ก่อตั้งโรงงานสิ่งทอขึ้นมา ส่วนที่ต้าหลี่เป่ยเต้าของกงซุนเซ่อกำลังผลักดันการปลูกหม่อนเลี้ยงหนอนไหม ส่วนมณฑลเยวี่ยซานทั้งสอง…น่าหนักใจมากยิ่งนักเพราะสภาพภูมิประเทศของทั้งสองมณฑลค่อนข้างแตกต่างกัน แต่เดิมส่วนใหญ่ปลูกข้าวสาลีเป็นหลัก จึงมิมีสิ่งใดพิเศษเลย”

“ทว่าข่าวล่าสุดก็คือเซวี๋ยตงหลินเต้าถายแห่งเยวี่ยซานหนานเต้าได้เดินทางไปยังเขตปกครองตนเองชื่อเล่อชวน โดยเอ่ยว่าจะไปเรียนรู้เกี่ยวกับน้ำหอมและการปลูกดอกไม้ที่นั่น ส่วนสีส่วงเต้าถายแห่งเยวี่ยซานเป่ยเต้าเดินทางไปยังเมืองกวนหยุน โดยเอ่ยว่าจะทำงานร่วมกันกับกรมเกษตรเพื่อพัฒนาการเพาะเลี้ยงและแพร่พันธุ์หมูในเยวี่ยซานเป่ยเต้าอย่างจริงจัง”

“ดูเหมือนว่าจ่งตูจัวจะให้ความสำคัญเรื่องการเกษตรและอุตสาหกรรมเบาเป็นหลัก ทว่าเยี่ยงไรเสียโรงงานเครื่องแก้วและเตาเผาก็ได้พัฒนาขึ้นที่นั่น ได้ข่าวว่ามีการค้นพบแหล่งแร่เหล็กที่มีความอุดมสมบูรณ์เมื่อมินานมานี้ ทว่ามิได้ถูกนำมาใช้สำหรับภาคเอกชนเพราะจะนำไปใช้ในด้านการผลิตยุทโธปกรณ์เท่านั้น”

“ข้าคิดว่าบัดนี้ประเทศต้าเซี่ยมีพื้นที่กว้างขวางมากยิ่งนัก ฝ่าบาทต้องขยายกองทัพอย่างแน่นอน เช่นนั้นพวกเราต้องยื่นคำร้องต่อฝ่าบาทถึงจุดประสงค์ในการทำให้ภูเขาเฟิ่งหลินเป็นฐานผลิตยุทโธปกรณ์เช่นเดียวกัน”

“นอกจากนี้พวกเรายังมีสิ่งที่เหนือกว่าคือ…ฉางอัน ! ”

“แผนการเดิมที่จะขยายเมืองว่อเฟิงให้เป็นเมืองใหญ่ได้ถูกส่งไปยังฝ่าบาทเพื่อขอคำอนุมัติแล้ว หากได้รับอนุมัติการก่อสร้างฉางอันในปีหน้า จำต้องใช้แรงงานจำนวนมากเลยทีเดียว จำต้องสร้างถนนสามสายจากฉางอันไปยังชื่อเล่อชวน มณฑลจิงตงและจินหลิงอีกด้วย”

“ตามแผนงานนี้ ฉางอันจะใช้เวลาก่อสร้างอย่างน้อย 3 ปีและงบประมาณก็อาจจะสูงถึงหลายร้อยล้านตำลึง ด้วยแผนการนี้จะช่วยแก้ไขปัญหาการว่างงานจำนวนมากและรายได้ของราษฎรก็จะเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง”

“บัดนี้ข้าคิดว่าพวกเราต้องร่วมมือกันทั้งภายในและภายนอก…การขยายตัวของอุตสาหกรรมเพื่อส่งออกคือการพัฒนาจากภายนอก ส่วนภายในพวกเราต้องคว้าโอกาสในการสร้างฉางอันเพื่อให้ก้าวทันมณฑลกว่างหนานทั้งสอง”

ต่งคังผิงวิเคราะห์คร่าว ๆ เกี่ยวกับสถานการณ์ด้านเศรษฐกิจในปัจจุบัน และด้วยคำเอ่ยของเขาจึงทำให้เยี่ยนซือเต้าเข้าใจได้อย่างถ่องแท้

“ทำตามแผนการของท่านเถิด ! ”

เยี่ยนซือเต้ายกมือขึ้นลูบเครายาว จากนั้นก็ใช้ดวงตาที่เต็มไปด้วยความสงสัยจ้องมองไปยังต่งคังผิง “ท่านว่า…เหตุใดฝ่าบาทถึงทรงลงทุนเป็นเงินจำนวนมากเพื่อสร้างเมืองฉางอันเยี่ยงนั้นหรือ ? ”

ต่งคังผิงเคยคิดเรื่องนี้แล้ว เขาจึงหัวเราะเบา ๆ แล้วเอ่ยว่า “ประการแรกคือที่ราบว่อเฟิงนั้นแสนกว้างขวางเหมาะสำหรับการสร้างเมืองใหญ่เป็นอย่างยิ่ง ประการที่สองคือที่ตั้งของสถานที่แห่งนั้นเป็นเส้นทางที่แสนวิเศษ หากเดินทางผ่านภูเขาฉางหลิงไปทางเหนือจะใช้ระยะการเดินทางไปยังชื่อเล่อชวนเพียงสองวันเท่านั้น หากเดินทางไปทางเหนืออีกก็จะถึงแคว้นซีเซี่ยและราชวงศ์เหลียว หากเดินทางไปยังทางตะวันตกเฉียงเหนือก็จะถึงอาณาจักรถู่ปัวและมีความเป็นไปได้อย่างยิ่งว่าฝ่าบาทจะทรงสร้างเมืองฉางอันให้เป็นเมืองสำคัญด้านการทหาร”

เยี่ยนซือเต้าขมวดคิ้วและครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง “หากเป็นเช่นนั้น…การจราจรในฉางอันจะมิสะดวกมากนักแม้ว่าจะสร้างถนนหลักทั้งสามเสร็จแล้ว ทั้งยังมิมีการขนส่งทางน้ำอีกด้วย”

“ท่านลืมคลองที่ถูกทิ้งร้างนั่นแล้วหรือเยี่ยงไร ? ”

เมื่อเยี่ยนซือเต้าได้ยินดังนั้น ก็เบิกตากว้างแล้วเอ่ยถามด้วยความประหลาดใจ “ความหมายของท่านก็คือฝ่าบาทจะขุดขยายคลองนั้นใหม่ใช่หรือไม่ ? ”

“ตอนนี้ยังเป็นไปมิได้ ต้องรอให้เศรษฐกิจของประเทศต้าเซี่ยเข้าสู่แนวทางที่ถูกต้องและได้รับการสนับสนุนด้านการเงินที่เพียงพอเสียก่อน ถึงตอนนั้นฝ่าบาทอาจจะเริ่มต้นการขุดขยายคลองขึ้นมาใหม่”

นั่นเป็นงานก่อสร้างที่ยิ่งใหญ่มากยิ่งนัก !

การขุดขยายแม่น้ำจำเป็นต้องใช้เงินทุนจำนวนมาก ทั้งยังต้องการแรงงานอีกหลายล้านคน เยี่ยนซือเต้ามิคิดว่านั่นจะทำให้ราษฎรต้องตรากตรำทำงานหนักและสิ้นเปลืองเงินของชาติเพราะเมื่อเส้นทางแม่น้ำสายใหม่เชื่อมต่อกับแม่น้ำแยงซี การขนส่งผ่านทางเหนือและใต้ก็จะสะดวกสบายมากยิ่งขึ้น

ความสำคัญของการจัดส่งสินค้าอย่างรวดเร็วได้กลายเป็นเป้าหมายหลัก และธุรกิจก็จะเจริญรุ่งเรืองขึ้นเรื่อย ๆ มันจะสร้างมูลค่ามหาศาลมากเพียงใดก็มิอาจประเมินได้

ยิ่งไปกว่านั้นคือตอนนี้ประเทศต้าเซี่ยมีเรือที่ขับเคลื่อนด้วยเครื่องจักรไอน้ำขนาดใหญ่ที่สามารถแล่นได้เร็วกว่าเดิม มันสามารถบรรทุกสินค้าของนักท่องเที่ยว พ่อค้า ทหารและปืนใหญ่ได้ซึ่งมีความสำคัญมากยิ่งนัก

ใบหน้าชราของเยี่ยนซือเต้ายกยิ้มดีใจ สุดท้ายแล้วฝ่าบาทก็ทรงให้ความสำคัญแก่สถานที่ที่พระองค์ถือกำเนิดและเติบโตขึ้นมา

“ท่านว่า…เหตุใดเขาถึงมิสนับสนุนสิ่งที่เรียกว่าหุ้นนั่นอีกกัน ? ”

“เกรงว่าการทดลองซื้อขายหุ้นจะล้มเหลว”

เป็นเรื่องจริงที่ว่าฟู่เสี่ยวกวนมิได้เอ่ยถึงหุ้นอีกเลย เนื่องจากการติดตามข่าวสารและการควบคุมมิอาจจัดการให้ทั่วถึงพร้อม ๆ กันได้ โดยเฉพาะการจัดการด้านการเงิน เพราะมิสามารถประกาศให้ผู้ถือหุ้นทั้งหมดทราบโดยพร้อมเพรียงกันได้ ดังนั้นเขาจึงยอมแพ้ในเรื่องนี้

จากนั้นทั้งสองก็เริ่มเอ่ยถึงชีวิตประจำวันในครอบครัว

“ปีใหม่นี้ซิวจิ่นจะกลับมาฉลองปีใหม่ด้วยหรือไม่ ? ”

“อืม พรุ่งนี้ก็น่าจะเดินทางมาถึงแล้ว…ซีเหวินกลับมาหรือไม่ ? ”

“กลับสิ คาดว่าวันพรุ่งนี้ก็คงเดินทางมาถึงที่นี่แล้วเช่นกัน”

“อ้อ ! ซิวเต๋อบุตรชายคนที่สองที่มิได้เรื่องได้ราวของข้า กลับมาที่จวนแล้วเมื่อคืน เขานำสิ่งวิเศษที่เรียกว่าอาหารกระป๋องมาด้วย วันพรุ่งนี้ข้าจะให้ซิวจิ่นนำอาหารกระป๋องมาส่งให้ผู้อาวุโสเยี่ยนลองชิมดู”

“อาหารกระป๋องเยี่ยงนั้นหรือ ? มันคือสิ่งใดกัน ? ”

ต่งคังผิงลูบเคราของตน จากนั้นก็ยกยิ้มขึ้นแล้วเอ่ยว่า “เป็นสิ่งที่บุตรีของข้าคิดค้นขึ้นมา โดยนำอาหารไปบรรจุลงในขวดแก้วและกระป๋อง ผลไม้กระป๋องมี…ลูกท้อ ลูกสาลี่และบ๊วย เมื่อเปิดกระป๋องออกจะมีเนื้อของผลไม้อยู่ด้านใน เมื่อวานข้าลองทานดูแล้วล่ะ รสชาติมิเลวเลย”

ปกติแล้วในฤดูหนาวจะไร้ผลไม้ให้ทาน เยี่ยนซือเต้าจึงเผยสีหน้าสงสัยออกมาทันที เมื่อได้ยินต่งคังผิงเอ่ยออกมาเช่นนั้น “มันยังทานได้อยู่หรือ ? มันจะมิเน่าเสียหรอกหรือ ? ”

“ข้าทานแล้วก็มิเห็นตายสักหน่อยนี่ เหตุใดจะทานมิได้กันเล่า ? ซิวเต๋อเอ่ยว่าสามารถเก็บไว้ได้นานถึงหนึ่งปี !

“ไปไปไป ไปกันเถิด…พวกเราไปดูอาหารกระป๋องที่จวนของท่านกัน ! ”