ตอนที่ 758 ท้าสู้สามเดือน

ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ

ตอนที่ 758 ท้าสู้สามเดือน โดย Ink Stone_Fantasy

การปะทะกันด้วยพลังทั้งหมดระหว่างหลิ่วหมิงกับหลัวเทียนเฉิง แม้ว่าจะได้รับบาดเจ็บไม่น้อย และยังกระอักเลือดออกมาด้วย แต่หลังกลับมาถึงถ้ำที่พัก และใช้จิตกวาดดูภายในร่างแล้ว กลับค้นพบว่าอาการบาดเจ็บไม่ได้สาหัสมากนัก อาจเป็นเพราะว่าเขาเคยทานโลหิตปีศาจสวรรค์ไป หลังจากนั่งเข้าฌานครึ่งวันอย่างง่ายๆ ก็ฟื้นฟูกลับมาเป็นปกติแล้ว

แต่ว่าวันนี้เขาออกจากถ้ำที่พักไปแค่ครึ่งวัน ก็พบเจอกับคนมาท้าสู้ถึงสี่คน แม้ว่านอกจากหลัวเทียนเฉิงแล้ว อีกสามคนก็ล้วนไม่คณามือเขา แต่ก็ทำให้เขาตัดสินใจที่จะหลบทิศทางลมนี้ชั่วคราว

ดังนั้นจึงแขวนป้ายไม่รับแขกไว้หน้าประตู และเก็บตัวฝึกฝนกับแมงป่องกระดูกและหัวบินในห้องลับ

ผ่านไปไม่กี่วัน เขายังคงได้รับสารจากหอคุมกฎ เรื่องที่เขากับหลัวเทียนเฉิง ฟ่านเจิ้ง และคนอื่นๆ ลงมือกันหน้าวิหารไท่เจิน ซึ่งถูกลงโทษโดยหักทรัพยากรที่นิกายมอบให้เป็นเวลาหนึ่งปี

โทษของหลัวเทียนเฉิงพอๆ กับเขา แต่ฟ่านเจิ้งกลับถูกกักขังอยู่ในเขตยอดเขาสวรรค์ลี้ลับเป็นเวลานานสามปี เพราะเป็นผู้ลงมือก่อน

……

ครึ่งเดือนต่อมา บนลานหินสีดำด้านหน้าวิหารหลักของยอดเขาหลักในเทือกเขาหมื่นวิญญาณ มีคนมารวมตัวกันอยู่นับพันคน

คนเหล่านี้ต่างก็สวมชุดแตกต่างกันไป จับตัวกันเป็นกลุ่มๆ ละสองสามคน สามารถมองออกได้อย่างชัดเจนว่าพวกเขาต่างก็เป็นศิษย์สายในของแต่ละยอดเขา

ท่ามกลางกลุ่มฝูงชน มีคนกลุ่มเล็กๆ สวมชุดสีดำอยู่กลุ่มหนึ่ง คนที่เป็นหัวหน้าสวมชุดคลุมสีดำทั้งตัว ใบหน้าแห้งเหี่ยวครึ่งซีก อีกครึ่งซีกกลับชุ่มชื้น เขาก็คืออินจิ่วหลิงนั่นเอง

ด้านหลังของเขามีศิษย์สวมชุดยอดเขาลั่วโยวที่เป็นสีดำเหมือนกันยืนอยู่สามคน หนึ่งในนั้นมีรูปร่างหน้าธรรมดา ใบหน้าไร้ซึ่งความรู้สึก เขาก็คือหลิ่วหมิงที่มีข่าวลือในช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมานั่นเอง

รอบด้านของพวกเขาไม่เพียงแต่จะมีเสียงกระซิบกระซาบกันเท่านั้น ยังมีสายตาปราดมองมาอยู่ไม่หยุด บ้างก็รู้สึกตกใจ บ้างก็รู้สึกประหลาดใจ บ้างก็รู้สึกอิจฉา บ้างก็ดูถูกเหยียดหยาม

หลิ่วหมิงย่อมไม่ได้สนใจเลยแม้แต่น้อย เพียงแค่สังเกตดูทุกอย่างรอบด้านเท่านั้น

จะว่าไปแล้ว ตั้งแต่เขาเข้านิกายยอดบริสุทธิ์มาหลายปี นี่เป็นครั้งแรกที่เขามาบนยอดเขาหลัก ดังนั้นย่อมสังเกตดูตำแหน่งศูนย์กลางของหนึ่งในสี่ยอดนิกายใหญ่ที่มีมาตั้งแต่โบราณของแผ่นดินจงเทียนอย่างละเอียด

จะเห็นว่ารอบด้านของยอดเขาหลักมีกลุ่มยอดเขาตั้งอยู่ แต่กลับเตี้ยกว่ายอดเขาหลักมาก มันโอบล้อมยอดเขาหลักไว้ราวกับหมู่ดาวที่ล้อมดวงเดือน

หน้าผารอบๆ ยอดเขาหลักสูงชันเป็นอย่างมาก ตอนที่ยืนอยู่บนยอดเขาแล้วมองไปรอบด้าน ทำให้รู้สึกถึงความโปร่งโล่งในขณะที่รับชมทุกสิ่ง

พื้นหลายร้อยจั้งบนยอดเขา นอกจากจะมีลานกว้างแล้ว ก็เป็นวิหารสูงใหญ่ที่สร้างจากหินสีทองไม่ทราบชื่อหลังหนึ่ง ซึ่งครอบครองพื้นที่สิบกว่าหมู่

วิหารหลักมีความกว้างและความสูงสามจั้ง มีลายเส้นจิตวิญญาณจำนวนหนึ่งประทับอยู่บนนั้น มีอักขระสีทองขนาดใหญ่สลักอยู่ว่า ‘วิหารยอดบริสุทธิ์’ อักขระดูมีพลังเป็นอย่างมาก เผยให้เห็นถึงการผ่านโลกมาอย่างโชกโชนตั้งแต่สมัยโบราณ

พอมองออกไปไกลๆ ที่เชื่อมต่อกับวิหารหลักยังมีวิหารข้างที่มีขนาดแค่หนึ่งในสามของวิหารหลักอยู่สองหลัง โดยล้อมรอบวิหารหลักเป็นรูปสามเหลี่ยม

ด้านหน้าวิหารใหญ่ยังมีรูปปั้นของผู้อาวุโสที่สวมชุดนักพรตซึ่งดูราวกับมีชีวิต กำลังยืนเอามือไขว้หลังอยู่ ใบหน้าเงยขึ้นเล็กน้อย ดวงตาทั้งคู่หรี่มองไปบนอากาศ ทำให้รู้สึกถึงความลึกล้ำที่ยากจะหยั่งถึง

ขณะนี้ สายตาของหลิ่วหมิงตกอยู่บนรูปปั้นของผู้อาวุโสท่านนี้ หลังจากขมวดคิ้วเล็กน้อยแล้ว ก็เผยสีหน้าครุ่นคิดออกมา

ขณะนั้นเอง ประตูของวิหารใหญ่ที่ปิดสนิท ก็ถูกผลักออกมาจากด้านในโดยฉับพลัน และชายหญิงคู่หนึ่งก็เดินเคียงบ่าออกมา

ผู้ชายสวมชุดคลุมสีเงิน สะพายกระบี่ยาวตรงหลัง ใบหน้าคมสัน เป็นชายอายุสามสิบกว่าปีที่ดูเคร่งขรึมมาก

ผู้หญิงสวมชุดคลุมสีดำ รูปร่างอรชรอ้อนแอ้น ผิวแวววาวราวกับหิมะ ผมยาวสยายลงด้านหลัง นางเป็นหญิงสาวที่มีใบหน้างดงามผู้หนึ่ง

หลังจากทั้งสองออกมาแล้ว ก็ยืนอยู่ทั้งสองด้านของประตูโดยไม่พูดอะไรออกมา

จากนั้นชายวัยกลางคนสวมมงกุฎที่ดูไม่ธรรมดาในชุดคลุมสีเหลือง ก็ค่อยๆ ก้าวออกมา

หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ ก็รู้สึกใจเย็นสะท้าน คนผู้นี้ก็คือเทียนเกอเจินเหรินที่เป็นประมุขนิกายยอดบริสุทธิ์นั่นเอง

“เอาล่ะ! ในเมื่อมากันครบแล้ว ข้าก็จะประกาศรายชื่อศิษย์ที่เข้าร่วมงานประตูสวรรค์อย่างเป็นทางการแล้ว” พอเทียนเกอเจินเหรินขยับตัว ก็มาปรากฏตัวบนแท่นสูงตรงหน้าลานกว้าง หลังจากกวาดสายตาลงมาแล้ว ก็พูดออกมาด้วยเสียงอันดัง

พอได้ยินประมุขนิกายพูด เสียงวิพากษ์วิจารณ์ก็เงียบลงทันที ทำให้พื้นที่บริเวณนั้นเงียบเป็นเป่าสาก และสายตาของผู้คนทั้งหมด ต่างก็มองมาที่เทียนเกอเจินเหริน

“หลัวเทียนเฉิงจากยอดเขาสวรรค์ลี้ลับ หลงเหยียนเฟยจากยอดเขากระบี่สวรรค์ หลิ่วหมิงจากยอดเขาลั่วโยว……”

“สิบคนนี้ถูกกำหนดให้เป็นศิษย์ที่เข้าร่วมงานประตูสวรรค์ชั่วคราว เนื่องจากงานประตูสวรรค์เกี่ยวพันถึงความรุ่งเรืองและเสื่อมถอยของนิกายเราในอีกหลายร้อยปีหน้า เพื่อประโยชน์ของนิกายเรา ศิษย์คนอื่นๆ ที่สอดคล้องกับเงื่อนไขในการเข้าร่วมงานประตูสวรรค์ สามารถท้าสู้ศิษย์ทั้งสิบคนนี้ได้นับตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป หากเอาชนะได้ ก็จะได้สิทธิ์ในการเข้าร่วมงานประตูสวรรค์แทน เวลาที่จำกัดคือสามเดือน” เทียนเกอเจินเหรินค่อยๆ ประกาศออกมา

พอคำพูดนี้ดังออกมา ย่อมเกิดเสียงวิพากษ์วิจารณ์กันที่ด้านล่างแท่นสูง ศิษย์จำนวนหนึ่งแสดงสีหน้าคันไม้คันมืออยากจะลองดู สายตาของพวกเขาพากันมองไปยังคนทั้งสิบที่อยู่บนลานกว้าง

ต่อมา เทียนเกอเจินเหรินก็พูดให้กำลังใจฝูงชนอีกรอบหนึ่ง จากนั้นถึงให้คนทั้งหมดจากไป

ขณะที่เทียนเกอเจินเหรินเดินลงแท่นหินนั้น ก็มีศิษย์หลายคนท้าสู้ผู้ที่มีรายชื่อเข้าร่วมพร้อมกัน

อาจเป็นเพราะว่าการต่อสู้อันโด่งดังกับหลัวเทียนเฉิงในก่อนหน้า จึงไม่มีคนไปท้าสู้หลิ่วหมิงชั่วขณะหนึ่ง

หลิ่วหมิงเองก็ขี้เกียจไปดูการประลองของคนอื่นๆ หลังจากกล่าวลาอินจิ่วหลิงแล้ว ก็ขี่เมฆดำกลับถ้ำที่พักทันที

ช่วงเวลาหลังจากนี้ เขาทำการฝึกฝนอยู่ในถ้ำโดยไม่ออกไปไหน ด้วยระดับของเขาในตอนนี้ เพียงแค่ทานโอสถแฝงจิตวิญญาณอยู่ไม่หยุด พอถึงเวลาก็ทานโอสถแฝงจิตวิญญาณระดับพสุธา คงจะทะลวงระดับแก่นแท้ได้อย่างไม่มีปัญหาอะไร

เดือนแรก มีคนมาท้าสู้กับเขาน้อยมาก หลังจากถูกเขาจนโจมตีจนพ่ายแพ้อย่างง่ายดายแล้ว เดือนที่สองก็ไม่มีคนมาท้าสู้อีก

จนกระทั่งไม่กี่วันก่อนที่เวลาจำกัดสามเดือนใกล้จะหมดลง ถึงมีศิษย์สายในสองคนที่ไม่รู้จักประมาณพลังของตัวเองมาท้าสู้ถึงที่ แต่หลิ่วหมิงแค่กระตุ้นพลังหนึ่งมังกรหนึ่งพยัคฆ์ของเคล็ดวิชามังกรพยัคฆ์ทมิฬ ก็ทำให้ทั้งสองจากไปอย่างง่ายดาย

หลัวเทียนเฉิงกับศิษย์มีชื่อเสียงคนอื่นๆ ในบัญชีรายชื่อ ต่างก็พบเจอกับสถานการณ์พอๆ กัน

แต่ว่าศิษย์ที่มีชื่อในบัญชีรายชื่อจำนวนหนึ่ง หลังจากถูกท้าสู้บ่อยๆ จนเวลาสามเดือนผ่านไป ก็ถูกม้ามืดจำนวนหนึ่งมาแทนที่อยู่หลายคน

ในช่วงระหว่างเวลานี้ นอกจากหลิ่วหมิงจะฝึกฝนอยู่ในแดนมายาอย่างต่อเนื่องแล้ว ยังใช้แผ่นค่ายกลส่งสารสอบถามเรื่องภารกิจที่ประกาศบนป้ายประกาศลี้ลับด้วย แต่ก็ยังคงไม่มีข่าวคราวใดๆ เกี่ยวกับปีศาจอสูรว่างเปล่า ทำให้เขารู้สึกจนปัญญาขึ้นมา

วันนี้ ภายในห้องลับในถ้ำที่พัก หลิ่วหมิงกำลังนั่งขัดสมาธิอยู่ เขากำลังชื่นชมถุงผ้าสีเทาสลัวๆ สองใบที่ถืออยู่ในมือ ลายเส้นจิตวิญญาณเล็กๆ ประสานกันไปมาบนถุงผ้า แลดูงดงามยิ่งนัก มันคือถุงหล่อเลี้ยงวิญญาณที่สามารถบรรจุอสูรเลี้ยงระดับผลึกทั้งสองได้ ซึ่งเขาใช้ห้าแสนหินจิตวิญญาณในการสั่งทำขึ้นมา

“พวกเจ้าทั้งสองลองดูถุงหล่อเลี้ยงวิญญาณใบใหม่หน่อยสิว่าเหมาะสมหรือไม่” หลิ่วหมิงสั่งเซียเอ๋อร์กับเฟยเอ๋อร์ที่ฝึกฝนอยู่ข้างๆ

“ดี! ให้ข้าลองดูก่อน” เด็กชายชุดเขียวได้ยิน ก็เก็บไอหมอกสีเขียวอันพวยพุ่งเข้าไป จากนั้นก็กระโดดมาอยู่ด้านข้างหลิ่วหมิง

หญิงสาวชุดดำก็หายวับมาปรากฏตัวด้านข้างหลิ่วหมิงเช่นกัน

“ตอนนี้การตัดสินผู้เข้าร่วมงานประตูสวรรค์ได้สิ้นสุดลงแล้ว ข้ากำลังคิดที่จะออกไปด้านนอกสักรอบ ไปที่หอเป๋ยโต่วเพื่อสืบดูว่ามีเบาะแสเกี่ยวกับอสูรว่างเปล่าหรือไม่ หลายเดือนมานี้พวกเจ้าอยู่แต่ในถ้ำ คิดว่าคงรู้สึกเบื่อบ้างแล้ว พาพวกเจ้าไปด้วยก็แล้วกัน” หลิ่วหมิงกล่าวอย่างราบเรียบ

“ดีจังเลยนายท่าน!” เซียเอ๋อร์ได้ยินก็กล่าวด้วยรอยยิ้มพราย

หลิ่วหมิงยิ้มเล็กน้อย พอตบถุงหล่อเลี้ยงวิญญาณบนมือ หัวบินก็กลายเป็นไอหมอกดำและถูกม้วนเข้าไปพร้อมกับไอหมอกสีเขียว

“นายท่าน กว้างขวางมากเลย ปราณหยินด้านในก็มีอย่างเพียงพอ!”

น้ำเสียงของหัวบินดังขึ้นข้างหูหลิ่วหมิง ดูเหมือนจะรู้สึกดีใจเป็นอย่างมาก

หลิ่วหมิงพยักหน้า จากนั้นก็สะบัดถุงอีกใบเพื่อนำหญิงสาวชุดดำใส่เข้าไปด้านใน จากนั้นก็นำถุงหล่อเลี้ยงวิญญาณทั้งสองใบมาห้อยไว้บนเอว และออกไปจากห้องลับภายในถ้ำที่พัก

พอเขาเดินออกจากประตูถ้ำ ก็ทะยานขึ้นฟ้าทันที แต่พอเหาะออกไปไม่กี่ลี้ เมฆสีขาวก้อนหนึ่งก็พุ่งเข้ามาจากด้านหลัง บนนั้นมีหญิงสาวสวมชุดสีขาว อายุสิบหกสิบเจ็ดปีที่ดูคุ้นตาเล็กน้อย

ขณะที่หลิ่วหมิงรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อยนั้น หญิงสาวชุดขาวก็ตะโกนออกมา

“ศิษย์พี่หลิ่ว โปรดหยุดก่อน!”

พอน้ำเสียงสิ้นสุดลง นางก็เพิ่มความเร็วของก้อนเมฆเล็กน้อย และพุ่งมาทางหลิ่วหมิงทันที

“ศิษย์น้องผู้นี้ หาข้ามีเรื่องอันใดหรือ?” พอเห็นสถานการณ์เช่นนี้ หลิ่วหมิงก็ได้แต่หยุดเมฆดำลง และหันมากล่าวด้วยสีหน้าจริงจัง

“อิๆ! เหตุใดศิษย์พี่หลิ่วถึงลืมข้าแล้วล่ะ! ข้าคือเถียนจิงไง เมื่อก่อนเคยเจอกันบนยอดเขาเตาหลอมจิตวิญญาณ!” หญิงสาวชุดขาวเหาะมาตรงหน้าหลิ่วหมิง และกล่าวด้วยรอยยิ้ม

“ที่แท้ก็คือศิษย์น้องเถียนนั่นเอง อย่าได้โกรธที่ศิษย์พี่เสียมารยาทเลย ไม่เจอกันหลายปี ศิษย์น้องมีการเปลี่ยนแปลงไปมาก” หลิ่วหมิงนึกขึ้นได้ในทันที และกุมมือกล่าวออกมา ในใจรู้สึกกลัดกลุ้มเล็กน้อย วันนี้นางมาด้วยเรื่องอันใด ผ่านไปตั้งหลายปีแล้ว นางยังจะให้เขาสอนการปรุงโอสถให้อีกหรือ

“ตอนนี้ศิษย์พี่หลิ่วมีชื่อเสียงในนิกายมาก จะต้องมีผู้เลื่อมใสไม่น้อย ศิษย์หญิงที่คบค้าสมาคมด้วยก็คงมีไม่น้อย ไหนเลยจะจำข้าได้” เถียนจิงได้ยินกลับเบะปากกล่าว

“ศิษย์น้องเถียนพูดล้อเล่นแล้ว……”

หลิ่วหมิงได้ยิน ก็ได้แต่ยิ้มอย่างเก้อเขิน และไม่รู้ว่าจะตอบอย่างไรไปชั่วขณะหนึ่ง

“แต่ว่าวันนี้ บรรพบุรุษของข้าให้ข้าพาท่านไปพบ” เถียนจิงเห็นท่าทีงกๆ เงิ่นๆ ของหลิ่วหมิง นางก็ยิ้มแล้วกล่าวออกมา

หลิ่วหมิงได้ยินก็รู้สึกอึ้งไปทันที

แม้ว่าผู้อาวุโสเถียนก็เป็นหนึ่งในผู้อาวุโสของยอดเขาลั่วโยว แต่ก็ไม่เคยมีอะไรเกี่ยวข้องกับหลิ่วหมิงเลย วันนี้ให้เขาไปหาไม่รู้ว่าเป็นเพราะเรื่องใดกัน

แต่ในเมื่อผู้อาวุโสในยอดเขาเชิญ เขาที่เป็นศิษย์ในยอดเขาย่อมไม่อาจปฏิเสธได้ หลังจากลังเลเล็กน้อยแล้ว ก็ตอบรับกลับไป

“ดีไปเลย! ศิษย์พี่หลิ่วตามข้ามาเถอะ!”

เถียนจิงได้ยินก็รู้สึกดีใจเป็นอย่างมากนางหันเมฆในทันที และพุ่งนำหลิ่วหมิงออกไป

หลิ่วหมิงเอามือลูบท้ายทอยอย่างไม่มีทางเลี่ยง พอกระตุ้นเมฆดำใต้เท้า เขาก็กลายเป็นแสงหลบหลีกสีดำพุ่งตามไป

………………………………