ส่วนที่ 5 สมรภูมิดอกไม้เหลือง ตอนที่ 28 เมฆาไร้เจตจำนง

ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา

ไม่มีการต่อสู้จริงเกิดขึ้นในอารามถานเจ้อ แต่อันตรายที่ซ่อนอยู่นั้นน่ากลัวยิ่งกว่าการต่อสู้ส่วนใหญ่ในโลกนี้

ในวันฝนตกฤดูใบไม้ร่วง ราชสำนักกับนิกายหลวงได้เคลื่อนไหวเกินกว่าคนทั่วไปคาดคิดไว้ ดังนั้นย่อมไม่อาจปกปิดข่าวเหตุการณ์นี้ได้

ผู้คนได้รู้อย่างรวดเร็วว่าเถี่ยซู่กลับมาจากทะเลใต้แล้ว และยังได้รู้ว่าเขามายังจิงตูเพื่อสังหารหวังผ้อ ในเวลาเดียวกันก็ยืนยันได้ว่าหวังผ้อมาเพื่อวัตถุประสงค์ใด เขามาเพื่อฆ่าโจวทง ที่สำคัญที่สุด ผู้คนก็ยืนยันแล้วว่าความร้าวฉานระหว่างราชสำนักกับนิกายหลวงยิ่งลึกล้ำมากกว่าเดิม ปัญหาใหญ่อาจเกิดขึ้นได้ทุกเมื่อ

ในการยึดอำนาจที่สุสานเทียนซู อำนาจใหญ่ทั้งสองร่วมมือกันอย่างจริงใจ แต่ผ่านไปไม่กี่วัน พวกเขาก็หันมาสู้กันเอง นี่เป็นเรื่องที่ไม่อาจทำความเข้าใจได้อย่างที่สุด อย่างไรก็ตาม ในตอนนี้ทุกคนรู้แล้วว่าทำไม

เป็นเพราะเฉินฉางเซิง

ไม่มีใครสังเกตเห็นลมเย็นที่พัดขึ้นมาจากก้นสะพานอุดรใหม่ ไม่มีใครรู้ว่าเฉินฉางเซิงคิดอะไร

เขาไม่เคยไปจากสำนักฝึกหลวง นั่งอ่านหนังสืออยู่ริมหน้าต่างในหอตำราอยู่เงียบๆ ไม่มองออกไปนอกหน้าต่าง ไม่อยากรู้ว่ามีอะไรข้างนอกนั่น

ผู้คนมากมายคาดเดาว่าเขาฝังร่างจักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์เทียนไห่ไว้ในสำนักฝึกหลวง แต่ก็ไม่มีใครมีหลักฐาน

แม้แต่คนแข็งแกร่งอย่างหลินกงกงก็ยังต้องล่าถอยไปอย่างสิ้นท่า พระราชวังหลีได้แสดงจุดยืนออกมาแล้ว แล้วใครจะกล้าบุกเข้าสำนักฝึกหลวงไปค้นหาอีก

ราชสำนักไม่ได้ส่งราชโองการไปขอให้สำนักฝึกหลวงมอบร่างจักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์เทียนไห่ออกมาอีก แต่ทุกคนรู้ว่าเรื่องนี้ไม่มีทางจบลงเช่นนั้น

คนมากมายไม่เข้าใจว่าทำไมเฉินฉางเซิงถึงแสดงออกแบบนี้ รวมถึงคนสำคัญในนิกายหลวงอย่างเช่นนักพรตไป๋สือ

หากเพื่อการสืบทอดนิกายหลวง เช่นนั้นแล้วเมื่อมีโองการของสังฆราช เขาแค่เลือกเวลาที่เหมาะสมแสดงเจตนาดีต่อราชสำนัก แล้วราชสำนักก็ย่อมยกเลิกแผนการเดิมไปเอง

แต่เขากลับไม่รับราชโองการ ไม่ขออนุญาตเข้าวัง ไม่แม้แต่ขอให้คนส่งสารไปยังราชสำนัก เอาแต่เก็บตัวเงียบ

ในตอนนี้ ทั่วโลกรู้ว่าเขาเป็นทายาทที่ถูกขับออกจากราชวงศ์ ในร่างกายมีเลือดของตระกูลเฉิน ทว่าเขาไม่ใช่โอรสจักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์เทียนไห่

ในเวลาไม่กี่บีนี้ ก็ไม่ได้มีความสัมพันธ์อันดีระหว่างเขากับจักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์เทียนไห่แต่อย่างใด

แล้วทำไมเขาถึงปฏิเสธราชโองการถึงสามครั้งติดต่อกัน ทำไมถึงได้แสดงท่าทีลบหลู่ราชสำนักผ่านการเป็นปรปักษ์กับโจวทง ทำไมเขาใช้ความเงียบต่อสู้กับอาจารย์ของตัวเอง

เซวียสิ่งชวนถูกฝังไปแล้ว ในขณะที่เซวียเหอถูกนำตัวกลับจิงตู ถูกขังอยู่ในคุกโจวด้วยเหตุผลที่ซับซ้อนมากมาย แต่ไม่น่าเป็นอันตรายถึงชีวิต กระนั้นก็ตามไม่มีใครลืมว่าระหว่างความวุ่นวายที่เกิดขึ้นในงานศพที่จวนเซวียเมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมา หลายฝ่ายได้ส่งตัวแทนไป นี่เป็นการระลึกถึงผู้ปกครองเก่าหรือการต่อต้านผู้ปกครองใหม่ เป็นการแสดงความเคารพต่อสังฆราชหรือการท้าทายซางสิงโจว

หากนี่ยังเป็นการปกครองของเทียนไห่ โจวทงย่อมใช้เรื่องนี้ก่อพายุขึ้นแล้ว แต่ตอนนี้เขาทำตัวผิดแปลกไป เก็บตัวเงียบอย่างน่าประหลาด

ใครที่รู้ว่ามีคนอย่างหวังผ้อซ่อนตัวอยู่ในจิงตู รอเวลาเดินออกมาจากร้านน้ำชาสักร้านข้างถนนและส่งประกายดาบโจมตี ก็ย่อมเก็บตัวเงียบ

หลายวันที่ผ่านมาโจวทงไม่ได้อาศัยอยู่ในวังหลวงอย่างที่เคยทำในช่วงแรกๆ และกลับมายังตรอกกองทัพเหนือซือเจิ้งเพื่อเริ่มควบคุมงานอีกครั้ง

“เถี่ยซู่ย่อมอยู่ไม่ไกล เขาต้องคอยปกป้องโจวทงอยู่เป็นแน่”

ซูม่ออวี่กล่าวต่อ “เขาจะรอให้หวังผ้อออกดาบ จากนั้นก็สังหารเขา วิธีนี้เขาจะไม่ผิดคำสาบานต่อท้องฟ้าพร่างดาว ไม่ว่าสังฆราชหรือใครก็ตามไม่อาจลงโทษเขาได้”

สายลมฤดูใบไม้ร่วงอันหนาวเย็นพัดผ่านหน้าต่าง พลิกหน้ากระดาษของหนังสือ แต่ก็ไม่อาจทำให้สีหน้าเฉินฉางเซิงเปลี่ยนไปแม้แต่น้อย

เมื่อมองดูเฉินฉางเซิงนั่งเงียบอยู่ข้างหน้าต่าง ซูม่ออวี๋ก็ลอบถอนหายใจและกล่าว “เรื่องที่อารามถานเจ้อในวันนั้นช่างน่าเสียดาย”

ในวันนั้นหากพระราชวังหลียอมจ่ายทุกอย่างและสังหารเถี่ยซู่ในสายฝนฤดูใบไม้ร่วง ปัญหาของพวกเขาก็คงไม่ยากเข็ญถึงเพียงนี้

เฉินฉางเซิงยังคงจ้องมองหนังสือต่อไป “วันนั้นไม่เหมาะจะฆ่า”

ซูม่ออวี๋เข้าใจว่าเขาพูดเรื่องราชรถบนหน้าผาและตอบกลับไป “หากเจ๋อซิ่วเป็นผู้ดูแลเรื่องนี้ เขาคงเลือกที่จะลงมือ”

หากพวกเขายอมจ่ายทุกอย่าง ก็ไม่จำเป็นต้องหวาดกลัวราชรถคันนั้นกับเสียงฝีเท้าม้าดังกึกก้องหลังเทือกเขา

“แปดมรสุมจะถูกฆ่าง่ายๆ ได้อย่างไร ต่อให้เราสำเร็จ พระราชวังหลีก็ต้องจ่ายค่าตอบแทนมหาศาล”

หากเถี่ยซู่ถูกสังหารในวันนั้น จะมีใครในสี่ผู้ยิ่งใหญ่นิกายหลวงสามารถเดินกลับมาจากสายฝนฤดูใบไม้ร่วงได้

เฉินฉางเซิงอ่านหนังสือไปกล่าวไป “แล้วก็จะทำให้โลกเกิดความโกลาหล”

ซูม่ออวี๋เห็นด้วย “หากถังถังเป็นคนดูแลเรื่องนี้ เขาต้องยืนกรานให้ทำ เพราะปรมาจารย์เต๋าย่อมไม่ต้องการเห็นโลกนี้เกิดความโกลาหล ดังนั้นเขาต้องเลือกที่จะสังหาร”

เฉินฉางเซิงไม่เชื่อว่าเรื่องนี้จะเป็นไปตามที่ซูม่ออวี๋หรือถังซานสือลิ่วเชื่อ

พระราชวังหลีต้องการจะสังหารเถียซู่เพื่อปกป้องหวังผ้อ

เป้าหมายที่หวังผ้อมาที่จิงตูก็เพื่อสังหารโจวทง

โจวทงเป็นคนที่ราชสำนักให้การคุ้มครอง

หวังผ้อเป็นคนที่ราชสำนักต้องฆ่า

เฉินฉางเซิงรู้ดีว่าจากสี่ประโยคนี้ อาจารย์ย่อมยินดีให้โลกเกิดความโกลาหล และดังนั้น…

“อาจารย์อาไม่ทำเช่นนั้น”

เขาเงยหน้ามองไปนอกหน้าต่างดูฤดูใบไม้ร่วงที่เยือกเย็นและเฉยชา “เพราะเขาไม่ใช่คนเช่นนั้น”

สังฆราชเป็นคนยิ่งใหญ่ที่ให้ความสำคัญกับโลกใบนี้

แต่เขาไม่ใช่วีรบุรุษ ยิ่งไม่ใช่คนทะเยอทะยานอันโหดเหี้ยม

ยามที่เขามองไปที่ดวงดาว ยังมีบางสิ่งที่เขานับถือและเขาต้องการที่จะปกป้องเฉินฉางเซิงกับหวังผ้อ

แต่เขาไม่ต้องการให้โลกนี้ตกอยู่ในความโกลาหล ให้ผู้คนต้องพบเจอกับความทุกข์ยาก

การที่เขารักษาสถานการณ์ในจิงตูให้อยู่ในระดับที่ยังสามารถควบคุมได้ก็นับว่าท้าทายมากแล้ว

ส่วนคนที่นั่งตรงข้ามกระดานหมากรุกกับเขาเล่า

วังหลวงเงียบงันมาก คนมากมายตรงหน้าท้องพระโรงได้เห็นเงาร่างซางสิงโจวที่ส่องผ่านแสงในห้องนั้น แต่ไม่มีใครรู้ว่าเขาคิดอะไรอยู่

ซางสิงโจวย่อมต้องทำอะไรบางอย่าง แต่ไม่มีใครรู้ว่าทำอะไร

เฉกเช่นในการยึดอำนาจที่สุสานเทียนซูการกบฏที่เมืองเสวี่ยเหล่า ความเงียบของเขาก็คือปฐมบทของสายฟ้าที่ผ่าอย่างกะทันหัน

ไม่มีใครรู้ว่าหวังผ้ออยู่ไหนเช่นกัน

ทั่วทั้งโลกรู้ว่าเขาอยู่ในจิงตูและต้องการฆ่าคน แต่ไม่มีใครรู้ว่าจะหาตัวเขาได้อย่างไร

เขาหายตัวไป แต่ร้านอาหารทางใต้ของเมืองมีนักบัญชีจากเวิ่นสุ่ยเพิ่มมาคนหนึ่ง

……

……

จิงตูลึกเข้าสู่ช่วงปลายฤดูใบไม้ร่วง ลึกเข้าไปเรื่อยๆ ลึกจนถึงขีดสุด ความเย็นเยียบซึมถึงกระดูกแต่โชคยังดีที่โคมไฟ ความมีชีวิตชีวาในอากาศ และธงสีที่ประดับถนน ช่วยลดความเย็นลงได้บ้าง

การบรรจบกันของเหนือใต้ เหตุการณ์ใหญ่ที่ทุกคนเฝ้ารอได้ถูกประกาศอย่างเป็นทางการในที่สุด การฉลองกำลังจะเริ่มขึ้น

การฉลองนี้ยิ่งใหญ่อย่างไม่เคยมีมาก่อน เป็นทั้งการฉลองการบรรจบกันของเหนือใต้และยังเป็นความพยายามของผู้ปกครองใหม่ที่จะชะล้างกลิ่นอายจักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์เทียนไห่ออกไปจนหมด

คณะทูตจากเมืองไป๋ตี้มาถึงจิงตูไม่กี่วันก่อนงานฉลอง ส่วนคู่สามีภรรยาจักรพรรดิขาวจะมาในตอนจบเท่านั้น

หลังจากการต่อสู้สะท้านฟ้ากับราชามาร จักรพรรดิขาวก็ได้รับบาดเจ็บอย่างมาก คนที่มาคือจักรพรรดินีของเขา องค์หญิงใหญ่แห่งดินแดนต้าซี

ผู้คนมากมายทอดสายตาไปยังสำนักฝึกหลวง

ทุกคนรู้ว่าสำนักฝึกหลวงใกล้ชิดกับเผ่าปีศาจอย่างมากและเฉินฉางเซิงก็เป็นถึงอาจารย์ขององค์หญิงลั่วลั่ว

ดังนั้นการมาถึงของคณะทูตเผ่าปีศาจจะส่งผลกระทบต่อสถานการณ์ในจิงตูอย่างไร

คำถามนี้แม้แต่เฉินฉางเซิงก็ไม่รู้คำตอบ

ในวันที่คณะทูตมาถึงจิงตู เขาก็วางหนังสือในมือเป็นครั้งแรก อาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าและรอการมาถึงของเพื่อนเก่า

เพื่อนเก่ามาจริงๆ ทว่าไม่ใช่ลั่วลั่วแต่เป็นจินอวี้ลวี่

“องค์หญิงกำลังอยู่ในช่วงทะลวงผ่านไม่อาจจากมาได้ ข้าพบกับเซวียนหยวนผ้อบนถนน เขาได้รับบาดเจ็บพอดู จำเป็นต้องพักผ่อน ดังนั้นจึงไม่สามารถพากลับมาด้วย”

จินอวี้ลวี่มองดูเขา ตบไหล่แล้วก็ถอนหายใจ

‘ไม่อาจจากมาได้’ ‘ไม่สามารถพากลับมา’

เฉินฉางเซิงรู้สึกเศร้าอยู่เงียบๆ