ตงป๋อเสวี่ยอิงไม่เพียงแต่รู้จักจ้าวภูเขาค้างคาวเท่านั้น แต่ยังรู้อีกด้วยว่าผู้ที่นั่งอยู่ตรงข้ามจ้าวภูเขาค้างคาวคือยอดฝีมือที่มีชื่อว่า ‘จ้าวเทพเจียนอิ่น’ จ้าวเทพเจียนอิ่นก็เป็นหนึ่งในปรมาจารย์ด้านการบำเพ็ญของสกุลอวี้เฟิงแห่งจวิ้นซานเช่นกัน สถานะของเขากับจ้าวภูเขาค้างคาวล้วนพิเศษเป็นอย่างยิ่ง เพราะว่าพวกเขาต่างก็เป็นบุคคลซึ่งเป็นที่รู้กันทั่วทั้งเมืองจวิ้นซานว่าพลังยุทธ์จัดอยู่ในสิบอันดับแรก!
ต้องรู้ไว้ว่าถึงแม้จ้าวเทพช่วงสุดยอดจะได้มายากยิ่ง แต่ยอดฝีมือจ้าวเทพช่วงสุดยอดของทั่วทั้งเมืองจวิ้นซานรวมกันขึ้นมาแล้วก็มีอยู่เกินกว่ายี่สิบท่านเลยทีเดียว! ก็มีเพียงแค่ใต้เท้าเจ้าเมือง นายน้อย ‘อวี้เฟิงเหลย’ พ่อบ้านถง เจ้าหอสิง จ้าวเทพเจียนอิ่น และจ้าวภูเขาค้างคาว หกคนนี้เท่านั้น ส่วนเหล่าจ้าวเทพคนอื่นๆ นั้นความแตกต่างของพลังยุทธ์ก็น้อยกว่า หากไม่แข่งขันห้ำหั่นกันอย่างเอาเป็นเอาตายจริงๆ ก็ยังยากที่จะตัดสินสิบอันดับแรกออกมาจริงๆ ได้
เป็นที่ยอมรับโดยทั่วกัน! ก็หมายความว่าพลังยุทธ์ของหกท่านนี้มีความได้เปรียบอย่างเห็นได้ชัดเจน
“หืม”
“จ้าวเทพหิมะเหินออกมาแล้ว”
“เขาออกมาแล้ว รวดเร็วถึงเพียงนี้เลยทีเดียว ยังคิดว่าเขาจะอยู่ในหอสะสมคัมภีร์นานเป็นปีสองปีเสียอีก”
สายตาของคนกลุ่มหนึ่งที่นั่งกระจัดกระจายอย่างประปรายอยู่รอบๆ ต่างก็มองไปทางตงป๋อเสวี่ยอิง รวมทั้งจ้าวภูเขาค้างคาวท่านนั้น และจ้าวเทพเจียนอิ่น ต่างก็มองไปทางตงป๋อเสวี่ยอิงเช่นเดียวกัน
ประชากรโลกเทพ เกิดมาก็มีอายุขัยเป็นนิรันดร์ สำหรับพวกเขาแล้วระยะเวลาสามปีห้าปีนั้นช่างแสนสั้นยิ่งนัก! เข้าไปในหอสะสมคัมภีร์ พินิจดูตำราศาสตร์หนึ่งให้ดีๆ ใช้เวลาปีสองปีก็เป็นเรื่องปกติธรรมดาอย่างยิ่ง
“ฮ่าฮ่าฮ่า…” จ้าวภูเขาค้างคาวหัวเราะเสียงแหลมบาดหู ก้องสะท้อนทั่วเวหาบริเวณรอบๆ
“จ้าวภูเขาค้างคาว มีสิ่งใดน่าขันอย่างนั้นหรือ” ตงป๋อเสวี่ยอิงกลับเอ่ยปากขึ้นขัดจังหวะเสียงหัวเราะของจ้าวภูเขาค้างคาว
จ้าวภูเขาค้างคาวจึงยืดกายลุกขึ้นแล้วยิ้มตาหยีมองตงป๋อเสวี่ยอิง “ได้ยินมานานแล้วว่าเมืองจวิ้นซานของพวกเรามีผู้เหินทะยานมาอีกคนหนึ่ง วันนี้ได้เห็นจ้าวเทพหิมะเหิน ก็ปรากฏว่าไม่ธรรมดาเลยจริงๆ”
“ไม่ธรรมดาเป็นอย่างยิ่งเลยทีเดียว” บุรุษวัยกลางคนอาภรณ์ขาวที่อยู่ข้างๆ เอ่ยพลางยิ้มน้อยๆ
“สามารถกำจัดผู้ใต้บังคับบัญชาตัวน้อยสามคนของท่านได้ จะเป็นยอดฝีมือธรรมดาๆ ได้อย่างไรกันเล่า”
จ้าวภูเขาค้างคาวสีหน้าแข็งค้างไปเล็กน้อย
ตงป๋อเสวี่ยอิงมองไปทางบุรุษวัยกลางคนผู้นั้น “จ้าวเทพเจียนอิ่นหรือ”
“จ้าวเทพหิมะเหินรู้จักข้าด้วยหรือนี่” บุรุษวัยกลางคนอาภรณ์ขาวพูดยิ้มๆ อย่างประหลาดใจ “ดูท่าทางการข่าวของจ้าวเทพหิมะเหินก็ฉับไวใช้ได้เลยทีเดียวนะ”
“ชื่อเสียงอันยิ่งใหญ่ของจ้าวเทพเจียนอิ่น ข้าจะไม่รู้จักได้อย่างไรกัน” ตงป๋อเสวี่ยอิงพูดยิ้มๆ
“จ้าวเทพหิมะเหิน” ‘จ้าวภูเขาค้างคาว’ ชายชราอัปลักษณ์ศีรษะทรงสามเหลี่ยมเอ่ยด้วยเสียงแหบแห้ง “ผู้ใต้บังคับบัญชาตัวน้อยสามคนของข้าไปขอคำชี้แนะ ไม่ทราบว่ายังมีชีวิตอยู่หรือไม่”
ขณะนี้รอบด้านล้วนเงียบสงัดไปเสียแล้ว
คนอื่นๆ ล้วนไม่กล้าสอดปาก แม้กระทั่งจ้าวเทพเจียนอิ่นก็ยังชมความครึกครื้นอยู่ข้างๆ
“พวกเขาไปสังหารข้า แต่สังหารข้ามิได้ ท่านว่าพวกเขายังมีชีวิตอยู่หรือไม่กันเล่า” ตงป๋อเสวี่ยอิงมองดูจ้าวภูเขาค้างคาวผู้นี้
จ้าวภูเขาค้างคาวขมวดคิ้วน้อยๆ พลางเอ่ยด้วยเสียงแหบแห้งว่า “อ้อ เช่นนั้นข้าก็ต้องดูสักหน่อยแล้วว่าที่แท้จ้าวเทพหิมะเหินมีพลังยุทธ์เช่นไร เราสองคนมาประลองหยั่งเชิงกันดูสักรอบหนึ่ง ว่าอย่างไรเล่า”
“ได้สิ”
ตงป๋อเสวี่ยอิงพยักหน้า
ผู้ที่ชมดูอยู่รอบๆ จำนวนมากต่างก็เผยสีหน้ายินดี การประลองของสองยอดฝีมือนั้นพวกเขาก็ย่อมคาดหวังรอคอยอยู่แล้ว พวกเขาแต่ละคนถ่อมาถึงที่นี่ก็มิใช่เพื่อชมดูยอดฝีมือผู้ยิ่งใหญ่สองคนนี้ประมือกันหรือไร คนหนึ่งคือผู้ที่พลังยุทธ์เป็นที่ยอมรับโดยทั่วกันว่าจัดอยู่ในสิบอันดับแรกของเมืองจวิ้นซาน ส่วนอีกคนหนึ่งก็เป็นผู้เหินทะยาน พลังยุทธ์ยังเป็นปริศนา สามารถล้างผลาญจ้าวเทพสามท่านได้อย่างสบายๆ
“ดูท่าทางจ้าวภูเขาค้างคาวผู้นี้จะมิได้ระมัดระวังตัวอย่างธรรมดาๆ เสียด้วย” ตงป๋อเสวี่ยอิงเอ่ยพึมพำ “ก่อนหน้านี้ไม่กล้าไปจัดการข้า แต่กลับเลือกทำการประลองหยั่งเชิงภายในตระกูลอวี้เฟิง”
จ้าวเทพสามคนนั้นไปโจมตีตน ก็ถูกตนสังหารไปแล้ว
ถ้าหากตอนนั้นจ้าวภูเขาค้างคาวก็ไปลงมือด้วย! ตงป๋อเสวี่ยอิงตอบโต้ สองฝ่ายห้ำหั่นกันขึ้นมา แม้ว่าสักฝ่ายหนึ่งตายตกไปก็เป็นเรื่องปกติธรรมดาอย่างยิ่ง
แต่ภายในตระกูลอวี้เฟิง ที่นี่ห้ามมิให้ห้ำหั่นเอาชีวิตกัน แม้กระทั่ง ‘การประลองหยั่งเชิง’ ก็ยังต้องขึ้นไปบนเวทีประลองเฉพาะ การประลองหยั่งเชิงก็เพียงเพื่อแบ่งระดับสูงต่ำเท่านั้น ห้ามทำร้ายจนถึงแก่ชีวิต
“จ้าวภูเขาค้างคาวผู้นี้ไม่มีความมั่นใจ ดังนั้นจึงต้องการจะประลองหยั่งเชิงกับข้าภายในตระกูลอวี้เฟิง ถ้าหากหลังการประลองไปแล้วรู้สึกว่าสามารถสังหารข้าได้ เกรงว่าหลังไปจากตระกูลอวี้เฟิงแล้วก็คงจะลอบลงมืออย่างรวดเร็วเป็นแน่แท้ทีเดียวกระมัง” ตงป๋อเสวี่ยอิงลอบหัวเราะเยาะ เขาย่อมมิได้เห็นจ้าวภูเขาค้างคาวผู้นี้อยู่ในสายตาเลย เขามาถึงโลกแห่งนี้ จุดประสงค์หลักก็เพื่อการบำเพ็ญเท่านั้น
การบำเพ็ญภายใต้แหล่งอารยธรรมที่แตกต่างกัน ขัดเกลากายตน รับรองความเป็นนิรันดร์ของวิถี หนีออกจากกรงขัง สำเร็จเป็นคละถิ่น!
……
ทั่วทั้งตระกูลอวี้เฟิงล้วนปั่นป่วนขึ้นมาเสียแล้ว
“เร็วเข้าสิ ที่เวทีประลองยอดเขาอสนีบาต จ้าวภูเขาค้างคาวจะประมือกับจ้าวเทพหิมะเหินแล้ว”
“รีบไปดูเร็วเข้า”
“ก่อนหน้านี้จ้าวภูเขาค้างคาวประสบเคราะห์ใหญ่ ในที่สุดก็จะลงมือแล้ว”
หลังจากที่บรรดาสานุศิษย์สกุลอวี้เฟิงจำนวนมากได้รับข่าวแล้วก็รีบมุ่งหน้าไปยังที่ ‘เวทีประลองยอดเขาอสนีบาต’ ที่สกุลอวี้เฟิงใช้สำหรับการประลองหยั่งเชิงโดยเฉพาะ
แต่ในขณะนี้เอง ภายในสวนดอกไม้แห่งหนึ่งของสกุลอวี้เฟิง
ชายหนุ่มใบหน้าขาวผ่องคนหนึ่งกำลังเดินเคียงไหล่กับหญิงสาวอาภรณ์สีเขียวเข้ม หญิงสาวอาภรณ์สีเขียวเข้มผุ้นั้นก็คือ ‘อวี้เฟิงชิงอิน’ นั่นเอง
“น้องหญิง” ชายหนุ่มเอ่ยเสียงต่ำ “เจ้ายังโกรธอยู่อีกหรือ”
“ข้ามิได้เคยพูดเอาไว้ก่อนแล้วหรือไร ทุกสิ่งทุกอย่างข้าล้วนฟังคำท่านพ่อ ฟังคำพวกท่านพี่ใหญ่พี่รองทั้งสิ้น” อวี้เฟิงชิงอินพูด
ชายหนุ่มส่ายศีรษะเบาๆ “คราวนี้ให้เจ้าแต่งงานกับคุณชายเก้าเมืองไม้บูรพาผู้นั้น เป็นเพราะสกุลอวี้เฟิงของเราไร้สามารถจริงๆ”
“อย่าได้พูดอีกเลย ข้าไม่ตำหนิท่านพ่อหรอก แล้วก็ไม่ตำหนิพวกท่านพี่ใหญ่พี่รองเช่นเดียวกัน” อวี้เฟิงชิงอินหันหน้ามองไปทางพี่รองของตน “อันที่จริงแล้วข้ามองดูการต่อสู้ห้ำหั่นต่างๆ นานาในเมืองจวิ้นซานมองดูผู้ที่บุกฝ่าความเป็นความตายท่ามกลางดินแดนรกร้าง ข้าก็รู้ว่าผู้ที่อ่อนแอย่อมตกเป็นเหยื่อของผู้แข็งแกร่ง ตอนนี้เผชิญหน้ากับประมุขสมาคมจิตมารผู้นั้น พวกเราก็กลายเป็นผู้อ่อนแอไปแล้ว อย่าได้พูดเรื่องพวกนี้อีกเลย พี่รอง ท่านจะออกเดินทางไปยังเมืองไม้บูรพาเมื่อใดหรือ”
“ยังเตรียมการอยู่เลย” อวี้เฟิงจิ่นพูด “จำเป็นจะต้องตระเตรียมของกำนัลต่างๆ คิดหาวิธีเจรจาต่อรองในเรื่องนี้ เฮ้อ ถึงแม้ว่าจะให้น้องหญิงแต่งงานกับคุณชายเก้าผู้นั้น แต่เมืองไม้บูรพาจะรับปากด้วยหรือไม่นั้นก็ยังต้องว่ากันอีกที”
อวี้เฟิงชิงอินพยักหน้าน้อยๆ แล้วหัวเราะกับตนเอง “ใช่แล้ว ยังต้องว่ากันอีกที”
อยากจะแต่งออกไปให้เขา
ก็ยังไม่แน่ว่าอีกฝ่ายจะต้องการ!
“หืม” อวี้เฟิงจิ่นเผยสีหน้าประหลาดใจออกมาในทันใดแล้วเอ่ยต่อไปว่า “น้องสาว ข้าเพิ่งได้รับข่าวมาว่าจ้าวเทพหิมะเหินที่เจ้าช่วยกลับมาและจ้าวภูเขาค้างคาวกำลังไปที่เวทีประลองยอดเขาอสนีบาต หมายจะประลองกันสักยกหนึ่ง”
“หา… จ้าวเทพหิมะเหินกับจ้าวภูเขาค้างคาวอย่างนั้นหรือ” อวี้เฟิงชิงอินก็เผยสีหน้าประหลาดใจวูบหนึ่งเช่นเดียวกัน
“ไปๆๆ พวกเราไปดูกันหน่อยดีกว่า” อวี้เฟิงจิ่นพูด
เรื่องที่จะแต่งออกไปให้เมืองไม้บูรพาก็จำเป็นจะต้องบอกอวี้เฟิงชิงอินอยู่แล้ว อีกทั้งนางยังต้องให้ความร่วมมือโดยสมัครใจอีกด้วย
อวี้เฟิงชิงอินยอมให้ความร่วมมือก็จริง… แต่ว่าหลายวันมานี้อารมณ์ก็แย่ลงอย่างเห็นได้ชัดเจน! อวี้เฟิงจิ่นก็อยากจะพาน้องสาวไปชมดู ‘การประลองระหว่างจ้าวเทพหิมะเหินกับจ้าวภูเขาค้างคาว’ ก็นับได้ว่าเป็นการผ่อนคลาย
……
เขาอสนีบาตตั้งอยู่ที่มุมด้านตะวันตกเฉียงเหนือของจวนตระกูลอวี้เฟิง
ยอดเขาอสนีบาตมีเวทีประลองอยู่แห่งหนึ่ง เป็นสถานที่ที่เอาไว้ใช้สำหรับการประลองหยั่งเชิงโดยเฉพาะ
ตอนที่อวี้เฟิงจิ่นพาตัว ‘อวี้เฟิงชิงอิน’ ผู้เป็นน้องสาวมาถึงยังยอดเขาอสนีบาต สถานที่แห่งนี้ก็มีผู้มาชมดูการประลองจำนวนมากมารวมตัวกันอยู่ก่อนแล้ว น่าจะมีจำนวนกว่าหมื่นคน โชคดีที่ภายในตระกูลอวี้เฟิงนี้มิใช่ว่าใครหน้าไหนก็มีสิทธิ์เข้ามาในตระกูลอวี้เฟิงได้หมด! ถ้าหากต่อสู้กันที่สถานที่สาธารณะในเมือง เกรงว่าอย่างน้อยต้องมีผู้ชมมากกว่านี้อีกเป็นหมื่นเท่า
“น้องหญิงสาม”
หลังจากที่อวี้เฟิงจิ่นและอวี้เฟิงชิงอินมาถึงแล้วก็ได้ยินเสียงอันคุ้นเคย มองไปแวบหนึ่ง บริเวณไกลออกไปก็มีอวี้เฟิงเหลยรูปร่างสูงใหญ่นั่งอยู่ที่นั่นอยู่ก่อนแล้ว
“พี่ใหญ่”
“พี่ใหญ่” พวกเขาสองคนเดินเข้าไป
“นั่งเสียสิ” อวี้เฟิงเหลยมองดูน้องสาวของตนอย่างรักใคร่หวงแหน ในใจก็รู้สึกผิด เขาเป็นคนหยิ่งยโสเช่นนี้ แต่กลับให้น้องสาวแบกรับความยากลำบากของทั้งตระกูล ก็ย่อมรู้สึกละอายใจเป็นธรรมดา
“คิดไม่ถึงว่าผู้ที่มาชมดูจะมากมายถึงเพียงนี้ การประลองหยั่งเชิงนี้ถูกกำหนดขึ้นอย่างฉุกละหุก
เกรงว่าทั่วทั้งเมืองจวิ้นซานจะมียอดฝีมือจำนวนไม่น้องยังคงปลีกวิเวกอยู่ ต่างก็ยังไม่ทราบข่าวนี้เลย” อวี้เฟิงจิ่นกวาดสายตามองปราดหนึ่งด้วยอารมณ์วูบไหวอยู่บ้าง “มนุษย์น้ำแข็งก็ยังมากันมากมายถึงเพียงนี้”
อวี้เฟิงชิงอินมองดูบนเวทีประลองนั้นอยู่ห่างๆ
บนเวทีประลอง มีเงาร่างสองสายกระจายตัวกันอยู่ที่สองฝั่งของเวทีประลอง ยืนปักหลักอยู่ห่างๆ กัน
“แล้วก็ไม่รู้เลยว่าพลังยุทธ์ที่แท้จริงของจ้าวเทพหิมะเหินผู้นี้เป็นเช่นไร” จ้าวภูเขาค้างคาวหรี่ตามองตงป๋อเสวี่ยอิง ในใจคิดวางแผน “ถ้าหากพลังยุทธ์ของเขาแข็งแกร่งจนน่าหวาดหวั่น อย่างน้อยย้ายมาที่นี่แล้วก็เพียงแค่เสียหน้าเท่านั้น ก็ไม่ต้องเอาชีวิตมาทิ้ง! ถ้าหากพลังยุทธ์ของเขาย่ำแย่กว่าข้ามาก หึหึหึ…ผ่านไปอีกไม่กี่วันก็เป็นเวลาจบชีวิตของเขาแล้วล่ะ”
จ้าวภูเขาค้างคาว คนผู้นี้โหดเหี้ยมอำมหิต ทั้งยังระแวดระวังหาใดเปรียบ
“จ้าวเทพหิมะเหิน เอาชนะจ้าวภูเขาค้างคาว!” ทันใดนั้นน้ำเสียงกระจ่างชัดสายหนึ่งก็ดังขึ้น
ตงป๋อเสวี่ยอิงหันหน้าไปมองอย่างประหลาดใจ เมื่อมองเห็นอวี้เฟิงชิงอินที่อยู่ห่างออกไปกำลังตะโกนเสียงดัง พร้อมกันนั้นนางยังเผยรอยยิ้มออกมาด้วย คล้ายกับกำลังคาดหวังรอคอยอย่างตื่นเต้น
“คุณหนูสามผู้นี้ ตั้งหน้าตั้งตาคอยการต่อสู้อย่างมากเลยหรือไร” ตงป๋อเสวี่ยอิงแย้มยิ้ม เขาจะรู้เสียที่ไหนกันว่าอวี้เฟิงชิงอินในขณะนี้เจตนาตะโกนออกมา เพื่อระบายความคับข้องใจ
“หึ”
จ้าวภูเขาค้างคาวได้ยินเสียงตะโกนนี้แล้วก็อดที่จะขมวดคิ้วมุ่นมิได้ เพียงแต่สังเกตได้ถึงวาจาที่คุณหนูสามตะโกนออกมา ก็ได้แต่อดทนเอาไว้
“จ้าวเทพหิมะเหิน คุณหนูสามช่างเห็นดีเห็นงามในตัวเจ้าเสียเหลือเกิน เช่นนั้นก็ให้ข้าได้เห็นสักหน่อยว่าที่แท้แล้วเจ้ามีฝีมือสักแค่ไหน” จ้าวภูเขาค้างคาวเอ่ยด้วยเสียงแหบแห้ง น้ำเสียงยังคงก้องสะท้อน ระหว่างนั้นก็ลงมืออย่างเงียบงันไร้สุ้มเสียงเสียแล้ว
……………………………………….