บทที่ 495.3 ป๋ายอวี้จิงบนท้องฟ้า

กระบี่จงมา! Sword of Coming

ภูตถือพัดยกเท้าถีบลูกสมุนผู้นั้นจนอีกฝ่ายลอยกระเด็นไปหลายจั้ง จากนั้นก็พูดพึมพำกับตัวเองว่า “บุรุษหน้าตาอัปลักษณ์ผู้นั้นโยนแหออกมาอีกหนึ่งปาก เหมือนกันอย่างไม่มีผิดเพี้ยน ยังคงเป็นสมบัติอาคมที่ได้มาจากการเผาผลาญเงินเทพเซียน แล้วยังบอกว่าความสามารถอย่างอื่นเขาไม่มี แต่ความสามารถในการนอนรับเงินนั้น ต่อให้เป็นตัวเขาเองก็ยังกลัวตัวเอง บุรุษเช่นนี้ก็ถือว่าโชคดีที่หน้าตาขี้เหร่ ไม่อย่างนั้นแม้แต่ข้าคงอยากจะฉี่รดหัวเขาด้วยอีกคน”

ปีศาจทุกตนร้องฮือฮา

รู้สึกเพียงว่าตัวเองกำลังฟังภาษาสวรรค์ที่ฟังเท่าไหร่ก็ไม่รู้เรื่อง

ผู้เฒ่าเคราแพะถามเบาๆ “หลังจากนั้นเป็นอย่างไรต่อ? ทางฝ่ายของนครจิงกวานนั่นได้ต่อสู้กันอย่างดุเดือดยิ่งกว่าเดิมหรือไม่? หากทั้งสองฝ่ายสู้กันจนปลาตายตาข่ายขาด มอดม้วยกันไปทั้งคู่ แบบนั้นถึงจะดีที่สุด!”

“เหล่าหยาง หน้าตาของเจ้าก็พอๆ กับเจ้าโจวเฝยผู้นั้น ยังจะวาดฝันสวยหรูอีก แบบนี้ไม่ดีหรอกนะ ต้องเปลี่ยนแปลงเสียบ้าง”

หลังจากภูตภูเขาเอ่ยสัพยอกแล้วก็รู้สึกเสียดายเล็กน้อย “ไม่มีเรื่องภายหลังอะไรอีก นครใต้อาณัติมากมายของนครจิงกวานที่อยู่ทางทิศเหนือเริ่มเปิดการป้องกันอย่างเข้มงวด ไม่มีข่าวลือใดๆ แพร่มาทางทิศใต้ของพวกเราอีก ข่าวของนครถงโช่วก็มีเพียงแค่นี้ เฮ้อ สตรีสองคนนั้นคงจะกลายเป็นลูกแกะที่เข้าปากเสือไปแล้ว ต่อให้สมบัติอาคมของเจ้าคนอัปลักษณ์จะร้ายกาจแค่ไหน แต่จะมีตบะสูงได้เท่าเจ้านครจิงกวานหรือ?”

เฉินผิงอันสะกดรอยตามอยู่ไกลๆ

เขารู้สึกสงสัยไม่เข้าใจ เหตุใดเจียงซ่างเจินถึงได้ย้อนกลับมาที่อุตรกุรุทวีป อีกทั้งยังจับมือกับเทพหญิงฉีลู่ที่เดินออกมาจากภาพวาดผู้นั้นบุกไปยังนครจิงกวานของหุบเขาผีร้ายด้วย?

หรือว่าหลังจากที่เทพหญิงฉีลู่ไปชนตออยู่ที่ท่าเรือลำคลองเหยาเย่ก็เลยเปลี่ยนใจหันไปเลือกเจียงซ่างเจินเป็นเจ้านายแทน?

แล้วผู้ฝึกตนหญิงอีกคนที่เดินทางไปด้วยกันล่ะ เป็นใครกันแน่?

ยังไม่ต้องสนใจเรื่องพวกนี้ เพราะต่อให้เขาอยากสนก็ไม่มีอำนาจจะไปเจ้ากี้เจ้าการอะไรได้ เพราะหากเจียงซ่างเจินลงมือต่อสู้โรมรันอยู่กับนครจิงกวานจริงๆ นั่นก็ต้องเป็นเทพเซียนตีกันที่แท้จริงครั้งหนึ่ง

ลองไปเจอกับปี้สู่เหนียงเนียงผู้นี้ก่อนดีกว่า

……

ลำธารลึกกึ่งกลางภูเขากระจกวิเศษ หยางฉงเสวียนนั่งอยู่ริมน้ำด้วยความเบื่อหน่าย เขายกมือนวดคลึงข้างแก้ม นั่งเฝ้าตอรอกระต่ายอยู่ที่นี่มานานหลายปีก็ช่างน่าเบื่อและชวนให้คนอึดอัดใจเสียจริง

หลังจากได้โชควาสนามาอยู่ในมือแล้วจะต้องเดินทางไปเยือนทิศเหนือดูให้ได้ ทางที่ดีที่สุดคือไปเปิดฉากต่อสู้อย่างสาแก่ใจบนภูเขาตี้ลี่สักหลายๆ ครั้ง

ตลอดหลายปีที่ไม่ปรากฏตัว อานุภาพของนามแฝงอีกชื่อหนึ่งก็ถูกพวกหนุ่มสาวที่โดดเด่นข่มทับไปหมดแล้ว

แล้วหยางฉงเสวียนก็ยกมือขึ้นเกาหัว เมื่อหลายปีก่อนเคยชินกับหัวที่โล้นโล่งไปแล้ว ตอนนี้จึงยังปรับตัวไม่ได้เท่าไหร่

คำทำนายประโยคนั้น สรุปว่าแม่นหรือไม่แม่นกันแน่? แม้จะบอกว่าการที่มาอยู่ที่นี่ก็ถือเป็นการฝึกตนเหมือนกัน ขอแค่มีเวลาว่างก็จะลงไปแช่ตัวอยู่ในน้ำ ซึ่งสามารถขัดเกลาจิตวิญญาณได้ แต่เมื่อเทียบกับการหล่อหลอมเรือนกายด้วยลาวาในภูเขาไฟของปีนั้น อันที่จริงยังห่างชั้นอยู่มาก แล้วนับประสาอะไรกับที่นิสัยของเขาไม่ชอบถูกพันธนาการ หากไม่เป็นเพราะทางตระกูลออกคำสั่งเข้มงวด ท่านแม่เกือบจะยกเอาหลักของความกตัญญูมาข่มเขาแล้ว ไม่อย่างนั้นหยางฉงเสวียนก็คงไม่ยินดีจะมาที่นี่ ยกหน้าที่ให้น้องชายที่รักที่ทำอะไรสุขุมรอบคอบ ขอบเขตก็ไม่ต่ำ แถมชื่อเสียงยังโด่งดังผู้นั้นไปจัดการ จะไม่ยิ่งดีกว่าหรอกหรือ? อีกอย่างต่อให้ตนได้กระจกซานซานเล่มนั้นมา สุดท้ายตระกูลก็ยังต้องมอบให้น้องชายนำไปหลอมเป็นวัตถุแห่งชะตาชีวิตอยู่ดี

ไม่ใช่ว่าเขาเกิดยอกแสลงใจเพราะเรื่องนี้ ใช่ว่าเห็นน้องชายได้ดีกว่าไม่ได้ เพียงแต่มาอยู่บนภูเขากระจกวิเศษที่แม้แต่นกก็ยังไม่มาขี้แห่งนี้ก็น่าเบื่อเกินไป และนี่ก็เป็นหนึ่งในสาเหตุที่จิ้งจอกเฒ่าภูเขาตะวันตกตัวนั้นยังมีชีวิตอยู่รอดมาได้ เห็นอีกฝ่ายเป็นตัวตลกหาความบันเทิงก็พอจะคลายเหงาได้บ้าง

หยางฉงเสวียนเอื้อมมือไปคว้าหินกำหนึ่งจากก้อนหินใหญ่สีขาวหิมะมาอย่างง่ายๆ บีบฝ่ามือหนึ่งครั้ง ก้อนหินที่ปริแตกกลายเป็นหลายก้อนก็ถูกเขาขว้างลงไปในน้ำ

เขากับน้องชายที่ได้ดิบได้ดีมีชื่อเสียงโด่งดังคนนั้นก็แค่เป็นคู่พี่น้องที่ไม่ชอบขี้หน้ากันและกัน แต่กลับอยู่ไกลเกินกว่าจะเกลียดแค้นจนกลายเป็นศัตรูกัน

เขาที่เป็นพี่ชายทนมองดูน้องชายทำตัวแก่เกินวัยเหมือนหนอนหนังสือคนหนึ่งมาตั้งแต่เด็กไม่ได้ ส่วนอีกฝ่ายที่เป็นน้องชายก็ไม่ชอบพี่ชายที่ก่อเรื่องก่อราวมาตั้งแต่เด็กอย่างเขา

หากสองพี่น้องเปลี่ยนสถานะกัน บางทีเรื่องวุ่นวายใจอาจจะน้อยกว่านี้

มารดามันเถอะ หากรู้ว่าจะเป็นอย่างนี้ตั้งแต่แรก ปีนั้นเขาออกมาจากท้องมารดาก่อนโดยไม่ทันระวัง ขอแค่ทำได้ เขาจะต้องรีบคลานกลับไปทันทีแน่นอน

หยางฉงเสวียนทอดถอนใจอย่างหดหู่ เงยหน้ามองไปทางทิศเหนือแล้วพูดระบายความในใจเสียงดัง “มารดาของข้า ชีวิตที่ยากลำบากเช่นนี้เมื่อไหร่จะถึงจุดสิ้นสุดสักที?”

ริมตลิ่งฝั่งตรงข้ามมีชายฉกรรจ์ร่างกำยำคนหนึ่งวิ่งออกมาจากผืนป่า ในอ้อมอกกอดผลไม้ป่าที่ไปเด็ดจากภูเขาลูกอื่นวิ่งตุปัดตุเป๋ตรงมาพลางตะโกนเสียงดังว่า “พี่ใหญ่หยาง ท่านเองก็คิดถึงมารดาเหมือนกันหรือ?”

หยางฉงเสวียนเอามือเท้าคาง คร้านจะพูดกับอีกฝ่าย เป็นตนนี่ต้องเหนื่อยใจทุกวันเลยสินะ

คนผู้นั้นกระโดดข้ามลำธารลึกมาหยุดอยู่ข้างกายหยางฉงเสวียน แล้วยื่นผลไม้ป่าผลหนึ่งไปให้อีกฝ่าย “พี่ใหญ่หยาง เจ้านี่น่ะกรุบกรอบ อร่อยนักล่ะ”

หยางฉงเสวียนรับผลไม้ป่าลักษณะคล้ายลูกหลีสีขาวมากัดกิน พูดเสียงอู้อี้ไม่ชัดเจน “เหวยเกาอู่ สรุปว่าพี่สาวของเจ้ามีบุรุษที่แอบชอบอยู่ในใจหรือไม่?”

ชายฉกรรจ์ร่างกำยำที่หอบผลไม้มาประจบเอาใจผู้นี้ก็คือเหวยเกาอู่ บุตรชายคนเล็กของจิ้งจอกเฒ่าภูเขาตะวันตก น้องชายของเหวยไท่เจินปีศาจจิ้งจอกที่ถือร่ม ส่วนชื่อของคนทั้งสองนี้ แน่นอนว่าต้องไม่ใช่ชื่อแห่งชะตาชีวิตของพวกเขาสองพี่น้อง

เหวยเกาอู่ส่ายหน้า “ย่อมไม่มีอยู่แล้ว พี่สาวข้าสายตาสูงจะตายไป เห็นไหมล่ะ  แม้แต่พี่ใหญ่หยางก็ยังไม่เข้าตาของนาง คาดว่าชั่วชีวิตนี้พี่สาวข้าคงถูกกำหนดมาแล้วว่าต้องเป็นสาวแก่ขึ้นคาน”

หยางฉงเสวียนจึงไม่ซักถามต่อ

คนโง่ตัวโตที่เหมือนทึ่มทื่อเซ่อซ่าผู้นี้ เมื่ออยู่ท่ามกลางกลุ่มภูตบนภูเขากระจกวิเศษก็ถูกคนอื่นรังแกมาจนชินแล้ว ต่อให้เป็นผีลูกกระจ๊อกประเภทที่ชูธงร้องสนับสนุนเจ้านายก็ยังสามารถตวาดสั่งสอนเขาได้ หากไม่เป็นเพราะหน้าตาหล่อหลา เกรงว่าทุกวันคงต้องคอยเช็ดก้นให้คนเหล่านั้นแล้ว

แต่แท้จริงแล้วเหวยเกาอู่กลับไม่ได้โง่

ถึงขั้นพูดได้ว่าในบรรดาครอบครัวสามคนนี้ เขาคือคนที่ฉลาดที่สุด

ฉลาดจนถึงขั้นเดาออกว่าชะตาชีวิตในท้ายที่สุดของพี่สาวเขา อาจจะไม่ค่อยดีนัก

สิ่งที่สามารถทำได้ เหวยเกาอู่ล้วนทำไปหมดแล้ว อะไรที่ไม่ควรทำ เขาก็ไม่ได้ทำแม้แต่เรื่องเดียว

แต่ก็ยังคงไม่อาจเปลี่ยนแปลงจุดจบของพี่สาวเขาได้

หยางฉงเสวียนสงสัยใคร่รู้อย่างยิ่งว่า หากถึงวันนั้นจริงๆ เหวยเกาอู่จะยังแสร้งโง่ต่อไป หรือจะสู้สุดชีวิต? หรือว่าจะอดทนรับความอัปยศอย่างใหญ่หลวง มีชีวิตอยู่รอดไปวันๆ ในหุบเขาผีร้าย พยายามดิ้นรนต่อต้าน หวังว่าในอนาคตจะสามารถแก้แค้นให้กับตัวเองได้?

นี่ก็เป็นวิธีแก้เบื่ออย่างหนึ่งของหยางฉงเสวียนเช่นกัน ลองคิดเรื่องที่เล็กน้อยสำหรับตัวเอง แต่กลับเป็นเรื่องใหญ่เทียมฟ้าสำหรับผู้อื่น เป็นอะไรที่สนุกอยู่ไม่น้อย

หยางฉงเสวียนรับผลไม้ป่ามาอีกลูก ใช้ชายเสื้อที่ขาดวิ่นเช็ดพลางถามชวนคุย “ทางฝั่งของนครเฟิ่นหลางนั่นคืออย่างไรกันแน่?”

เหวยเกาอู่หัวเราะร่า “คราวก่อนหลังจากที่ใต้เท้าเจ้านครได้คุยเปิดใจกับพี่ใหญ่หยาง ข้าก็ไปเจอเขาที่วัดร้าง เขายังชมว่าข้ามีวาสนา ได้รู้จักกับวีรบุรุษผู้องอาจอย่างพี่ใหญ่หยาง แล้วยังเชิญข้าไปเป็นแขกที่นครเฟิ่นหลางด้วยนะ”

หยางฉงเสวียนยิ้มเอ่ย “นี่หมายความว่าเจ้านครเฟิ่นหยางผู้นี้คือคนคุยง่าย”

เหวยเกาอู่ยิ้มกว้าง “ข้ารู้ อันที่จริงก็ยังเป็นเพราะได้พึ่งใบบุญของพี่ใหญ่หยาง ไม่อย่างนั้นหากใต้เท้าเจ้านครไม่ทันระวังเหลือบมาเห็นข้าก็คงรู้สึกว่าสกปรกสายตาของเขา”

หยางฉงเสวียนเอ่ยถาม “ช่วงนี้สถานที่แห่งอื่นมีเรื่องน่าสนใจอะไรเกิดขึ้นหรือไม่?”

เหวยเกาอู่ก็คือคนที่ช่วยวิ่งไปสืบหาข่าวมาให้ผู้อื่น ความกล้าของปีศาจจิ้งจอกตนนี้ มองดูเหมือนเล็กยิ่งกว่ารูเข็ม ชั่วชีวิตที่ผ่านมาอาจจะไม่เคยบันดาลโทสะมาก่อน แต่อันที่จริงเขากลับใจกล้าไม่น้อย ไม่ว่าจะเป็นภูเขาใกล้เคียง นครเฟิ่นหลาง หรือแม้แต่เมืองหลันเซ่อก็ยังกล้าไป แต่ผู้ที่เหวยเกาอู่ได้สัมผัสด้วย แน่นอนว่ามีเพียงภูตผีและผู้ฝึกตนอิสระระดับล่างสุดของหุบเขาผีร้ายเท่านั้น หยางฉงเสวียนสามารถจินตนาการท่าทางต่ำต้อยของเหวยเกาอู่ที่ไม่ว่ากับใครก็ค้อมเอวก้มหัว ยิ้มซื่อๆ ส่งให้ไม่ขาดได้เลย

เหวยเกาอู่พยักหน้ารับ “มี ข้าเพิ่งจะไปเมืองหลันเซ่อมา ได้ยินมาว่าช่วงนี้ทางภูเขาตี่ลี่มีศึกดุเดือดเกิดขึ้นครั้งหนึ่ง หลิวจิ่งหลงที่พี่ใหญ่หยางเกลียดขี้หน้าคนนั้นต่อสู้กับนักพรตหญิงต่างถิ่นที่หน้าตางดงามมากจนพลิกฟ้าพลิกดินเลยล่ะ”

หยางฉงเสวียนกล่าว “หลิวจิ่งหลงถึงขั้นยินดีเข่นฆ่ากับคนอื่นด้วย? แถมยังเลือกสถานที่อย่างภูเขาตี่ลี่ที่เปิดโล่งโจ่งแจ้งที่สุด? หลิวจิ่งหลงใช้กี่กระบวนท่ากว่าจะสังหารอีกฝ่ายได้?”

เหวยเกาอู่เอ่ยเสียงเบา “ต่างก็พ่ายแพ้บาดเจ็บกันไปทั้งสองฝ่าย คนทั้งคู่ต่างก็นอนจมกองเลือดลมหายใจรวยริน นอนอยู่นานก็ลุกขึ้นมาไม่ไหว สุดท้ายถือว่าหลิวจิ่งหลงชนะไปได้อย่างฉิวเฉียด เพราะเป็นเขาที่ลุกขึ้นยืนได้ก่อน นักพรตหญิงผู้นั้นลุกช้ากว่าเล็กน้อย”

หยางฉงเสวียนขมวดคิ้ว

หลิวจิ่งหลงผู้นั้นมีชื่อเสียงยิ่งกว่าน้องชายของเขาเสียอีก

ในอุตรกุรุทวีปที่ผู้คนชอบแก่งแย่งเอาชนะกัน ไม่ว่าจะบนภูเขาหรือล่างภูเขาก็ล้วนชอบจัดเรียงลำดับ แล้วก็ด้วยเหตุนี้ ทุกครั้งที่เกิดการต่อสู้ถึงได้ดุเดือดรุนแรงมากเป็นพิเศษ

นอกเหนือจากคนสิบคนบนยอดเขาที่รวมถึงเทียนจวินเซี่ยสือแห่งลัทธิเต๋าแล้ว

ยังมีคนหนุ่มสิบคนที่มีหลิวจิ่งหลงเป็นหนึ่งในนั้น ซึ่งน้องชายของหยางฉงเสวียนอยู่ในอันดับที่สิบ

หลิวจิ่งหลงกลับอยู่สูงในอันดับที่สาม

และคนผู้นี้ก็ถูกขนานนามให้เป็นเจียวหลงพสุธาแห่งอุตรกุรุทวีป คือหนึ่งในสิบคนบนยอดเขาของทวีปอย่างจริงแท้แน่นอน

หยางฉงเสวียนรำคาญเขาก็เพราะว่าเมื่อครั้งที่ประลองฝีมือกันตอนเป็นเด็กหนุ่ม ให้ตายอย่างไรเขาก็ไม่อาจฝ่าค่ายกลง่ายๆ ของอีกฝ่ายไปได้

ต้องรู้ว่าหลิวจิ่งหลงคือผู้ฝึกกระบี่คนหนึ่ง หาใช่อาจารย์ค่ายกลไม่

อีกทั้งสิ่งที่ทำให้เจ้าหมอนี่น่ารำคาญยิ่งกว่าน้องชายของตนก็คือหลิวจิ่งหลงชอบใช้เหตุผลมากที่สุด ไม่ใช่สัจธรรมอันเลื่อนลอยเหมือนเหยียบยืนอยู่กลางอากาศ แต่เป็นเหตุผลที่ต่ำสุดและตื้นเขินที่สุด ดังนั้นจึงยิ่งทำให้หยางฉงเสวียนอัดอั้นจนบาดเจ็บภายในได้มากที่สุด

หยางฉงเสวียนยิ้มกล่าว “หลังผ่านศึกนี้ไปก็คงทำให้สำนักฉงหลินได้เงินมาอีกไม่น้อย”

เหวยเกาอู่ถามอย่างใคร่รู้ “พี่ใหญ่หยาง สำนักฉงหลินนั่นคือสำนักอะไรกันแน่?”

หยางฉงเสวียนกล่าว “นครถงโช่วของหุบเขาผีร้ายพวกเจ้า ถือว่าหาเงินเก่งแล้วใช่ไหม หากเจอกับสำนักฉงหลินกลับต้องคุกเข่ากราบกรานยอมรับอีกฝ่ายเป็นบรรพบุรุษแล้ว”

เหวยเกาอู่สีหน้าเลื่อนลอยไปเล็กน้อย ยังคงนั่งหอบผลไม้ป่าเหล่านั้นอยู่ข้างกายหยางฉงเสวียนอย่างว่าง่าย แต่สายตาทอดมองไปยังทิศไกล

หยางฉงเสวียนกล่าว “นอกภูเขายังมีภูเขา เหนือฟ้ายังมีฟ้า แต่หากหมัดไม่แข็งพอ ไม่ว่าเจ้าเหวยเกาอู่จะเดินไปที่ใดก็ล้วนเป็นได้แค่เหวยเกาอู่แห่งหุบเขาผีร้ายเท่านั้น นอกจากตัวสูงหน่อย ในชื่อมีคำว่าเกาที่แปลว่าสูง แต่อย่างอื่นล้วนไม่มีอะไรที่สูงเลย ด้านนอกไม่มีให้ใฝ่ฝันหาหรอก ไม่สู้มีชีวิตอยู่ในหุบเขาผีร้ายของเจ้าไปยังดีเสียกว่า”

เหวยเกาอู่เรียกอีกฝ่ายเสียงเบา “พี่ใหญ่หยาง”

หยางฉงเสวียนตบไหล่กว้างของอีกฝ่าย “ไสหัวไปซะเถอะ”

เหวยเกาอู่ถอนหายใจหนักๆ หนึ่งที วางผลไม้ป่าในอ้อมอกไว้ด้านข้างเบาๆ แล้วจึงกระโดดข้ามธารน้ำไปจากที่แห่งนี้ พอไปถึงชายป่าของฝั่งตรงข้าม เจ้าคนโง่ผู้นี้ยังไม่ลืมหันหน้ากลับมาโบกมือลา

หยางฉงเสวียนยื่นฝ่ามืออกมา อ้าปากถ่มเบาๆ ฝ่ามือก็มีของเหลวสีแดงสดขนาดเท่าเมล็ดข้าวสารจุดหนึ่งโผล่มา หยางฉงเสวียนยิ้มพลางโคลงศีรษะ ยังคงไม่ฉลาดมากพอ

แม้แต่เรื่องที่ว่าตนเป็นผู้ฝึกลมปราณหรือผู้ฝึกยุทธเต็มตัวก็ยังไม่รู้แน่ชัด แล้วยังจะกล้าเล่นลูกไม้เล็กๆ พวกนี้อีกหรือ?

แต่ต่อให้ตายเหวยเกาอู่ผู้นี้ก็คงเดาความจริงไม่ออก ต่อให้จะให้โอกาสเขาสองครั้งแล้วก็ตาม

คือผู้ฝึกลมปราณ?

คือผู้ฝึกยุทธเต็มตัว?

เพราะหยางฉงเสวียนเป็นทั้งสองอย่าง อีกทั้งความสำเร็จยังสูงยิ่ง

นี่ต้องยกคุณความชอบให้กับศึกระหว่างเขากับหลิวจิ่งหลงในครั้งนั้น ตอนนั้นคนทั้งสองเป็นทั้งคนวัยเดียวกัน แล้วก็ถือว่าเป็นสหายกันครึ่งตัวด้วย

การประมือกันครั้งนั้น หลิวจิ่งหลงอาจจะไม่เก็บไปใส่ใจ แต่กลับทำให้หยางฉงเสวียนที่นิสัยง่ายๆ สบายๆ เปลี่ยนไปเป็นคนละคน

หยางฉงเสวียนคือนามแฝง

‘หยางจิ้นซาน’ ที่ใช้ยามท่องยุทธภพก็เช่นเดียวกัน

เพียงแต่ชื่อหยางฉงเสวียนนี้ คาดว่าคงไม่มีใครสนใจ เพียงแต่บนภูเขาของอุตรกุรุทวีป จอมยุทธพเนจรหยางจิ้นซาน รวมไปถึงฉายานักฆ่าหยาง ต่างก็มีชื่อเสียงเลื่องลือระบือไกลเหนือว่าชื่อแซ่ที่แท้จริงของเขา และยิ่งกระฉ่อนไปทั่วทั้งทวีป

น้องชายที่เป็นเมล็ดพันธ์เต๋ามาตั้งแต่เกิดเช่นเดียวกับเขา เกิดมาก็ใกล้ชิดกับสายน้ำ ส่วนเขาที่เป็นพี่ชายกลับเกิดมาใกล้ชิดกับภูเขา

ดังนั้นทางตระกูลถึงได้ให้เขามาเยือนภูเขากระจกวิเศษแห่งนี้

เหตุผลผายลมสุนัขกับมารดาพวกมันแบบนี้ก็ยังอ้างออกมาได้?

แล้วไอ้ธารน้ำลึกที่ลึกจนมองไม่เห็นก้นบึ้งตรงหน้านี้ล่ะคืออะไร?

—–