บทที่ 603 แยกย้าย

เมื่อถึงตอนเที่ยง พวกเขาก็กินข้าวกันที่ร้านเกี๊ยวแห่งนี้แล้ว พวกเขาไม่ได้ทำกับข้าวที่บ้านเพราะมีกลิ่นควันและน้ำมันมาก ทั้งยังทำให้ห้องร้อนอบอ้าวด้วยเช่นกัน สู้ทำกับข้าวที่ร้านเกี๊ยวก็ไม่ได้

“มันหวานนี้ไม่เลวเลยนะคะ” หลินชิงเหอเอ่ยขณะกินมันหวานคู่กับกับข้าวอื่น ๆ

“ซานนีบอกว่าอร่อย เลยให้ผมเอามาให้น่ะ” โจวชิงไป๋พูด

หลินชิงเหอพูด “ซานนีกับพั่งพั่งเป็นอย่างไรบ้างคะ?”

“ยังต้องถามอีกเหรอครับ หล่อนต้องสบายดีอยู่แล้ว พี่ซานนีขึ้นอ้วนเยอะ พั่งพั่งก็ถูกเลี้ยงจนไม่ต่างกับชื่อแล้วครับ ตัวกลมเหมือนลูกบอลเลย” โจวกุยหลายพูด

หลินชิงเหอจึงหันไปถามหู่จือกับกังจือ “กิจการพวกเธอสองคนเป็นยังไงบ้าง?”

“ดีมากเลยครับ” หู่จือยิ้มขณะพูด

“แล้วคำนวณสมุดบัญชียังไง?” หลินชิงเหอขมวดคิ้วแล้วพูด

หู่จือกับกังจือนิ่งอึ้งไปครู่หนึ่ง “ไม่ได้คำนวณอะไรครับ พวกผมเอาทั้งหมดมารวมไว้ด้วยกัน”

“สมุดบัญชีจะเอามากองรวมกันมั่ว ๆ ได้ยังไง พวกเธอต้องแยกตัวใครตัวมัน ปกติเขาต้องแยกกันคำนวณอยู่แล้ว เรื่องเงิน ๆ ทอง ๆ ต่อให้เป็นพี่น้องกันก็ต้องทำแยกกันนะจ๊ะ” หลินชิงเหอพูดพลางขมวดคิ้ว

“ไม่เป็นไรครับ ผมขายได้ไม่ต่างเป็นพี่ชายผมเท่าไหร่ ของพี่เขาหกส่วน ของผมนับสี่ส่วนก็ได้” กังจือพูด

“งั้นตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป ไม่ต้องเอามากองรวมกันอีกแล้วนะ พวกเธอสองคนพี่น้องก็แยกบัญชีใครบัญชีมันไป” หลินชิงเหอพูด

เนื่องจากหู่จือมีคู่ครองแล้ว พวกเขาสองพี่น้องอาจจะไม่สนใจเรื่องเหล่านี้ แต่ถ้ามีภรรยาแล้วมันก็จะเปลี่ยนเป็นอีกอย่างหนึ่งโดยสิ้นเชิง

ดังนั้นเรื่องบัญชีจะต้องทำแยกกันเป็นดีที่สุด ซึ่งหลินชิงเหอทำเพื่อป้องกันเอาไว้ก่อนล่วงหน้า

“พี่ใหญ่ จะแยกบัญชีวันนี้เลยใช่ไหม?” กังจือพูดพลางมองไปที่พี่ชายของเขา

“ก็ดี” หู่จือพยักหน้า

หลินชิงเหอไม่ได้พูดอะไร เป็นเพราะว่าสนิทกันจึงต้องแยกสิ่งของจำพวกเงินเหล่านี้ออกจากกันให้ชัดเจน

“เมื่อเช้าผมออกไปตั้งแผงลอยขายของแล้วเจอกับเชิ่งเฉียงด้วย” กังจือพูดขึ้นอีก

“เจอก็เจอสิ นายควรค่าต้องพูดถึงเขาไหม” โจวกุยหลายกรอกตาครั้งหนึ่ง

“ผมคิดว่าเขาเหมือนจะได้รับบทเรียนแล้ว ไม่เห็นวางก้ามเหมือนเมื่อก่อนหน้านี้เลย” กังจือพูด

“ก็สมควรแล้วนี่ สามีของพี่เอ้อร์นีช่วยเขาออกมาจากคุกแล้วให้เขาจ่ายเงินค่าปรับ แม้กระทั่งคำขอบคุณเขายังไม่พูดเลย นายจะบอกฉันว่าเขากลับตัวแล้วอย่างนั้นเหรอ?” โจวกุยหลายพูด

“ถ้ากลับตัวได้ก็ดีเหมือนกัน เขาจะได้มีชีวิตที่ดีเป็นของตัวเองไปเสียที และก็ไม่ต้องมาขอบคุณพวกเราด้วย” โจวเฉวี่ยนพูด

“พรุ่งนี้ฉันว่าจะทำเนื้อตากแห้งเยอะหน่อย คุณสั่งเนื้อหมูแล้วใช่ไหมคะ?” หลินชิงเหอไม่ต่อบทสนทนาเรื่องนี้อีก เธอหันมาถามโจวชิงไป๋

“สั่งแล้วครับ” โจวชิงไป๋พยักหน้าพูด

หลินชิงเหอพยักหน้า หลังกินข้าวเสร็จก็ขี่จักรยานออกมารับลม สำหรับเรื่องให้นมลูกสาวนั้นเธอให้ไปแล้ว จึงไม่เป็นห่วงอะไรนักในช่วงเวลาสั้น ๆ นี้ อีกอย่างก็ยังมีพ่อกับพี่ชายทั้งสองของหล่อนอยู่ด้วย

“ป๊า เย็นนี้ผมกับพี่รองกลับมาเร็ว ป๊าก็ไปลดน้ำหนักเถอะครับ ผมเห็นป๊าอ้วนจนกลายเป็นอะไรไปแล้วเนี่ย อีกนิดก็จะร้อยกิโลแล้วมั้งครับ” เจ้าสามพูด

โจวชิงไป๋ปรายหางตามองเขา โจวกุยหลายเผยยิ้มกว้าง หลังจากนั้นก็ไม่กล้าพูดมากอีก

“พวกเธอดูแลกิจการของตัวเองดี ๆ นะ” โจวชิงไป๋มองไปทางหู่จือและกังจือหลานนอกตระกูลทั้งสองคนแล้วพูดขึ้น

“ครับ” หู่จือกับกังจือพยักหน้า พวกเขาเข้าใจความหมายของคุณน้าดี

หลินชิงเหอที่ขี่จักรยานอยู่ก็แวะมาที่ร้านของตัวเองเช่นกัน และเดินเล่นอยู่รอบหนึ่ง

หลังจากนั้นจึงมาที่ร้านขายเครื่องดื่มและก็เห็นซื่อนีกับเวิงกั๋วต้งเข้าพอดี

“อาก็ว่าทำไมเธอไม่ไปกินข้าว” หลินชิงเหอยิ้มขณะพูด

โจวซื่อนีหน้าแดงมองไปทางเวิงกั๋วต้ง ซึ่งเขาพูดด้วยอาการสงบนิ่งอย่างมาก “น้าหลินครับ ผมเพิ่งจะพาซื่อนีออกไปกินข้าวกันมา”

หลินชิงเหอพยักหน้า “ดีแล้ว ปีหน้าวางแผนกันว่ายังไงล่ะ”

“คิดว่าจะแต่งครับ” เวิงกั๋วต้งพูด

โจวซื่อนีหน้าแดงทั้งหน้า “คุณอย่าพูดมากขนาดนี้สิคะ กลับไปบ้านเกิดฉันก่อนแล้วค่อยพูดอีกที”

เวิงกั๋วต้งไม่ได้พูดอะไร แต่จากท่าทางนั้นของเขาแล้วดูเหมือนว่าเขาจะเชื่อมั่นในการตัดสินใจของตัวเองยิ่ง

“ซื่อนีแต่งงานแล้วจะยังทำงานอยู่ไหมจ๊ะ” หลินชิงเหอถาม

“ต้องทำอยู่แล้วค่ะ ไม่ทำได้ที่ไหนกันคะ” โจวซื่อนีมองไปที่เวิงกั๋วต้งตรง ๆ แล้วพูดออกมา

หล่อนชอบงานนี้ อีกทั้งพอมีงานทำแล้วหล่อนก็รู้สึกสบายใจ เนื่องจากหล่อนแต่งได้กับคนที่มาจากครอบครัวดีถึงเพียงนี้ หากหล่อนไม่มีงานทำอีกจะทนไหวได้อย่างไร?

ถ้าให้หล่อนอยู่แต่ในบ้านทุกวัน หล่อนก็เป็นคนที่อยู่ไม่สุขเหมือนกัน

เวิงกั๋วต้งพูด “ยังไงก็ควรทำกับข้าวด้วย”

“ฉันทำให้คุณสามมื้อต่อวันเลยก็ยังได้ แต่ต้องให้ฉันทำงานนะ!” โจวซื่อนีพูด

เวิงกั๋วต้งพูด ‘อืม’ คำเดียว โจวซื่อนีถอนหายใจออกมาเบา ๆ หลังจากนั้นจู่ ๆ ก็เหมือนเพิ่งนึกอะไรขึ้นมาได้ หล่อนก็หน้าแดงก่ำไปทั้งหน้าแล้ว

พอชายตามองเห็นโจวซื่อนีเป็นแบบนั้น หลินชิงเหอก็หัวเราะออกมา “แบบนี้ดูเหมือนแม้แต่เรื่องหลังแต่งก็วางแผนไว้แล้วนะเนี่ย งั้นอาไม่ยุ่งกับพวกเธอแล้ว รอกั๋วต้งหยุดแล้วก็พาเขากลับไปเถอะจ้ะ”

เธอรู้ว่าพี่เวิงของเธอน่ะรีบร้อนเรื่องนี้ที่สุดแล้ว ว่าแล้วเธอก็ไม่รบกวนเวิงกั๋วต้งกับโจวซื่อนีอีก และเดินมาดูที่ร้านขายบุหรี่เสียหน่อย

หลังจากนั้นก็เดินมาดูโรงงานตัดเสื้อผ้าเล็ก ๆ

ก่อนหน้าที่จะทำโรงงานเล็ก ๆ แห่งนี้เป็นเพราะตอนนั้นหลินชิงเหอยังไม่มีหลักประกันให้กับโรงงานใหญ่ ๆ เหล่านั้น เธอจึงวางแผนว่าจะก่อตั้งโรงงานเสื้อผ้าเป็นของตัวเอง แต่ก็เป็นเพียงโรงงานเล็ก ๆ ที่ถึงแม้ว่าจะมีสองกะ แต่รายได้กลับต่ำมาก และเธอก็เสียไปกับเงินเดือนพนักงานตรงนั้นจนหมด

ดังนั้นหลินชิงเหอจึงวางแผนว่าหลังจากเสร็จงานในปีนี้เธอก็จะไม่เปิดโรงงานนี้ต่อแล้ว

โกดังนี้หลินชิงเหอวางแผนว่าจะใช้เก็บอาหารทะเลแห้งกับใบชา ซึ่งคงต้องซ่อมแซมใหม่เสียก่อนและแบ่งออกเป็นสองห้อง

อาหารทะเลแห้งนั้นมีกลิ่น ไม่เหมาะที่จะเอามาวางรวมกับใบชาที่เธอจะเปิดกิจการในปีหน้า

“ในปีนี้ทุกคนจะได้ทำงานถึงวันที่สิบเดือนสิบสองตามปฏิทินจีน จากนั้นก็หยุดงานได้ ถึงตอนนั้นฉันจะให้เงินครึ่งเดือนกับทุกคน เพราะนับจากนี้โรงงานเล็ก ๆ แห่งนี้จะไม่เปิดทำการแล้ว” เมื่อหลินชิงเหอมาถึง เธอก็ประกาศออกมาตรง ๆ

ในตอนแรกที่ทุกคนได้ยินประโยคก่อนหน้านั้นต่างยังรู้สึกดีใจมาก แต่พอรู้ว่าโรงงานจะไม่เปิดแล้ว ชั่ววินาทีแรกทุกคนก็รู้สึกรับไม่ได้ขึ้นมาเล็กน้อย

“อาจารย์หลินคะ ทำไมจู่ ๆ จะไม่เปิดแล้วล่ะคะ? พวกเราทุกคนทำงานเป็นอย่างดีมาโดยตลอดนะคะ” แม่เฒ่าสวีผู้เป็นยายของเฉินฉานฉานพูดรัวเร็ว

“ตอนนี้โรงงานใหญ่ ๆ เปิดตัวเยอะเกินไปแล้ว พวกเราที่เป็นโรงงานเล็ก ๆ สู้พวกเขาไม่ไหว ฉันจึงไม่คิดว่าจะเปิดต่อไปแล้วน่ะค่ะ แต่ว่าสองสามวันสุดท้าย ทุกคนต้องตั้งใจทำงานดี ๆ ทำงานตามหน้าที่ให้สำเร็จลุล่วง ถึงตอนนั้นฉันก็จะให้เงินเดือนทุกคนเพิ่มอีกครึ่งเดือน” หลินชิงเหอพูด

เธอจำเป็นต้องทำแบบนี้ เนื่องจากอายุของทุกคนนั้นไม่น้อยแล้ว อีกทั้ง 2-3 ปีมานี้ เงินเดือนที่เธอให้ก็ไม่น้อยเหมือนกัน แต่เป็นไปไม่ได้หรอกที่จะทำงานนี้ไปตลอดชีวิต

ได้ยินคำพูดของเธอแล้ว ทุกคนก็เข้าใจว่าเรื่องนี้น่าจะไม่สามารถเปลี่ยนแปลงอะไรได้ แต่ก็อดรู้สึกหดหู่ใจเล็กน้อยไม่ได้เช่นกัน

คุณยายบางคนถึงกับถามขึ้น “อาจารย์หลิน ถ้าไม่ทำต่อแล้วจักรเย็บผ้าเหล่านี้จะจัดการยังไงคะ?”

“จักรเย็บผ้าฉันขายเครื่องละ 50 หยวน หากใครต้องการก็สามารถซื้อไปได้เลยค่ะ” หลินชิงเหอพูด

ก่อนหน้านี้เธอไปซื้อจักรเย็บผ้าทางภาคใต้ ต่อมาก็เพิ่มมาอีกจำนวนหนึ่ง จนมีจำนวนทั้งหมดประมาณ 20 ตัว

แต่ตอนที่ซื้อมาก็ใช่ว่าจะถูก อย่างในตอนนี้ถ้าหาแหล่งซื้อในราคาเครื่องละ 50 หยวนได้ก็ถือว่าโชคดีแล้ว

ดังนั้นจึงมีคนไม่น้อยที่ดวงตาลุกวาว เพราะว่าการทำงานนี้จักรเย็บผ้าสำคัญพอ ๆ กับเครื่องครัวทำอาหารเลยทีเดียว

เนื่องจากยังมีอีกหนึ่งกะ หลินชิงเหอจึงคิดจะใช้วิธีจับฉลากเอา แต่ต้องรอให้ถึงวันที่สิบตามปฏิทินเสียก่อน

……………………………………………………………………………………………………………………………

สารจากผู้แปล

อันนี้เรื่องจริงค่ะ เงินทองนี่ไม่เข้าใครออกใคร ต่อให้สนิทกันแค่ไหนก็ต้องแยกกระเป๋าตังค์กันจริง ๆ

ใจหายแทนบรรดาแม่เฒ่าเหล่านั้นเหมือนกันค่ะที่โรงงานที่เคยใช้ชีวิตอยู่จะไม่เปิดแล้ว รู้สึกถึงความไม่เที่ยงจริง ๆ ค่ะ

ไหหม่า(海馬)