ตำหนักอมตะเผยสีสำริดเก่าแก่ โอ่อ่าสง่างาม มีกลิ่นอายอริยมรรคสูงส่งห้อมล้อม ชวนประหวั่นไร้ขอบเขต
มันเหมือนตื่นจากความเงียบ พลังอำนาจที่ระเบิดออกมาขณะนี้แข็งแกร่งยิ่งกว่าตอนอยู่ในมืออวี่หลิงคง
ทำให้ผู้คนแค่มองจากที่ห่างไกลก็รู้สึกสิ้นหวัง ไม่อาจมีความคิดต้านทานแต่แรก
อันที่จริงตอนนี้หลินสวินไม่อาจขยับเขยื้อน หนึ่งได้รับบาดเจ็บสาหัสจากการโจมตีเมื่อครู่ สองเพราะตำหนักอมตะนี้น่ากลัวเกินไป
แค่เพียงกลิ่นอายที่แผ่กระจายก็พันธนาการหลินสวินอยู่ตรงนั้น บีบกดจนจิตวิญญาณเขาแทบพังทลาย
ต้องรู้ว่าปัจจุบันหลินสวินมีพลังจิตวิญญาณระดับดอกเทพรวมยอด!
แต่กลับถูกสะเทือนและกำราบโดยสิ้นเชิง ไร้แรงขัดขืน แค่คิดก็รู้ว่าพลานุภาพของตำหนักอมตะไร้ขีดจำกัดระดับใด
นี่ก็คืออานุภาพแห่งสมบัติอริยะที่แท้จริง!
และเป็นครั้งแรกที่หลินสวินเผชิญภัยคุกคามของสมบัติวิเศษเช่นนี้นับตั้งแต่ฝึกปราณมาจวบจนปัจจุบัน ทำให้เขารู้ซึ้งว่าอะไรที่เรียกว่าหมดหนทางและไร้เรี่ยวแรง
สิ่งเดียวที่หลินสวินทำได้ตอนนี้คือโคจรเจดีย์สมบัติไร้อักษรเต็มกำลัง หวังว่ามันจะช่วยคลี่คลายภาวะคับขันตรงหน้า
แต่หลินสวินก็รู้ว่าความหวังช่างริบหรี่ ภายใต้ความประมาท เขาถูกตำหนักอมตะนั่นฉวยโอกาสจนตกอยู่ในสถานการณ์ที่เป็นฝ่ายถูกกระทำ
ในช่วงคับขันเข้าขั้นวิกฤติหาใดเปรียบนี้ กลางฟ้าดินพลันมีเสียงเย็นชาหนึ่ง…
“แดนสืบทอดศุภโชค ห้ามสิ่งภายนอกรบกวน ถอยไป!”
พร้อมๆ กับเสียงที่ดังขึ้น ระฆังสำริดซึ่งอยู่บนโต๊ะกลางแท่นมรรคพลันส่งเสียงระฆังกึกก้อง
กึง!
ราวกับเสียงจักรวาลแรกกำเนิด ฟ้าดินกระเพื่อมไหว อานุภาพยิ่งใหญ่ชวนประหวั่นไร้ขอบเขตแผ่ขยาย พุ่งซัดไปทางตำหนักอมตะ
ผู้แข็งแกร่งทั้งหมดต่างแข็งทื่อไปทั้งตัวราวสายฟ้าฟาด จิตวิญญาณเลือนราง ซวนเซไปมาดั่งเมาสุรา โงนเงนแทบล้มพับ
ตำหนักอมตะพลันสั่นสะเทือน ระเบิดแสงมรรคไร้ขีดจำกัดดังตูม พลังกฎเกณฑ์อริยมรรคพรั่งพรูดั่งกระแสน้ำตก ซัดกระหน่ำน่าหวาดกลัวถึงขีดสุด
แต่เสียงระฆังนั่นกลับราวไร้สรรพสิ่งมาทำลาย แผ่ขยายข่มอานุภาพตำหนักอมตะอยู่หมัด!
ยากจะเชื่อเกินไปแล้ว
ใครเล่าจะคาดคิด ระฆังสำริดที่พวกเขามองเป็นศุภโชคอันดับหนึ่ง กำลังสำแดงแสนยานุภาพกำราบและขับไล่ตำหนักอมตะในเวลานี้?
นี่ต่างหากจึงจะเป็นการประลองของสมบัติอริยะที่แท้จริง!
ซ่า…
รอบตำหนักอมตะปรากฏภาพรอยสลักลายมรรคสุดหยั่ง มีภาพน่าตระหนกของการเซ่นไหว้บรรพชน ภาพกาลเวลาที่เคลื่อนคล้อย ภาพเทพมารนองเลือด
อานุภาพมันชวนประหวั่นยิ่งกว่าเดิม ประหนึ่งอริยะก็ไม่ปาน ซัดกฎเกณฑ์อริยมรรคนับหมื่นพันออกไป ต่อกรกับเสียงระฆังที่แผ่กระจายราวเกลียวคลื่นนั่น!
ทุกคนขนพองสยองเกล้า ความกล้ากระเจิดกระเจิง พลังที่แผ่ออกมาในการประลองนี้สูงส่งและแข็งแกร่งเกินไป นอกเหนือขอบเขตที่พวกเขาสามารถเข้าใจ ประดุจศึกอริยะที่แท้จริง!
“เสียงระฆังคือสรรพชีวิต อริยมรรคเกิดจากสรรพสิ่ง ต่อต้านเท่ากับทรยศ!” น้ำเสียงราบเรียบนั่นดังก้องกลางฟ้าดินอีกครั้ง
ตึง!
เสียงระฆังแผ่ไพศาล อานุภาพเพิ่มขึ้นอีกมาก ดุจพลังหลอมรวมสรรพสิ่ง ทำให้ฟ้าดินเปลี่ยนสี
ตำหนักอมตะลายมรรคคลุมเครือไหลหลั่ง กลิ่นอายอริยเทพแผ่ลอย แต่สุดท้ายมันคล้ายรู้ว่าศึกนี้ไร้หนทาง จึงละทิ้งการคุมเชิง
วู้ม…
ทั่วร่างมันแสงสว่างห้อมล้อม แสงศักดิ์สิทธิ์เพริศพรายสายหนึ่งพรั่งพรูออกมา เก็บศพและเลือดเนื้อไร้วิญญาณที่อวี่หลิงคงหลงเหลือไว้ จากนั้นจึงฉีกแหวกอากาศจากไป
แต่ต้นจนจบไม่อาจถูกขัดขวาง!
ขณะเดียวกัน เสียงระฆังกังวานนั่นก็เงียบสงัด
หากไม่ใช่ว่าศพอวี่หลิงคงหายไป ทุกคนคงสงสัยว่าทุกอย่างที่เกิดขึ้นเมื่อครู่คือความฝันฉากหนึ่ง เหมือนไม่ได้เกิดขึ้นจริง
การประลองสมบัติอริยะ?
พวกเขาเพิ่งเคยเจอเป็นครั้งแรก อานุภาพเหนือธรรมดาก้าวสู่อริยะนั่นน่าหวาดกลัวยิ่ง พาให้คนรู้สึกตัวเล็กจ้อยและไร้ทางช่วยเป็นพิเศษ!
หลินสวินซึ่งรอดจากความตายตกใจจนเหงื่อแตกไปทั้งตัว
เขาเพิ่งรับรู้ถึงความหมายของคำว่า ‘สมบัติอริยะกายสิทธิ์’ ก็คราวนี้ สมบัติชิ้นหนึ่ง เมื่อมีพลังกฎเกณฑ์อริยมรรคจะเปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง เสมือนมีวิญญาณ อานุภาพดั่งว่างเปล่า ยิ่งใหญ่เกินคาดเดา!
หลินสวินถึงขั้นสงสัยว่าอวี่หลิงคงตายไปแล้วจริงหรือไม่
บนโต๊ะ ระฆังสำริดสูงครึ่งฉื่อเงียบสนิทไร้สุ้มเสียง ไหลเวียนแสงสีเขียว เสียงราบเรียบกลางฟ้าดินนั่นเงียบสนิทไม่ปรากฏขึ้นอีก
ทั้งหมดทั้งมวลเกิดขึ้นเพียงชั่วประกายไฟ รวดเร็วอย่างที่สุด เมื่อทุกคนฟื้นคืนสติ ในบริเวณนั้นก็เหลือเพียงหลินสวินที่บาดเจ็บสาหัส
และเวลานี้เอง เหล่าผู้แข็งแกร่งที่จับจ้องทุกอย่างนานแล้วก็ตอบสนอง คนส่วนหนึ่งออกลงมือ พุ่งสังหารมาทางหลินสวิน!
“พวกเจ้า…!” ไป๋หลิงซีโมโห พุ่งทะยานไปปกป้องหลินสวินโดยไม่ลังเล
พวกมู่เจี้ยนถิง หลี่ชิงฮวน ซางเจี่ยต่างลงมือ หมายฉวยโอกาสนี้สังหารให้สิ้น กำจัดคู่ต่อสู้ที่น่ากลัวอย่างหลินสวิน
เพราะพวกเขาล้วนดูออก หลินสวินในตอนนี้อ่อนแอหาใดเปรียบ ซ้ำได้รับบาดเจ็บสาหัส นี่เป็นบาดแผลจากการโจมตีของสมบัติอริยะตำหนักอมตะ แน่นอนว่าไม่มีทางเท็จเทียม
นี่กลายเป็นโอกาสทองในการสังหารหลินสวินโดยไม่ต้องสงสัย!
ฟุ่บ!
มู่เจี้ยนถิงแทบจะมาถึงเป็นคนแรก เขาแค้นหลินสวินอยู่ก่อนแล้ว เมื่อสบโอกาสมีหรือจะเกรงใจ กระบี่เล่มหนึ่งฟันสังหารลงมา
“ต่ำช้า!” ไป๋หลิงซีเดือดดาล ดวงหน้างามประณีตผุดผ่องเปี่ยมโทสะ นางติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิดมาตลอด แน่นอนว่าไม่อาจทนเห็นหลินสวินถูกคนอื่นฆ่า
ฟุ่บ!
เงาร่างนางพลิ้วไหว ทั่วร่างเผยแสงกระจ่างดุจภาพฝัน เรียกกระบี่มรรคของตนลงมือเต็มกำลัง
ที่แห่งนี้เกิดเสียงสะเทือน เจตกระบี่ตัดสลับไปมา ไป๋หลิงซีโรมรันกับมู่เจี้ยนถิง ระเบิดแสงเจิดจรัสลานตา
ความเงียบเหนือยอดแท่นมรรคถูกทำลายลงด้วยประการฉะนี้!
ฟึ่บ!
ทวนสุวรรณเล่มหนึ่งวาดกวาด เฉียบคมไร้เทียมทาน ไอสังหารแหวกเมฆา ทะลวงผ่านห้วงอากาศเล็งหัวใจหลินสวินโดยตรง
ซางเจี่ยลงมือแล้ว ตอนที่ปีนแท่นมรรคเขาก็เคยลอบโจมตีหลินสวิน หมายออกหน้าแทนชิงเหลียนเอ๋อร์ นำชีวิตหลินสวินเป็นสินสอดไปสู่ขอชิงเหลียนเอ๋อร์
และบัดนี้เขาฉวยโอกาสออกจู่โจม แน่นอนว่าต้องอำมหิตไม่เป็นสองรองใคร
หลินสวินจำต้องถอย อาการบาดเจ็บของเขาปิดบังใครไม่ได้แต่แรก ไม่ใช่แค่สาหัสธรรมดา พลังอริยมรรคของตำหนักอมตะน่ากลัวเกินไป หากไม่ได้เจดีย์สมบัติไร้อักษรช่วยสลายการโจมตีไปกว่าครึ่ง เขาคงถูกฆ่าตายตรงนั้นนานแล้ว
ฟุ่บ!
อีกฟากหนึ่งหลี่ชิงฮวนเองก็พุ่งสังหารเข้ามา เล่นแง่รอบจัด ใช้ดาบแสงเจิดจรัสบุกจู่โจม เสียบจ้วงรวดเร็ว
คนพวกนี้บ้างหมายชีวิตหลินสวิน บ้างจับจ้องแย่งชิงเจดีย์สมบัติในมือหลินสวิน เป้าหมายแม้แตกต่าง แต่กลับออกจู่โจมพร้อมกันโดยไม่ได้นัดหมาย
อันที่จริงไม่เพียงแต่คนเหล่านี้ ผู้แข็งแกร่งคนอื่นส่วนหนึ่งก็เช่นกัน เจดีย์สมบัติไร้อักษรสามารถคุมเชิงกับตำหนักอมตะได้ แน่นอนว่าเป็นสมบัติอริยะโดยไม่ต้องสงสัย
ต่อหน้าโอกาสซึ่งหาได้ยากเช่นนี้ ใครเล่าจะสามารถทานทน
หากรอหลินสวินฟื้นตัว เช่นนั้นคงยากรับมือนัก แม้แต่อวี่หลิงคงยังถูกเขาสังหาร ใครยังจะสามารถต้านทานได้
พลังต่อสู้ไป๋หลิงซีไม่ธรรมดา เรียกได้ว่าล้ำเลิศ แต่เมื่อเจอการโจมตีของบุคคลแห่งยุคกลุ่มหนึ่ง นางพลันด้อยกว่าชัดเจน ใกล้ตกสู่สถานการณ์อันตราย
ส่วนพวกจี้ซิงเหยาและลั่วเจียไม่เข้าร่วม พวกนางกำลังชิงศุภโชคอันดับหนึ่งบนโต๊ะ เหล่าผู้กล้าต่างไปสังหารหลินสวิน กลับเป็นการมอบโอกาสอันดีแก่พวกนางทางอ้อม
สรุปคือสถานการณ์ในที่นั้นโกลาหล และหลินสวินตกเป็นเป้าโจมตี สถานการณ์ล่อแหลมอันตรายยิ่งกว่าเมื่อครู่ด้วยซ้ำ!
หากไม่ได้เจดีย์สมบัติไร้อักษรคอยป้องกัน คงยากยืนหยัดประคับประคอง!
พรูด!
ไม่นานนักไป๋หลิงซีก็กระอักเลือดได้รับบาดเจ็บ
นัยน์ตาดำหลินสวินเย็นชา จ้องมองคนเหล่านี้ ในใจโกรธแค้นถึงขีดสุด เจ้าพวกนี้ยังหวังจะได้ของดีติดมือไปโดยไม่ต้องเสียอะไรตอบแทนมากมาย ฉวยโอกาสคร่าชีวิตเขา นี่ทำให้หลินสวินไม่อาจอดกลั้น
แต่หลินสวินกลับจำต้องยอมรับความจริงเรื่องหนึ่ง อาการบาดเจ็บของเขาร้ายแรงเกินไป หากเป็นอย่างนี้ต่อไป แม้ไม่ถูกฆ่าตายก็คงสิ้นแรงตาย
‘เสือพลัดถิ่นก็ถูกสุนัขรังแก…’ หลินสวินทอดถอนใจ แต่ไม่ได้ยอมแพ้ เขานึกถึงโสมขาวกายสิทธิ์นั่น!
เมื่อรู้ว่าหลินสวินจะยืมฤทธิ์ยาบางส่วนของตนรักษาแผล เจ้าอันธพาลเฒ่าพลันกระทืบเท้า ปฏิเสธอย่างไม่เกรงใจแม้แต่น้อย “ไม่มีทาง! อย่าแม้แต่จะคิด ข้าลำบากลำบนทุ่มเทเวลาเนิ่นนานกว่าจะตื่นรู้มีปัญญาเสี้ยวหนึ่ง มีหรือจะให้ไอ้ลูกเต่าอย่างเจ้าได้ประโยชน์!”
หลินสวินไม่มีอารมณ์ล้อเล่นแม้แต่น้อย เวลานี้แม้แต่ลูกกลอนวิญญาณยาอัศจรรย์ล้ำค่าก็ยากฟื้นฟูอาการบาดเจ็บของเขา ที่น่าเสียดายคือ ‘อมฤตแกนสุวรรณ’ ที่ได้มาจากรังราชันอสูรเนตรทองนอเดียวนั่น ใช้หมดไปตอนทะลวงระดับกระบวนแปรจุติแล้ว
ไม่เช่นนั้นคงไม่ต้องมาเถียงกับเจ้าอันธพาลเฒ่านี่ สาเหตุที่เจรจากับอีกฝ่ายเพราะไม่อยากทำลายโอสถเก่าแก่นี้เท่านั้น
“ข้าไม่รอด เจ้าก็อย่าหวังจะรอด!” หลินสวินตัดสินใจทันทีว่าจะกินไอ้แก่นี่ทั้งต้น!
“เจ้าจะทำอะไร” อันธพาลเฒ่าตกใจตะโกนลั่น “ได้ๆๆ เจ้าอย่าลงมือ ข้ายอมเจ้าแล้วพอใจหรือยัง” เขาพูดพลางทำหน้าปวดใจ ใบหน้าชราบิดเบี้ยวขมวดมุ่น
สุดท้ายเขาเด็ดรากเสี้ยวหนึ่งและใบเขียวขจีสดใหม่ของตนใบหนึ่ง โยนออกไปพลางก่นด่า “หากภายหน้าข้ากลายเป็นรากอริยะโอสถไม่ได้ ไอ้เด็กเวรอย่างเจ้าต้องรับผิดชอบ!”
“หลินสวิน เจ้าบาดเจ็บหรือ” แต่ขณะเดียวกัน เสียงใสเสนาะหูดังขึ้นจากเจดีย์สมบัติไร้อักษร
ในใจหลินสวินพลันสั่นสะท้าน
หินหยกแปลกประหลาดขนาดใหญ่ก้อนหนึ่งที่ถูกวางอย่างระวังในชั้นหนึ่งของเจดีย์สมบัติ ยามนี้เริ่มเกิดเสียงครวญคร่ำ จากนั้นก็ระเบิดแตกภายใต้เสียงเปรี๊ยะๆ
ร่างงามอรชรหนึ่งหยัดยืนขึ้นจากภายใน ประดุจภาพฝันลวงตา ทั่วร่างหมอกแสงสีดำราวรัตติกาลนิรันดร์ไหลวน
นางสวมเสื้อคลุมดำหลวมๆ หมวกคลุมบดบังใบหน้ากว่าครึ่ง เผยเพียงริมฝีปากที่ค่อนข้างซีดขาว และคางขาวกระจ่างเรียบเนียนส่วนหนึ่ง
ต่อให้เป็นเช่นนั้นก็ยังเผยความงามที่พาให้คนตกตะลึงใจสั่น ริมฝีปากอวบอิ่มเม้มน้อยๆ จมูกโด่งเป็นสัน ผิวพรรณไร้ตำหนิขาวกระจ่างราวหยกมันแพะ เนียนนุ่มละเอียดลออ ถูกหมวกคลุมสีดำปกปิด ดูลึกลับชวนตะลึง ทำให้ทุกอย่างต่างสลัวเลือนราง
ซย่าจื้อ!
ในที่สุดนางก็ตื่นจากการจุติ แต่เทียบกับเมื่อก่อนเห็นชัดว่านางสูงขึ้นไม่น้อย เงาร่างสูงเพรียวหยัดตรง ชุดคลุมสีดำไม่อาจคลุมข้อเท้า เผยเท้าหยกแบบบางน่ารักดุจแกะสลักจากหยกขาว เรืองประกายแวววาว
หากกล่าวว่าซย่าจื้อในอดีตคือเด็กหญิงตัวน้อยที่งามบริสุทธิ์สมบูรณ์คนหนึ่ง เช่นนั้นนางในตอนนี้ก็เติบโตขึ้นจนสะโอดสะอง เปลี่ยนเป็นเด็กสาวงามระหงที่เปี่ยมเสน่ห์งดงาม
“ดูเหมือนทุกครั้งที่เจอเจ้า เจ้าล้วนทุลักทุเลทั้งสิ้น มีคนรังแกเจ้าอีกแล้วใช่หรือไม่” น้ำเสียงกระจ่างเปี่ยมเสน่ห์ราบเรียบเสนาะหู ประดุจเสียงจากธรรมชาติ
ขณะกล่าวซย่าจื้อเอื้อมพลิกเปิดหมวกคลุม ในมือมีทวนม่วงเล่มหนึ่งและร่มดำคันหนึ่งเพิ่มเข้ามา
“ข้าช่วยเจ้าเอง”
เหมือนปีนั้นที่หมู่บ้านเฟยอวิ๋น นางก็เคยกล่าวเช่นนี้ นัยน์ตาใสดั่งมณีนิลคู่หนึ่งเปี่ยมความจริงจัง
แต่วาจานางกลับเป็นไปตามธรรมชาติ เหมือนกับปีนั้นทุกประการไม่เคยเปลี่ยนไปเพียงนิด
………………