อาจารย์นักเรียนสำนักฝึกหลวงส่งเฉินฉางเซิงเดินไปสู่ประตูด้วยสีหน้าแววตาซับซ้อนอย่างมาก อารมณ์เต็มไปด้วยความเศร้า
ศิษย์หญิงจากสถานศึกษาหนานซีรอเขาอยู่ที่ประตู
เฉินฉางเซิงแสดงท่าทางบอกหญิงเหล่านั้นว่าไม่จำเป็นต้องตามเขา ก่อนเดินออกไป
“นี่เป็นคำสั่งของเจ้าสำนัก” เยี่ยเสี่ยวเหลียนตะโกนอย่างโมโหไล่หลังเขา
เฉินฉางเซิงรู้ว่ายากจะเกลี้ยกล่อมเด็กสาวเหล่านี้จึงกล่าวกับนักบวชซินที่มารับเขานอกสำนัก “เชิญ”
นักบวชซินถอนหายใจ โบกมือออกคำสั่งให้นักบวชจากสำนักการศึกษากลางและทหารม้านิกายหลวงก้าวออกมาและล้อมสำนักฝึกหลวงเอาไว้ ย่อมเป็นการกันศิษย์สถานศึกษาหนานซีเอาไว้ข้างในเช่นกัน
เฉินฉางเซิงหันกลับไปมองสำนักฝึกหลวงและกล่าวลาเงียบๆ
สามปีครึ่งผ่านมาแล้วนับจากวันในฤดูใบไม้ผลิตอนนั้น
เขาไม่รู้ว่าเมื่อไหร่จะได้พบกันอีก ไม้เลื้อยและผู้คนในสำนักฝึกหลวง
เขาเขียนจดหมายสี่ฉบับ ส่งให้กับซูม่ออวี๋ เช่นที่ซูหลีเคยทำ เห็นได้ชัดว่าได้บอกทุกอย่างที่เขาต้องการจะบอก
ความเย็นออกมาจากบ่อน้ำสะพานอุดรใหม่ก็เย็นมากขึ้นเรื่อยๆ อีกแค่สองปีก็เพียงพอที่มังกรดำน้อยจะหนีออกมาได้
เขาไม่มีหนี้อีกแล้วในโลกใบนี้ ไม่มีภาระต้องแบกรับ ดังนั้นจึงสามารถไปต่อได้อย่างอิสระ
เมื่อเขามองหลังเฉินฉางเซิงหายไปในตรอกไป๋ฮวา นักบวชซินก็อยู่ในอารมณ์ที่ซับซ้อน
ใช้เวลาไม่นานข่าวที่เฉินฉางเซิงออกจากสำนักฝึกหลวงก็แพร่กระจายไปทั่วจิงตู
ในช่วงปลายฤดูใบไม้ร่วง โจวทงไม่ได้อยู่ที่วังหลวงบ่อยนัก แต่อยู่ที่อาคารกรมอาญาที่บูรณะขึ้นใหม่คอยกำกับดูแลเรื่องต่างๆ
เมื่อข่าวนี้ไปถึงตรอกกองทัพเหนือซือเจิ้ง เขาก็กำลังนั่งดื่มชาอยู่บนเก้าอี้ใหญ่ที่คนงานทุ่มเทอย่างหนักเพื่อให้ดูเก่า
ชาที่ดื่มยังคงเป็นต้าหงเผาที่แพงที่สุด เครื่องแต่งกายก็ยังเป็นชุดคลุมสีแดงเลือดที่เหมือนจะส่งกลิ่นคาวเลือดออกมา
ใบหน้าขาวซีดอย่างมาก ดวงตาไม่แยแสดูเหมือนจะไร้ซึ่งอารมณ์ของมนุษย์ เขาดูเหมือนกับผีร้ายมากกว่า
“เตรียมตัวต้อนรับแขกกิตติมศักดิ์”
เขาวางถ้วยชาบนโต๊ะและสั่งผู้ใต้บังคับบัญชาในลานบ้านอย่างใจเย็น
เจ้าหน้าที่ได้รับคำสั่งและเริ่มเร่งมือทำงาน บรรยากาศทั้งภายในภายนอกคุกโจวกลายเป็นเข้มงวดกดดันขึ้นมา
บนถนนห่างออกไป ชายคนหนึ่งแผ่กลิ่นอายเย็นชาหม่นหมองดุจโลหะ ตามองขึ้นไปบนท้องฟ้าเมื่อได้ยินข่าวนี้
ท้องฟ้ามืดครึ้มลงเรื่อยๆ ไม่ใช่เพราะเวลาผ่านไป แต่เพราะเมฆก่อตัวหนาขึ้นเรื่อยๆ ไม่เหลือบรรยากาศกระฉับกระเฉงของฤดูใบไม้ร่วง เสมือนหนึ่งว่าว่าหิมะกำลังจะตก
ไม่นานหลังจากนั้น ข่าวล่าสุดก็ถูกส่งมายังตรอกกองทัพเหนือซือเจิ้ง เฉินฉางเซิงเข้าสู่พระราชวังหลีแล้ว
ในลานบ้านเล็กๆ ผู้ใต้บังคับบัญชาที่ภักดีและแข็งแกร่งที่สุดหันไปทางเก้าอี้นั้น พลางคิดในใจ หรือว่าใต้เท้าจะคิดมากเกินไป
ราชสำนักได้จัดวางกำลังไว้มากมาย หรือคนอย่างเฉินฉางเซิงจะยังกล้าบุกมาคุกโจวอีก
“ไปพระราชวังหลีไม่ได้หมายความว่าเขาจะไม่ไปที่อื่นอีกในวันนี้”
โจวทงมองไปที่กาน้ำชาดินเผาสีแดงในมือ ราวกับว่าเป็นสิ่งที่ตายแล้วและกล่าวอย่างเรียบเฉย “รอให้เขาโผล่ออกมา”
……
……
สี่ฤดูไม่ได้ดำรงอยู่ในส่วนลึกสุดของพระราชวังหลี จึงเป็นธรรมดาที่ไม่มีความเย็นของฤดูหนาว ไม่มีสัญญาณของหิมะที่กำลังจะตกบนผืนฟ้าที่เหนือช่องเปิดของหลังคา
เฉกเช่นใบไม้ครามที่เปี่ยมไปด้วยชีวิต สีเขียวอ่อนโยน ใบไม้เอนลงไปตามหยดน้ำที่ตกลง แสดงกิ่งที่งดงามออกมา
ไม่มีสัญญาณของการเจ็บป่วยบนใบหน้าสังฆราช แต่รอยย่นนั้นลึกกว่าเดิมจำนวนก็เพิ่มขึ้น ดูแก่กว่าเดิมมาก
ดังเช่นเหมยลี่ซาเคยเป็นในวันฤดูใบไม้ร่วงก่อนที่จะตาย ผู้บำเพ็ญเพียรสูงอายุจะแสดงความแก่ชราออกมาในเวลาสั้นๆ
เห็นใบหน้าสังฆราชแล้ว เฉินฉางเซิงรู้สึกเศร้าเสียใจ มันคือความไม่ยุติธรรมของทั้งโลกใบนี้และสวรรค์เบื้องบน
สังฆราชอายุน้อยกว่าซางสิงโจวตั้งสองปี
เขารู้ดีว่าหากอาจารย์อาไม่ได้พบความขัดแย้งระหว่างความต้องการส่วนตัวกับสถานการณ์ของโลกมากนัก และไม่อาจควบคุมความสงบในเส้นทางแห่งจิตเอาไว้ได้ ก็คงไม่แก่เร็วเช่นนี้
ดูจากสีหน้า สังฆราชรู้ว่าเขากำลังคิดอะไรจึงยิ้มถาม “เจ้ากำลังคิดว่าคนดีอายุไม่ยืนใช่หรือไม่”
เฉินฉางเซิงพยักหน้าเงียบๆ
“แต่ข้าไม่ใช่คนดีสักหน่อย แน่ทีเดียว ต่อให้ประโยคนั้นเป็นจริง ก็ไม่มีเหตุผลให้เราต้องเป็นคนเลว”
เฉินฉางเซิงรู้สึกดีขึ้นเพราะคำพูดนี้ ดวงตาเบิกกว้างขึ้นตอบรับอย่างจริงจัง “ขอรับ”
สังฆราชเช็ดหยดน้ำออกจากใบไม้คราม รับผ้าขนหนูที่เฉินฉางเซิงยื่นให้มาเช็ดมือ ทำท่าบอกให้เฉินฉางเซิงนั่งลง “อาจารย์ของเจ้าเงียบมากช่วงหลายวันมานี้ เจ้าไม่คิดว่าแปลกหรือ”
ทั้งการปฏิเสธราชโองการของสำนักฝึกหลวงและการเข้าสู่จิงตูของหวังผ้อล้วนเป็นเรื่องใหญ่สำหรับผู้ปกครองใหม่ แต่ซางสิงโจวกลับไม่แสดงความเห็นในเรื่องนี้ ไม่แม้แต่พูดอะไรระหว่างงานฉลองการบรรจบกันของเหนือใต้
เฉินฉางเซิงเข้าใจดีว่านี่ไม่สอดคล้องกับนิสัยของอาจารย์ แต่เขาก็ไม่สนใจอย่างแท้จริง
“หลายวันมานี้เขาทุ่มเทความพยายามทำให้ราชสำนักได้ควบคุมหอความลับสวรรค์” สังฆราชกล่าวต่อ “ดูเหมือนว่าตอนนี้เขาเกือบจะสำเร็จแล้ว”
ไม่ว่าเฉินฉางเซิงจะสนใจเรื่องนี้น้อยเพียงไร ก็ยังอดตกใจกับคำพูดนี้ไม่ได้
หอความลับสวรรค์ไม่ใช่องค์กรทั่วไป มีพลังอำนาจและทรัพยากรมากมายเหนือจินตนาการ ตอนที่จักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์เทียนไห่ปกครอง หอความลับสวรรค์นับว่าเป็นเสาหลักของราชสำนักต้าโจว ตอนนี้ทั้งจักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์กับผู้เฒ่าความลับสวรรค์ล้วนตายไปแล้ว หากซางสิงโจวสามารถทำให้หอความลับสวรรค์อยู่ใต้การควบคุมของราชสำนักได้ ก็ย่อมเป็นผลงานอันโดดเด่นอย่างแท้จริง
ความสำคัญของเรื่องนี้ไม่อาจมองข้ามได้
การกบฏในเมืองเสวี่ยเหล่าได้สังหารศัตรูที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของมนุษยชาติในรอบพันปี ลดอันตรายจากการที่เผ่ามารจะบุกลงใต้ไปได้ชั่วคราว จากนั้นเขาก็รับช่วงการเจรจาต่อจากเทียนไห่เพื่อผลักดันการบรรจบกันของเหนือใต้อย่างระมัดระวังและรอบคอบจนกระทั่งทั้งสองฝ่ายลงนามในที่สุด หากซางสิงโจวสามารถจัดการหอความลับสวรรค์ได้…
ต่อให้เขาเก็บตัวอ่านหนังสืออยู่ในห้องเล็กๆ ในวังหลวง ไม่พบเจอผู้คนมากนัก เขาก็ยังเป็นเสมือนเทพเจ้าในสายตาของผู้คน
“สำหรับศิษย์พี่ นี่ไม่ใช่ความสมบูรณ์แบบเลย”
สังฆราชมองไปที่เฉินฉางเซิงและกล่าว “เจ้ารู้ว่าเขาต้องการจะทำอะไรตั้งแต่แรกแล้ว”
เฉินฉางเซิงรู้
สำหรับซางสิงโจวสถานการณ์ที่ดีที่สุดไม่ใช่อื่นใด นอกจากเขาได้ควบคุมอำนาจของนิกายหลวงอีกครั้งหลังจากการตายของสังฆราช
อย่างไรก็ตาม แม้ว่าเขาจะเป็นสมาชิกผู้สือบทอดนิกายหลวงที่ถูกต้อง ทว่ามีเรื่องเกิดขึ้นมากมายในอดีตและยังเป็นศิษย์พี่ของสังฆราชอีกด้วย ดังนั้นจากทุกแง่มุมจึงเป็นไปไม่ได้ที่เขาจะสืบทอดตำแหน่งสังฆราช
ดึงนั้นหลังจากคืนนั้นในสุสานเทียนซู สิ่งแรกที่เขาทำก็คือผลักดันมู่จิ่วซือออกมา พยายามแทนที่เฉินฉางเซิง ทว่าเขาทำไม่สำเร็จ
เป็นเพราะเขาล้มเหลวในการยึดนิกายหลวงอย่างราบรื่น เขาจึงได้ทุ่มเทเพื่อให้แน่ใจว่าหอความลับสวรรค์จะตกอยู่ในมือเขา
สังฆราชพลันกล่าวขึ้น “ตำแหน่งคือความสัมพันธ์ ความสัมพันธ์คือสิ่งสำคัญ”
เฉินฉางเซิงนึกถึงวลี ‘ตำแหน่งคือความสัมพันธ์’ ที่เขียนไว้บนหน้าแรกในบันทึกของหวังจื่อเช่อ
“เพื่อสร้างความสมดุลระหว่างตำแหน่งและความสำคัญ จึงต้องป้องกันทั้งโลกไม่ให้โคจรไปตามความปรารถนาของคนเช่นพวกเรา นี่คือสิ่งที่ข้าต้องการทำตลอดหลายปีที่ผ่านมา”
สังฆราชมองดวงตาเขาและกล่าว “มีแต่ทางนี้เท่านั้น คนธรรมดาบนโลกนี้จึงจะสามารถมีชีวิตที่มั่นคงกว่านี้ได้บ้างสักเล็กน้อย”
เฉินฉางเซิงเข้าใจ
ช่วงปลายรัชสมัยจักรพรรดิเซียน สังฆราชได้สนับสนุนจักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์เทียนไห่ ในครั้งนี้ เขาสนับสนุนอาจารย์และราชสกุลเฉิน ตอนนี้อาจารย์กับราชสำนักอยู่ในจุดสูงสุดของอำนาจ นิกายหลวงต้องการที่จะเดินสวนทาง ยิ่งไกลยิ่งดี
นี่เกี่ยวโยงไปถึงความรู้สึกและเต๋าของเขา แต่ก็เรียกได้ว่าไร้ซึ่งความสัมพันธ์ นี่เป็นการทำคุณเมตตาต่อคนนับล้านบนโลกนี้ แต่ในบางแง่มุมมันดูฝืดและหยาบกระด้าง
เขายังเข้าใจอีกด้วยว่าทำไมอาจารย์อาถึงได้บอกเรื่องพวกนี้กับเขา
นี่คือคำสอน สิ่งสืบทอด คำแนะนำที่สังฆราชส่งต่อให้ผู้สืบทอด
“เข้าใจไม่ได้หมายความว่าข้าจะทำได้”
เฉินฉางเซิงคิดถึงพายุเหนือสุสานเทียนซู ศพที่ริมถนน เลือดและเพลิงไหม้ในจิงตู แล้วก็ตกอยู่ในความงวยงง
“บางทีข้าอาจยังไม่ได้เรียนรู้ว่าจะเป็นคนยิ่งใหญ่ได้อย่างไร”
……