บทที่ 1534 น่านฟ้าระกาติงก่อกบฏ!

พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า

นางยิ่งรู้ชัดกว่านั้น ว่าพอกองทัพองครักษ์มีประวัติที่แข็งแรงส่วนนี้อยู่ในมือ ในภายหลังไม่ว่าจะมีการเลื่อนตำแหน่งเมื่อไร ไม่ว่าใครก็ไม่มีทางมองข้ามมู่อวี่เหลียนคนนี้ ขอเพียงนึกถึงผลงานในการรรบส่วนนี้ของมู่อวี่เหลียน คาดว่าไม่ว่าคู่ต่อสู้คนไหนก็ไร้ความมั่นใจทั้งนั้น!

แต่นางก็เข้าใจเช่นกัน ว่าสาเหตุที่ได้ผลการงานรบนี้มาเป็นของใคร!

มู่อวี่เหลียนหันหน้าช้าๆ ไปมองที่เหมียวอี้ ในแววตาสื่ออารมณ์หลากหลาย ไม่รู้ว่าควรจะพูดอะไรดี ถ้าไม่ใช่เพราะคนคนนี้ใช้เล่ห์เหลี่ยมทำศึกในยาวหน้าสิ่วหน้าขวานครั้งสุดท้าย เกรงว่ากำลังพลธงพยัคฆ์ครึ่งหนึ่งนี้คงจะตกอยู่ในความเสี่ยงที่จะตายหมดอย่างเลี่ยงไม่ได้ แค่ความลึกซึ้งลุ่มลึกเพียงประเดี๋ยวเดียวนั่น ไม่น่าเชื่อว่าจะทำให้พลิกจากแพ้เป็นชนะได้อย่างอัศจรรย์แล้ว ชนะจนทุกคนยังทำใจเชื่อได้ยาก

พอลองคิดดูให้ละเอียด ที่จริงการบัญชาการรบที่สุขุมใจเย็นของท่านแม่ทัพภาคคนนี้ก็ได้ช่วยชีวิตทุกคนไว้ตั้งแต่แรกแล้ว

ในช่วงเวลาสำคัญของสถานการณ์วิกฤติ เขาอาศัยความกล้าหาญเด็ดเดี่ยวอันเหลือเชื่อออกคำสั่งให้ลงมือก่อน กำจัดมือธนูส่วนใหญ่ของกองทัพฝ่ายศัตรูทิ้ง นี่คือกุญแจสำคัญของกุญแจสำคัญทั้งหมดในตอนหลัง ถ้าไม่มีกลยุทธ์ในตอนแรก ก็ไม่มีชัยชนะในตอนนี้

จากนั้นเมื่อเผชิญสถานการณ์อันตรายอีกครั้ง ท่านแม่ทัพภาคคนนี้ก็สร้าง ‘หน่วยกล้าตาย’ อีกครั้งอย่างไม่ลังเล เอาตัวเองเป็นกองหน้านำทหารกล้าร้อยคนรุกโจมตี กำจัดผู้บัญชาการทัพฝ่ายศัตรูในรวดเดียว ทำให้อีกฝ่ายเป็นมังกรไร้หัว ไม่มีขีดจำกัดในการบัญชาการ แล้วก็เจาะเปลือกหาจุดอ่อนสร้างความปั่นป่วนให้ทัพใหญ่ฝ่ายศัตรู

ยามเผชิญหน้ากับวิกฤติ ก็เป็นท่านแม่ทัพภาคคนนี้ที่ออกคำสั่งให้ธงพยัคฆ์น้ำเงินเลิกตั้งรับอย่างไม่ลังเล แล้วยอมทุ่มสุดตัว อาศัยกำลังคนที่น้อยกว่ารุกโจมตี วางแผนถ่วงเวลาไม่ให้ฝ่ายศัตรูแย่งธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์ไป

วิกฤติเกิดขึ้นไม่หยุด แต่ก็ยังเป็นท่านแม่ทัพภาคคนนี้ที่ลงมืออย่างเด็ดขาด ละทิ้งโอกาสคว้าชัยชนะครั้งสุดท้ายของฝ่ายตัวเอง ฝังธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์ชุนั้นลงหลุมไปด้วยกัน และตัดความหวังของฝ่ายศัตรูในการแย่งชิงธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์โดยสิ้นเชิง

จากนั้นภายใต้สถานการณ์ที่รบแพ้แน่นอน แต่ยังพลิกวิกฤติได้ ทำศึกไม่หน่ายกลยุทธ์พลิกจากแพ้เป็นชนะ!

พอย้อนนึกทีละเรื่องทีละเรื่อง มู่อวี่เหลียนก็เข้าใจอย่างลึกซึ้ง ว่าศึกนี้ถ้าไม่ใช่ท่านแม่ทัพภาคคุมศึกด้วยตัวเอง ลงสนามคุมสถานการณ์ด้วยตัวเอง ธงพยัคฆ์น้ำเงินต้องแพ้ศึกนี้แน่นอน!

ตอนนี้มู่อวี่เหลียนกำลังมองเหมียวอี้ ในใจเรียกได้ว่าปลงอนิจจังไร้ที่สิ้นสุด ในฐานะที่เป็นนายพลหลัก แต่ความสามารถในการบัญชาการยามหน้าสิ่วหน้าขวาน นางก็ยังทอดถอนใจที่ตัวเองสู้ไม่ได้ นึกย้อนไปตอนปีแรกที่มาธงพยัคฆ์ดำแล้วเจอหนิวโหย่วเต๋อผู้โด่งดังครั้งแรก ตัวเองยังรู้สึกไม่ยอมนิดหน่อย สุดท้ายก็โดนอีกฝ่ายบีบจุดอ่อนให้ยอมจำนนก้มหัว

พอมานึกดูตอนนี้ ก็พบว่าเก่งกาจสมชื่อจริงๆ การที่ตัวเองพ่ายแพ้นิดหน่อยก็ไม่รู้สึกว่าไม่ยุติธรรมเลยสักนิด

ในตอนนี้นางเรียกได้ว่ายอมจำนนต่อท่านแม่ทัพภาคคนนี้จากใจจริง

กลุ่มนักพรตบงกชรุ้งมองไปที่เหมียวอี้ด้วยแววตาเคารพนับถือถึงขีดสุด

ขณะมองตามเงาคนที่หนาแน่นหนีกระจัดกระจายไปในดาราจักร ในที่สุดเหมียวอี้ก็ถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก เขาลองนับดูแบบหยาบๆ คาดว่าทัพใหญ่หนึ่งล้านของฝ่ายตรงข้ามน่าจะมีคนหนีไปเกือบครึ่งหนึ่ง หรือพูดได้อีกอย่างว่าศึกนี้ฝ่ายเขาสังหารทัพใหญ่ห้าแสนของฝ่ายตรงข้ามไปแล้ว!

ข้างหลังมีเสียงดีใจโห่ร้องดังต่อเนื่องเป็นระลอก เหมียวอี้ได้สติกลับมา หันตัวมามองคนพวกนี้แล้วอดไม่ได้ที่จะยิ้มบางๆ เป็นชัยชนะที่ได้รอดชีวิตจากวิกฤติ ความยินดีปรีดานี้ก็พอจะเข้าใจได้ ควรค่าให้พวกเขาโห่ร้องอย่างดีใจเช่นกัน ถึงอย่างไรก็รอดชีวิตมาได้แล้ว!

แต่เขากลับดีใจไม่ออกเลยสักนิด เดิมทีมีห้าหมื่นกว่าคน แต่ดูสิว่าตรงหน้านี้มีคนที่สะบักสะบอมเหมือนปีนขึ้นจากบ่อเลือดเหลืออยู่เท่าไร? เดาว่าเหลืออยู่ประมาณหมื่นกว่าคนแล้ว หรือพูดได้อีกอย่างว่า ในศึกนี้อัตราการสูญเสียกำลังพลสูงถึงแปดส่วน!

สำหรับทัพใหญ่กลุ่มนี้ การตายแปดส่วนมีความหมายแฝงว่าอะไรล่ะ? หมายความว่ารากฐานของทัพใหญ่ถูกโจมตีจนพิการแล้ว แต่นี่ก็คือชัยชนะของทัพพิการที่ยืนหยัดมาได้จนถึงตอนสุดท้าย แม้จะเผชิญหน้ากับทัพใหญ่หลายแสน!

สุดท้ายเขาก็ใช้ความพยายามทั้งหมดที่มีเพื่อปกป้องคนพวกนี้เอาไว้ได้ แต่เรื่องที่มีคนรบตายไปสี่หมื่นกว่าคนก็ไม่มีทางกู้สถานการณ์กลับมาได้แล้ว!

สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นผลที่ตามมาจากความรู้สึกส่วนตัวของเหมียวอี้ เพื่อที่จะเติมเต็มความพึงพอใจส่วนตัวของเขา กำลังพลสี่หมื่นที่ใช้ชีวิตอยู่ดีๆ กลับต้องเอาชีวิตมาทิ้ง ทั้งยังมีศพกำลังพลหลายแสนของน่านฟ้าระกาติงทีเกลื่อนกลาดเต็มสนามรบอีก

ความรู้สึกส่วนตัวครั้งนี้เต็มไปด้วยกลิ่นคาวเลือด เต็มไปด้วยบาปกรรม และทำให้เขาเต็มไปด้วยความรู้สึกผิดเช่นกัน จะให้เขาดีใจออกได้อย่างไร

เขาไม่ดีใจเลยสักนิด เรื่องบางเรื่องสุดท้ายแล้วก็ไม่อาจเอากระดาษมาคลุมดับไฟได้ สุดท้ายจะให้คนพวกนี้มองตัวเองอย่างไร?

ว่ากันตามจริง ถ้าเป็นเมื่อก่อน ไม่ว่าจะเป็นกับกำลังพลตำหนักสวรรค์หรือกับกองมังกรดำใตบังคับบัญชา เขาไม่ได้มีความรู้สึกผูกพันสักเท่าไร เขาคิดมาตลอดว่าตัวเองเป็นแขกคนหนึ่งที่ผ่านมาเท่านั้น ไม่คิดจะเดินไปพร้อมกับคนพวกนี้จนถึงตอนสุดท้าย เขาเตรียมตัวจะหนีอยู่ตลอดเวลา แต่ละก้าวที่เขาเดินมาจนถึงทุกวันนี้ ผ่านการเข่นฆ่าทั้งเล็กทั้งใหญ่มาเยอะขนาดไหน ขนาดตัวเขาเองยังนับไม่ถ้วนเลย นับไม่ถูกเช่นกันว่าข้างกายตัวเองมีคนตายไปเท่าไร เขาคุ้นชินกับสิ่งนี้นานแล้ว ดังนั้นเขาจึงไม่เก็บเรื่องการสละชีวิตเล็กน้อยมาใส่ใจ

แต่ในครั้งนี้ เมื่อเห็นการเข่นฆ่าอันดุเดือดยืนหยัดมาจนถึงตอนสุดท้าย ระหว่างนั้นถึงขั้นมีหลายครั้งที่เอาตัวเองล่อศัตรูแล้วตะโกนให้เขาหนีไปก่อน บรรดาคนอาบเลือดผู้รอดชีวิตที่ปีนออกมาจากกองคนตาย มโนธรรมของเขารู้สึกผิดจริงๆ รู้สึกว่าทำผิดต่อคนพวกนี้!

“ครั้งนี้ถ้าไม่ใช่นายท่านมาคุมการรบด้วยตัวเอง คุมสถานการณ์การรบด้วยตัวเอง ก็คงจะไม่มีชัยชนะที่ยิ่งใหญ่ขนาดนี้!” มู่อวี่เหลียนกุมหมัดคารวะด้วยความเคารพนับถือ เป็นการขอบคุณแทนทุกคนเช่นกัน

เหมียวอี้รู้สึกผิดในใจ ไม่อยากรับความดีความชอบนี้ จึงได้แต่ยิ้มเรียบๆ พร้อมบอกว่า “ข้าก็ไม่ได้ฆ่าศัตรูไปเยอะเท่าไรหรอก เป็นพวกพี่น้องที่สละชีวิตทำศึก ยืนหยัดมาจนถึงตอนสุดท้าย ถึงได้รับชัยชนะในท้ายที่สุด ความดีความชอบไม่ได้อยู่ที่ข้า แต่เป็นสิ่งที่ทุกคนเอาชีวิตแลกมา”

มู่อวี่เหลียนไม่เข้าใจความรู้สึกเขา จึงยิ้มพร้อมบอกว่า “ความถูกผิดและความยุติธรรมล้วนอยู่ในใจคน ทุกคนได้เห็นกับตาตัวเองแล้ว นายท่านถ่อมตัวเกินไป”

“ถ่อมตัวเกินไปเหรอ? ขอเพียงในภายหลังทุกคนไม่เกลียดข้าก็พอแล้ว!” เหมียวอี้กล่าวเสียงเรียบ เมื่อเห็นมู่อวี่เหลียนก็ยังต้องเกรงใจ ยกมือขึ้นตัดบทแล้วเปลี่ยนประเด็นสนทนา “อย่ามัวชักช้าอยู่ที่นี่เลย กลับกันเถอะ ตามหาธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์ที่ฝังอยู่ใต้ดินออกมาให้หมด อย่าให้เหลือตกหล่น”

มู่อวี่เหลียนเข้าใจแล้ว ต่อให้ตำหนักสวรรค์จะทิ้งธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์ไว้คันเดียวก็ต้องตามหาให้พบ มิหนำซ้ำนี่ยังเป็นธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์เกือบหนึ่งแสน ถ้าทำหายไปก็ไม่มีใครรับผิดชอบไหว ความรับผิดชอบนี้ แม้แต่น่านฟ้าระกาติงที่รบแพ้ก็ไม่ต้องรับผิดชอบ แต่พวกเขาที่รบชนะแล้วไม่ยอมเก็บกวาดให้เรียบร้อย ปล่อยให้ธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์หายไปจะต้องรับผิดชอบแน่นอน พอนึกถึงตอนที่ตำหนักสวรรค์เคลื่อนไหวก่อความวุ่นวายในตลาดผีเพื่อธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์ชุดนั้นที่หายไป เขาก็รู้ถึงความร้ายแรงของมันแล้ว ดังนั้นต่อให้รู้ว่าอาจจะมีอันตรายเกิดขึ้น แต่ก็จะต้องหากลับมาให้ได้ อย่าให้ขาดไปแม้แต่คันเดียว แต่จะว่าไปแล้ว ถ้าหาธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์ชุดนั้นมาไว้ในมือได้ ก็พอจะมีหลักประกันอยู่บ้าง

“รับทราบ!” นางเอ่ยรับคำสั่งแล้วไปจัดทัพทันที

จากนั้นทุกคนก็รีบกลับไปยังดาวเคราะห์ก่อนหน้านี้อย่างรวดเร็ว

ระหว่างทาง มีคนไม่น้อยรีบกินยาฟื้นฟูพลังอิทธิฤทธิ์ ขณะเดียวกันก็เติมพลังงานให้ธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์ของตัวเอง ส่วนมู่อวี่เหลียนก็รีบนับความเสียหายที่เกิดขึ้นจากการรบ

ทั้งธงพยัคฆ์น้ำเงินมีกำลังพลประมาณสามแสนสามพัน ครั้งนี้มู่อวี่เหลียนได้รับคำสั่งให้นำกำลังพลมาห้าหมื่น ที่รอดชีวิตอยู่มีเพียงหนึ่งหมื่นกับเศษร้อยเท่านั้น มีคนรบตายไปเกือบสี่หมื่นคน ในจำนวนนั้นนักพรตบงกชรุ้งก็โดนล้อมโจมตีในตอนสุดท้ายจนตายไปครึ่งหนึ่งเช่นกัน เหมียวอี้นำคนไปด้วยหนึ่งร้อยสามคน ตอนนี้เหลืออยู่ห้าสิบคนพอดี ที่เหลือรบตายหมดแล้ว ความเสียหายในการรบสูงถึงแปดส่วนจริงๆ เสียหายอย่างหนัก!

หลังจากได้ยินมู่อวี่เหลียนรายงานแล้ว เหมียวอี้ก็หยิบระฆังดาราออกมาด้วยใบหน้าตึงเครียด ติดต่อหัวหน้าภาคอวี่จ้งเจินของทัพเป่ยโต้ว พอเอ่ยปากก็บอกไปเพียงว่า : น่านฟ้าระกาติงก่อกบฏ!

อวี่จ้งเจินถูกเขาทำให้ตกใจแทบแย่ ล้อเล่นอะไรกัน เจ้าเวรนี่มันกำลังเล่นบ้าอะไร หยุดพักก่อนได้มั้ย? น่านฟ้าระกาติงจะก่อกบฏได้อย่างไร! ยังไม่ต้องพูดถึงสถานการณ์โดยรวมตอนนี้ ทุกวันนี้น่านฟ้าระกาติงถูกควบคุมโดยกำลังพลที่ดึงตัวไปจากกองทัพองครักษ์ ถ้ามีคนกบฏจริงๆ ก็เป็นไปไม่ได้ที่เบื้องบนจะไม่รู้ข่าวเลยสักนิด!

อวี่จ้งเจินถามอย่างร้อนใจว่า : มันเรื่องอะไรกันแน่!

เหมียวอี้รายงานสถานการณ์รบทันที : น่านฟ้าระกาติงก่อกบฏ! ระดมทัพใหญ่หนึ่งล้านมาล้อมโจมตีกำลังพลห้าหมื่นของข้า กำลังพลที่ติดตามกองมังกรดำเข่นฆ่าอย่างดุเดือด โจมตีทัพกบฏหนึ่งล้านจนแตกพ่าย ประหารคนในทัพกบฏไปประมาณห้าแสน ฝ่ายเรารบตายไปเกือบสี่หมื่น มีเหลือรอดอยู่ประมาณหนึ่งหมื่นกว่าคน จอให้หัวหน้าภาครายงานตำหนักสวรรค์ให้ส่งกำลังพลมากวาดล้างน่านฟ้าระกาติงทันที!

อวี่จ้งเจินฟังจนอกสั่นขวัญแขวน เดิมทีนึกว่าเหมียวอี้กำลังพูดจาเหลวไหล ทัพใหญ่หนึ่งล้านล้อมโจมตีกำลังพลห้าหมื่นของเจ้า แถมเจ้ายังโจมตีอีกฝ่ายแพ้ด้วยเหรอ? ทั้งยังฆ่าได้ห้าหมื่นกว่าคน? อาศัยแค่กำลังพลธงพยัคฆ์ครึ่งเดียวของเจ้าเนี่ยนะ ขี้โม้เกินไปแล้วรึเปล่า!

แต่ถ้าจะบอกว่าเหมียวอี้เอาเรื่องแบบนี้มาล้อเล่นกับผู้บังคับบัญชาอย่างเขา ไม่เหมือนไม่น่าจะเป็นไปได้ ไม่ควรจะเล่นกับผู้บังคับบัญชาสิ นี่มันเรื่องใหญ่นะ การล้อเล่นแบบนี้ในกองทัพไม่ถือว่าเป็นการล้อเล่นแล้ว เป็นการหาเรื่องใส่ตัวมากกว่า

คงไม่ใช่เรื่องจริงหรอกใช่มั้ย? อวี่จ้งเจินยิ่งคิดก็ยิ่งกลัว ไม่สนใจที่จะด่าเหมียวอี้แล้ว รีบเรียกคนของทัพกลาง ให้เขารีบติดต่อสายลับที่วางกำลังไว้ข้างล่างเพื่อถามสถานการณ์ให้ละเอียด

เขาติดต่อคนหลายคนที่รับหน้าที่เป็นสายลับไม่ได้ ขาดการติดต่อแล้วโดยสิ้นเชิง สุดท้ายก็ติดต่อได้แค่สายลับสองคนที่อยู่ในธงพยัคฆ์ ตอนยังไม่ถามก็ยังไม่รู้ แต่พอถามแล้วก็ตกใจทันที

เมื่อเปรียบเทียบเหตุการณ์ที่สายลับรายงานกับที่เหมียวอี้รายงานก็ยิ่งรู้ชัด ว่าเป็นความจริงไม่ผิดพลาดแน่นอน มันคือศึกนองเลือด! เป็นศึกเลือดที่กำลังพลห้าหมื่นสู้กับกำลังพลหนึ่งล้าน!

ในที่สุดก็รู้แล้วว่าทำไมติดต่อสายลับของเขาไม่ได้เลย เพราะรบตายไปหมดแล้ว!

อวี่จ้งเจินที่ยืนอยู่หลังโต๊ะยาวตะลึงค้างอย่างถึงที่สุด เขาหย่อนก้นนั่งลงบนเก้าอี้ แล้วพึมพำกับตัวเองว่า “บ้าไปแล้ว! ทุกคนบ้าไปแล้ว!”

คนที่รับหน้าที่วางกำลังสายลับก็ยืนเหม่อเช่นกัน…

หลังจากได้สติกลับมาแล้ว อวี่จ้งเจินก็ขมวดคิ้ว จากที่สายลับเพิ่งรายงานรายละเอียดมาเมื่อครู่นี้ก็รู้แล้ว จะบอกว่าน่านฟ้าระกาติงก่อกบฏก็เหมือนจะพูดเกินไป ดูแล้วเหมือนจะล้างแค้นให้ฉู่จื่อซานมากกว่า! แต่ไม่น่าเชื่อว่าจะรวบรวมกำลังพลหนึ่งล้านมาโจมตีอย่างบ้าคลั่งเพื่อการล้างแค้นนี้ นี่ต้องใช้ความแน่วแน่สักแค่ไหนกัน ถ้าจะบอกว่าเบื้องหลังไม่มีใครบงการ เขาก็ไม่เชื่อหรอก!

เขาพอจะเดาอะไรบางอย่างได้แล้ว หยิบระฆังดาราขึ้นมาติดต่อผู้ตรวจการใหญ่ฮวาอี้เทียนของหน่วยองครักษ์เจิ้นอี่ด้วยสีหน้าเคร่งเครียด รายงานสถานการณ์ให้ฟังโดยละเอียด แต่กลับไม่ยอมบอกว่าน่านฟ้าระกาติงก่อกบฏ มันคาบเส้นระหว่างล้างแค้นกับก่อกบฏ ให้เบื้องบนไปตัดสินใจเอาเอง

เขาไม่มีทางทำตัวเป็นคนบ้าเหมือนเหมียวอี้ ที่พอเอ่ยปากก็เล่นงานน่านฟ้าระกาติงให้ถึงตาย ถ้ายืนยันซ้ำๆ ว่าอีกฝ่ายก่อกบฏ เจ้ารู้มัย้ว่าก่อกบฏหมาความว่าอะไร? ผลลัพธ์นั้นต้องทำให้หัวคนร่วงลงพื้นเท่าไรถึงจะทำให้สงบได้? เกรงว่าท่านโหวที่อยู่เบื้องบนของน่านฟ้าระกาติงก็หลุดพ้นข้อหาได้ยากเช่นกัน เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับสถานการณ์โดยรวมของกองทัพองครักษ์ ดังนั้นเรื่องบางเรื่องเขาไม่อาจพูดตัดสินซี้ซั้วได้!

เพียงแต่หลังจากรายงานขึ้นไปแล้ว เขาก็ยังชาวาบหนังศีรษะเหมือนเดิม เขาเอนกายบนเก้าอี้ มองเพดานโค้งพลางพึมพำกับตัวเองว่า “กำลังพลห้าหมื่นตีทัพที่แข็งแกร่งของน่านฟ้าระกาติงแตกพ่าย น่านฟ้าระกาติงมันรบยังไงของมัน…”

กำลังพลกลับมาที่สนามรบอันดุเดือด เหยียบลงในพื้นที่ดินที่พลิกม้วนจนเป็นร่องแอ่ง มองดูฉากที่มีศพเกลื่อนกลาด พอพลิกผิวดินขึ้นมาก็ยังมีศพอีกไม่น้อยที่โดนฝังอยู่ครึ่งเดียว บ้างก็มีแขนโผล่ออกมาข้างหนึ่ง บ้างก็มีต้นขาโผล่ออกมาข้างหนึ่ง บ้างก็มีตัวโผล่ออกมาครึ่งหนึ่ง เป็นฉากที่น่าสังเวชใจเป็นอย่างยิ่ง

กลุ่มคนที่ระหว่างทางยังปลาบปลื้มยินดีเพราะรบชนะเงียบกริบทันที มีคนไม่น้อยที่น้ำตาไหลโดยไร้เสียงสะอื้น

พอนึกถึงการเข่นฆ่าอันดุเดือด เสียงตะโกนฆ่าที่ดังฮึกเหิมราวกับยังดังก้องอยู่ข้างหูตัวเองไม่หยุด ภาพลูกน้องที่ส่งเสียงกรีดร้องและร่วงตกพื้นราวกับห่าฝนยังติดตาเหมือนเพิ่งเกิดขึ้นใหม่ๆ มู่อวี่เหลียนที่ถือทวนค้ำพื้นกำลังยืนอยู่ตรงหน้าศพลูกน้องคนสนิทของตัวเองพร้อมกับน้ำตาที่ไหลนองหน้า…

…………………………