ตอนที่ 790 การเอาตัวรอดจากดินแดนลับ

คุณหนูสี่ สตรีเปื้อนเลือด

กฎของการแข่งขันคัดเลือกในรอบที่สองของเมืองเทียนหยวนถูกประกาศให้ทราบโดยทั่วกันในวันก่อนการคัดเลือก

เจ้าเมืองเทียนหยวนถือครองดินแดนลับโบราณอยู่ซึ่งจำเป็นต้องใช้การร่วมมือกันจากผู้นำสี่ตระกูลใหญ่ในการเปิดมัน ภายในดินแดนลับดังกล่าวมีทั้งโอกาสและภยันตรายปะปนรวมกัน โดยกฎเกณฑ์การคัดเลือกของเมืองเทียนหยวนคือผู้เข้าแข่งขันทุกคนต้องเข้าไปในดินแดนลับด้วยกันและใช้เวลาอยู่ในนั้นนานครึ่งเดือน ผู้ที่เอาตัวรอดได้ในท้ายที่สุดจะเป็นผู้มีคุณสมบัติเข้าร่วมการคัดเลือกในรอบสุดท้าย

แน่นอนว่านอกเหนือจากภยันตรายภายในนั้น ผู้เข้าแข่งขันก็ถือว่าเป็นศัตรูเช่นกัน สำหรับผู้ที่มีความบาดหมางต่อกันมาก่อน เมื่อเข้าไปในดินแดนลับก็อาจมีการต่อสู้ปะทะฝีมือกันอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยงได้

เมื่อฉินอวี้โม่และบรรดาสหายทราบถึงกฎเกณฑ์เหล่านี้ ทุกคนก็ได้หารือเตรียมวิธีการรับมือร่วมกันภายในโรงเตี๊ยม

เนื่องจากความบาดหมางระหว่างพวกตนและจูโหย่วจ้วง เมื่อเข้าไปในดินแดนลับ พวกนางจะไม่มีทางปรองดองหรือประนีประนอมกันแน่ กอปรกับตระกูลเฝิงที่คอยหนุนหลังจูโหย่วจ้วงอย่างออกนอกหน้าและยังมีโจวหังรุ่ยที่เคยมีเรื่องกันจนถูกฉินอวี้โม่สั่งสอนกลับไปอย่างสาสม เกรงว่าการคัดเลือกของฉินอวี้โม่และคณะในรอบนี้จะไม่ราบรื่นอย่างแน่นอน

โหรวฉิงและผู้นำตระกูลทั้งสองก็ส่งสาส์นมาเพื่อแสดงจุดยืนของตนเอง สมาชิกในตระกูลของพวกเขาจะแข่งขันกับฉินอวี้โม่และสหายตามปกติและไม่กระทำการใดที่รุนแรงจนถึงตาย ยิ่งไปกว่านั้น หากตระกูลเฝิงและตระกูลโจวต้องการร่วมมือกันกำจัดฉินอวี้โม่และคณะ สมาชิกของทั้งสามตระกูลก็จะพยายามหาทางช่วยเพื่อมิให้พวกนางกังวลมากไป

ฉินอวี้โม่ก็กล่าวขอบคุณพวกเขาอย่างจริงใจ ก่อนนำอุปกรณ์สิ่งของจากในคฤหาสน์เฟิงหัวออกมามอบให้ฉื่อไท่หลางและทุกคนสำหรับป้องกันตัว

ในวันก่อนการคัดเลือก นางได้พาฉื่อไท่หลางและคนอื่น ๆ ออกไปที่ป่าอสูรมายาและช่วยสยบอสูรระดับสูงจำนวนหนึ่งให้กับพวกเขา เวลานี้แม้ว่าพลังของพวกเขาจะยังอ่อนแอกว่าผู้คนในเมืองเทียนหยวน ทว่าพวกเขาก็ยังมีอสูรที่ฉินอวี้โม่ช่วยสยบให้ รวมถึงโอสถและอุปกรณ์อาวุธที่ไม่ธรรมดา ต่อให้จะไม่สามารถเอาชนะคู่ต่อสู้ได้ พวกเขาก็สามารถเอาตัวรอดได้อย่างไม่เป็นปัญหา

“หากพวกเจ้าพบกับคนของตระกูลเฝิงและตระกูลโจว ทางที่ดีจงหลบหนีออกไปก่อนและอย่าประจันหน้ากับพวกเขาซึ่ง ๆ หน้า”

ฉินอวี้โม่กล่าวเตือนฉื่อไท่หลางและคนอื่น ๆ นอกเหนือจากตนเอง หากต้องประจันหน้ากับคนจากสองตระกูลนั้น นางไม่มั่นใจนักว่าพวกเขาเหล่านี้จะเอาตัวรอดได้หรือไม่ เพราะฉะนั้นการหลีกเลี่ยงก่อนและไตร่ตรองหาทางตอบโต้จะเป็นวิธีรับมือที่ดีที่สุด อย่างไรก็ตาม คณะของนางมีเพียงเจ็ดคนเท่านั้น การคัดเลือกครานี้ก็มีผู้เข้าร่วมมากมายจากทั่วทั้งเมืองและอาจไม่พบกับคนตระกูลเฝิงหรือคนตระกูลโจวด้วยซ้ำ

“หากข้าคิดไม่ผิด ทุกคนจะได้รับป้ายหยกในวันพรุ่งนี้ ตราบใดที่ทำลายมัน เจ้าก็จะได้ออกจากดินแดนลับทันทีและหมดสิทธิ์เข้าร่วมรอบสุดท้ายของการคัดเลือกไปโดยปริยาย เมื่อเผชิญอันตรายที่ไม่อาจรับมือ จงทำลายป้ายหยกนั้นเสีย ผู้ยิ่งใหญ่ย่อมรู้จักการยืดหดและรู้จักปรับตัวเข้ากับสถานการณ์ ต่อให้ดึงดันจนผ่านไปถึงรอบสุดท้าย พวกเจ้าก็จะมีโอกาสไม่มากนัก”

ฉินอวี้โม่เคยเข้าร่วมการแข่งขันที่คล้ายคลึงกันจากในดินแดนก่อน ๆ แล้วและมั่นใจมากพอสมควร ยิ่งไปกว่านั้น นางยังมีคฤหาสน์เฟิงหัวอยู่กับตัว ต่อให้ตระกูลเฝิงและตระกูลโจวร่วมมือกัน แม้มีคู่ต่อสู้มากกว่าร้อยคนล้อมรอบก็ทำอะไรนางไม่ได้

ในเมื่อเมืองเทียนหยวนใช้วิธีนี้ในการคัดเลือก พวกเขาก็น่าจะใช้วิธีสุ่มในการส่งผู้เข้าแข่งขันเข้าไปและไม่มีทางที่ทุกคนจะรวมตัวกันได้ตั้งแต่ตอนต้น

“เราจะเคลื่อนไหวไปตามสถานการณ์ตรงหน้า ไม่จำเป็นต้องหาทางมาเจอกันและปล่อยให้เป็นไปตามโชคชะตา คนของตระกูลเฝิงและตระกูลโจวน่าจะดักรอเราอยู่ในจุดศูนย์กลางของดินแดนลับแห่งนั้น เพราะฉะนั้น ในช่วงแรกทุกคนควรที่จะอยู่อาศัยอยู่ในบริเวณรอบนอกก่อนและอย่าเตร็ดเตร่ออกไปเที่ยวเล่นเด็ดขาด”

นางคาดเดาความคิดของทั้งสองตระกูลและกล่าวกำชับกับทุกคน

“ลูกพี่อวี้โม่ ไม่ต้องห่วง พวกเราเข้าใจ”

ทุกคนพยักศีรษะตอบรับด้วยสีหน้าจริงจัง การคัดเลือกครานี้น่าจะเป็นบททดสอบที่สำคัญที่สุดในชีวิตที่พวกเขาเคยเผชิญ หากเอาตัวรอดได้จนถึงจุดสุดท้าย พวกเขาก็จะมีโอกาสพัฒนาอย่างก้าวกระโดด ทว่าหากล้มเหลว การที่จะเริ่มต้นใหม่อีกครั้งก็ไม่ถือว่าเป็นปัญหาอะไร

ตราบใดที่ยังมีชีวิตก็ย่อมมีหวัง…ไม่ว่าอุปสรรคอื่นใดก็ไม่ยากเกินที่จะข้ามผ่าน

เช้าตรู่ของวันต่อมา ฉินอวี้โม่และคณะเดินทางก็มุ่งหน้าตรงยังจวนเจ้าเมืองเทียนหยวนซึ่งดึงดูดสายตาของผู้คนได้ตลอดทาง

ชื่อของฉินอวี้โม่โด่งดังไปทั่วทั้งเมืองจนไม่มีผู้ใดที่ไม่รู้จักนาง นางกลายเป็นดาวเด่นของเมืองเทียนหยวนไปโดยปริยายและยังถือเป็นตัวเต็งสำคัญในการคัดเลือกครานี้อีกด้วย

“จอมยุทธ์อวี้โม่ พวกเราจะคอยสนับสนุนท่าน ท่านจะได้เป็นผู้ชนะอันดับหนึ่งในการคัดเลือกครานี้แน่ !”

หลายคนแสดงการสนับสนุนต่อฉินอวี้โม่อย่างกระตือรือร้น ฉินอวี้โม่ก็ยิ้มตอบพวกเขาอย่างไม่ถือตัว แม้ไม่กล่าวสิ่งใด รอยยิ้มทรงเสน่ห์ของนางเพียงอย่างเดียวก็ทำให้ผู้คนแทบเสียสติได้ง่าย ๆ หลายคนก็รู้สึกถึงขั้นว่าเพียงรอยยิ้มของฉินอวี้โม่ก็มากพอที่พวกเขาจะยอมสูญเสียพลังทั้งหมดที่มีเพื่อแลกกับการได้เห็นมัน

เวลานี้มีคนรวมตัวกันนอกจวนเจ้าเมืองเป็นจำนวนมากและผู้ที่จะเข้าร่วมการคัดเลือกในรอบที่สองก็มารวมตัวกันเป็นส่วนใหญ่แล้วเช่นกัน

ทันทีที่ฉินอวี้โม่และเหล่าสหายมาถึง พวกนางก็สังเกตเห็นคนคุ้นหน้าคุ้นตาหลายคน

นอกเหนือจากสมาชิกของสี่ตระกูลใหญ่ของเมืองเทียนหยวน ตระกูลเล็ก ๆ บางตระกูลก็ส่งศิษย์เข้าร่วมการคัดเลือกในรอบที่สองนี้เป็นจำนวนสิบถึงยี่สิบคนเช่นกัน

ในตอนนี้ผู้นำของสี่ตระกูลใหญ่ก็เข้าไปในจวนเจ้าเมืองเพื่อหารือกับเจ้าเมืองเทียนหยวนเกี่ยวกับการเปิดดินแดนลับสำหรับการคัดเลือกหลังจากนี้

หลังจากรอเวลาประมาณหนึ่งก้านธูป จ้าวเหลียง—เจ้าเมืองแห่งเมืองเทียนหยวน ผู้นำของทั้งสี่ตระกูลใหญ่และบุรุษคนหนึ่งที่มีความสัมพันธ์อันดีกับฉินอวี้โม่ก็เดินออกมาจากจวนเจ้าเมืองพร้อม ๆ กัน

บุรุษผู้นั้นมิใช่ใครอื่น หากแต่เป็นจ้าวตั๋ว—นายอำเภอซ่างหยวนที่เคยกล่าวไว้ว่าจะมาที่นี่เพื่อช่วยอำนวยความสะดวกให้กับฉินอวี้โม่และเหล่าสหาย

เมื่อเห็นฉินอวี้โม่จากระยะห่างออกไป จ้าวตั๋วก็คลี่ยิ้มพร้อมเดินตรงเข้ามาหานางอย่างรวดเร็ว

“เสี่ยวอวี้โม่ ไม่ได้พบกันเสียนาน ความแข็งแกร่งของเจ้าดูจะพัฒนาขึ้นมากทีเดียว”

หลังจากมองฉินอวี้โม่อย่างพินิจพิจารณา เขาก็พบว่าคลื่นพลังจากร่างของนางเสถียรคงที่และทรงพลังขึ้นมาก

ในฐานะนายอำเภอของอำเภอซ่างหยวน จ้าวตั๋วย่อมมีความรู้กว้างขวางดี ต่อให้เคยพบกับจอมยุทธ์อัจฉริยะมาแล้วมากมาย ระดับพรสวรรค์ของฉินอวี้โม่ผู้นี้ก็ยังทำให้เขาอดตกตะลึงไม่ได้

เมื่อครั้งยังอยู่ในอำเภอซ่างหยวนก่อนหน้านี้ ฉินอวี้โม่ก็เพิ่งบรรลุขอบเขตราชาเซียนครึ่งก้าวได้เพียงไม่นานและพลังก็ยังไม่คงที่นัก แม้มีความสามารถในการต่อสู้ที่แข็งแกร่ง จ้าวตั๋วก็ยังมั่นใจว่าจะเอาชนะฉินอวี้โม่ได้

ทว่าภายในเวลาเพียงไม่กี่เดือน เขากลับสัมผัสถึงพลังของนางไม่ได้อีกต่อไป ราวกับว่านางพัฒนาเข้าสู่ขอบเขตราชาเซียนเต็มตัวแล้วทว่ายังมีกลิ่นอายบางอย่างที่คลุมเครือ ราวกับทั่วทั้งร่างกายของฉินอวี้โม่ถูกปกคลุมไปด้วยชั้นหมอกบาง ๆ ส่งผลให้เขาไม่สามารถตรวจสอบพลังของนางได้อย่างชัดเจนเหมือนก่อน

“ท่านลุงจ้าวมาถึงตั้งแต่เมื่อใดเจ้าคะ ?”

ฉินอวี้โม่ยกยิ้มมุมปากเล็กน้อย ก่อนออกเดินทางมาจากอำเภอซ่างหยวน จ้าวตั๋วก็ยังอยู่ในช่วงเก็บตัวบ่มเพาะพลังและได้เพียงร่ำลากันเท่านั้น แม้กระทั่งเมื่อวานนี้ นางก็ยังไม่ได้ข่าวการมาถึงของจ้าวตั๋วและคิดไปว่าเขาอาจยังไม่ออกจากการเก็บตัวก็เป็นได้

“ข้าเพิ่งมาถึงได้ไม่นาน”

จ้าวตั๋วให้การช่วยเหลือเป็นอย่างดีจนฉินอวี้โม่สะดวกใจที่จะเขาเรียกว่า ‘ลุงจ้าว’ เขาคำนวณเวลาในช่วงเก็บตัวฝึกวิชาของตนมาตลอด และทันทีที่ออกจากสภาวะเก็บตัว นายอำเภอซ่างหยวนก็มุ่งหน้าตรงมาที่นี่อย่างรวดเร็วและเพิ่งมาถึงเมืองเทียนหยวนในตอนเช้าตรู่ของวันนี้

แม้จ้าวตั๋วจะมั่นใจในความสามารถของฉินอวี้โม่มาก ทว่าความซับซ้อนและเรื่องวุ่นวายในเมืองเทียนหยวนนั้นก็มีมากมายจนเกินไป หากไม่มาที่นี่เพื่อให้การช่วยเหลือด้วยตัวเอง เขากังวลใจว่าพวกนางอาจจะต้องเผชิญกับปัญหาที่ยากเกินจะรับมือ

“มาเถอะ ข้าจะพาเจ้าไปพบกับพี่รองของข้า”

จ้าวตั๋วชี้ไปที่จ้าวเหลียงผู้ซึ่งยืนรวมกับผู้นำตระกูลทั้งสี่และมองตรงมาขณะเดินเข้าไปพร้อมฉินอวี้โม่

ฉินอวี้โม่รู้สึกประหลาดใจขึ้นมาทันที คาดไม่ถึงเลยว่าเจ้าเมืองเทียนหยวนจะเป็นพี่รองของจ้าวตั๋ว ก่อนหน้านี้จ้าวตั๋วกล่าวเพียงแค่ว่าเขาและเจ้าเมืองเทียนหยวนมีความสัมพันธ์อันดีต่อกัน เพียงแต่ไม่คิดว่าทั้งสองจะเป็นพี่สองกันเช่นนี้

เมื่อเดินเข้าไปใกล้จ้าวเหลียงมากขึ้นเรื่อย ๆ นางก็สังเกตเห็นได้ว่ารูปลักษณ์ของทั้งสองมีความคล้ายคลึงอย่างแท้จริง เพียงแต่จ้าวเหลียงดูเป็นผู้ใหญ่และดูมั่นคงมากกว่า รวมถึงมีแววตาที่ยากเกินหยั่งถึง

“นี่คือแม่นางฉินอวี้โม่ที่เจ้าบอกข้าก่อนหน้านี้สินะ”

จ้าวเหลียงมองฉินอวี้โม่และพยักศีรษะเบา ๆ น้องชายคนเล็กของเขาส่งจดหมายด่วนมาก่อนหน้านี้โดยขอให้เขาช่วยดูแลคณะศิษย์จากอำเภอซ่างหยวนของตน

จ้าวเหลียงก็ส่งคนออกไปเฝ้าหน้าประตูเมืองตลอดช่วงที่ผ่านมา ทว่าไม่ทราบเลยว่าฉินอวี้โม่เข้าเมืองมาตั้งแต่เมื่อใด

ทว่าเมื่อไม่กี่วันก่อน เขาก็ได้ยินเรื่องราวเกี่ยวกับนางและต้องตกใจไม่น้อย ในที่สุดเขาก็เข้าใจว่าเหตุใดน้องชายของตนจึงชื่นชมสตรีจอมยุทธ์จากต่างแดนอย่างออกนอกหน้าเช่นนั้น

แม้อายุยังน้อย ฉินอวี้โม่ผู้นี้ก็มีพรสวรรค์ที่ยอดเยี่ยมและไม่หวาดหวั่นแม้เผชิญหน้ากับคู่ต่อสู้ที่แข็งแกร่งกว่า ความองอาจกล้าหาญเช่นนี้คือสิ่งที่เขาชื่นชมเป็นที่สุด

“พี่รอง ข้าขอให้ท่านช่วยดูแลศิษย์จากอำเภอซ่างหยวนแทนข้า ทว่าท่านกลับไม่สนใจไยดีพวกเขาเลย”

จ้าวตั๋วกล่าวพร้อมรอยยิ้มและไม่กังวลว่าพี่รองของตนจะโกรธเคือง

“สำหรับเด็ก ๆ ที่มากพรสวรรค์เหล่านี้ มีที่ไหนที่จะต้องได้รับการดูแลเป็นพิเศษ”

วาจาของจ้าวเหลียงจริงจังอย่างยิ่งและแสดงให้เห็นว่าเขารู้สึกชื่นชมฉินอวี้โม่และคนอื่น ๆ อย่างแท้จริง

“แม่นางอวี้โม่ ทำให้เต็มที่ล่ะ ข้าจะตั้งตารอดูผลงานของเจ้าในดินแดนลับ”

จ้าวเหลียงกล่าวพร้อมรอยยิ้มและตั้งตารออย่างแท้จริง เขาได้ทราบเรื่องที่เกิดขึ้นในช่วงหลายวันที่ผ่านมา ไม่ว่าจะเป็นการตอบโต้คนตระกูลโจวจนน่วม ความหวาดหวั่นจนอยู่ไม่ติดของตระกูลเฝิงหรือการที่สามตระกูลใหญ่ให้การต้อนรับนางเป็นอย่างดีจนถึงขั้นแต่งตั้งให้เป็นแขกคนสำคัญ รวมถึงการที่โหรวฉิงผู้ที่ไม่เคยยอมอ่อนข้อให้ใครแสดงความชื่นชมต่อนางอย่างออกนอกหน้า ทุกอย่างที่เกิดขึ้นทำให้เจ้าเมืองเทียนหยวนอย่างเขาอยากเห็นด้วยตาตัวเองว่าสตรีเยาว์วัยผู้นี้จะทำสิ่งใดที่น่าทึ่งได้อีก…

“น้องอวี้โม่ ข่าวที่ข้าให้คนส่งไปก่อนหน้านี้ เจ้าได้รับแล้วใช่รึไม่”

โหรวฉิงจับมือฉินอวี้โม่อย่างสนิทสนมและขยิบตาส่งสัญญาณ

“พี่โหรวไม่ต้องเป็นห่วงเจ้าค่ะ ข้าและทุกคนจะระวังตัวเป็นอย่างดี”

ฉินอวี้โม่เข้าใจความหมายของอีกฝ่ายและพยักศีรษะพร้อมกล่าวยืนยันมิให้นางเป็นกังวล

ซ่างสี่ซานและเฉินเซี่ยวลั่วก็เองพยักศีรษะให้กับฉินอวี้โม่เพื่อส่งสัญญาณแสดงความคิดของตนเช่นกัน

ฉินอวี้โม่ประกบกำปั้นทั้งสองเข้าด้วยกันและโค้งคำนับแสดงความขอบคุณต่อคนทั้งสอง จากนั้นนางก็ไม่กล่าวสิ่งใดต่อและกลับไปรวมตัวกับฝูงชน

ในอีกฟากหนึ่ง สีหน้าของเฝิงรุ่ยเฉิงและโจวเฉียนบิดเบี้ยวอย่างเห็นได้ชัด

พวกเขาคาดไม่ถึงเลยว่าฉินอวี้โม่จะมีเครือข่ายความสัมพันธ์กับเจ้าเมืองเทียนหยวนเช่นนี้ เห็นทีการจัดการกับฉินอวี้โม่ผู้นี้จะยากขึ้นเสียแล้ว…

ทั้งสองฝ่ายสบตากันและจิตสังหารในหัวใจรุนแรงมากขึ้นเรื่อย ๆ หากไม่ฉวยโอกาสในการคัดเลือกครานี้เพื่อกำจัดฉินอวี้โม่ให้สิ้นซาก เกรงว่าพวกเขาจะไม่มีโอกาสนั้นอีกต่อไป

แม้ไม่มั่นใจมากเท่าก่อนหน้านี้ ทั้งสองก็ยังไม่คิดล้มเลิกแผนการ พวกเขาเตรียมการไว้เป็นอย่างดีและมั่นใจว่าจะขุดหลุมฝังฉินอวี้โม่ไว้ในดินแดนลับแห่งนั้นได้อย่างแน่นอน

“เฝิงเยี่ย จำสิ่งที่ข้าสั่งไว้ให้ดีล่ะ !”

ผู้นำตระกูลเฝิงเน้นย้ำกับเฝิงเยี่ยอีกครั้ง ในแผนการครานี้ของตระกูลเฝิง เฝิงเยี่ยถือว่าเป็นตัวขับเคลื่อนสำคัญ หากเขาไม่ยอมทำตามคำสั่ง เกรงว่าการจัดการกับฉินอวี้โม่ก็คงจะไม่ง่ายเลย

“ไม่ต้องห่วงขอรับ ข้าจะทำตามคำสั่งของท่าน”

เฝิงเยี่ยกล่าวอย่างเย็นชาและไม่ชายตามองผู้นำตระกูลเฝิงด้วยซ้ำ ทว่าแววตาของเขาในตอนนี้แสดงความสับสนและซับซ้อนอย่างเห็นได้ชัด

ในขณะเดียวกัน โจวเฉียนก็พยักศีรษะส่งสัญญาณกับศิษย์ตระกูลโจวหลายคนเพื่อกำชับให้พวกเขาทำตามแผนที่วางไว้และห้ามถอดใจล้มเลิกโดยเด็ดขาด

หลังจากนั้น ผู้นำตระกูลใหญ่ทั้งสี่และเจ้าเมืองเทียนหยวนก็สบตากันก่อนยืนประจำตำแหน่งโดยมีจ้าวเหลียงอยู่ตรงกลาง พลังมายาโดยรอบแผ่ถาโถมเข้าไปยังจุดกึ่งกลางอย่างรวดเร็ว และไม่นานนักค่ายกลเคลื่อนย้ายที่ดูแปลกประหลาดก็ปรากฏขึ้น