แล้วก็จริงดังคาด เขาเหมือนถูกฝ่ามือข้างหนึ่งกระชากคอเสื้อด้านหลังแล้วโยนไปทางทะเลเมฆที่อยู่นอกป๋ายอวี้จิงโดยตรง ไม่เพียงเท่านี้ ยังถูกศิษย์พี่เล็กผู้นั้นกักปราณวิญญาณทั้งหมดเอาไว้ด้วย
เซียนหลายท่านรีบบินออกมาจากจุดต่างๆ ของป๋ายอวี้จิง พยามยามพุ่งเข้าไปรับร่างอาจารย์อาน้อยคนใหม่ที่ตำแหน่งสถานะสูงศักดิ์ผู้นี้
ลู่เฉินยกฝ่ามือไล่ตบเซียนทั้งหลายให้ปลิวกระเด็นไปทีละคน
เด็กหนุ่มร่วงดิ่งลงพื้นอย่างรวดเร็ว
ผู้ฝึกตนขอบเขตบินทะยานคนหนึ่งที่รับหน้าที่เป็นผู้ปกป้องมรรคาให้เด็กหนุ่มชั่วคราวกัดฟัน กำลังจะแข็งใจบินออกไปช่วยคน เขาจะปล่อยให้เด็กหนุ่มร่วงตกลงพื้นได้คาตาจริงๆ หรือไร?
หากพูดถึงแค่เรือนกายที่มีเนื้อหนังมังสา ต่อให้เป็นขอบเขตหยกดิบ ตกลงไปก็ต้องกลายเป็นเนื้อเละๆ กองหนึ่ง
ทะเลเมฆเหล่านั้นไม่ใช่ของธรรมดาทั่วไป
มรรคาจารย์เต๋าย่อมสามารถช่วยลูกศิษย์คนสุดท้ายผู้นี้ได้อยู่แล้ว เจ้าลัทธิลู่เองก็ช่วยได้ แต่หากเป็นเช่นนั้นผู้ปกป้องมรรคาอย่างเขาจะไม่กลายไปเป็นตัวตลกของคนทั้งใต้หล้าหรอกหรือ?
ลู่เฉินชำเลืองตามองขอบเขตบินทะยานผู้นั้นด้วยสายตาเย็นชา
จิตแห่งเต๋าของอีกฝ่ายแหลกสลายทันควัน เขารีบยืนกุมมือ รักษาจิตวิญญาณให้มั่นคง
และในขณะที่เด็กหนุ่มกำลังจะร่วงลงสู่พื้นนั้นเอง ตรงม่านฟ้าก็มีช่องโพรงขนาดใหญ่สองช่องถูกแหวกออกแทบจะเวลาเดียวกัน พลังอำนาจนั้นน่าตะลึงพรึงเพริดเป็นอย่างยิ่ง
จากนั้นก็มีสายรุ้งสองเส้นพุ่งมาทางป๋ายอวี้จิงแห่งนี้
แม้ว่าช่องโพรงทั้งสองจะถูกชดเชยเติมเต็มอย่างรวดเร็ว
ทว่าชั่ววินาทีนั้นก็มีเงาร่างหลายเงาพุ่งพรวดเข้ามาในใต้หล้ามืดสลัว จงใจอ้อมผ่านป๋ายอวี้จิง พยายามที่จะหลบซ่อนตัวตน
ลู่เฉินสีหน้าไร้อารมณ์ เพียงแค่ยกนิ้วชี้ไปทางนั้นทีทางนี้ที
เงามืดทั้งหลายเหล่านั้นเผ่นหนีแตกกระเจิงขึ้นไปด้านบน สิ่งศักดิ์สิทธิ์เกราะทองสูงพันจั้งหลายตนปรากฎขึ้นท่ามกลางความว่างเปล่า ซัดให้เงามืดเหล่านั้นแตกกระจายปั่นป่วน
ลู่เฉินกระโดดขึ้นเบาๆ พริบตาเดียวก็มาถึงด้านล่างสุดของป๋ายอวี้จิง
เด็กหนุ่มลอยตัวอยู่กลางอากาศห่างพื้นดินหนึ่งฉื่อ มือเท้าแข็งทื่อ หัวสมองว่างเปล่าไร้ความคิดใด
ลู่เฉินทรุดตัวลงนั่งยอง เอ่ยเนิบช้าว่า “ผู้ปกป้องมรรคาคือสิ่งนอกกาย สถานะลูกศิษย์ของมรรคาจารย์เต๋าก็เป็นสิ่งนอกกาย ความเป็นความตายของตนก็ยังคงเป็นสิ่งนอกกายอยู่ดี”
เด็กหนุ่มที่มีเหงื่อซึมบนหน้าผากพยักหน้ารับเบาๆ
ลู่เฉินจับศีรษะของเด็กหนุ่มแล้วกดลงด้านล่างเบาๆ หนึ่งที ลูกศิษย์คนสุดท้ายของมรรคาจารย์เต๋าตัวเป็นๆ ก็กลายมาเป็นกองเนื้อเละๆ กองหนึ่ง
ลู่เฉินยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “หากไม่เคยตายอย่างแท้จริงหนึ่งครั้ง แล้วจะรู้ถึง…เต๋าที่แท้จริงได้อย่างไร?”
นักพรตวัยกลางคนร่างสูงใหญ่คนหนึ่งมาปรากฏตัวอยู่ข้างกายลู่เฉิน เขาโบกชายแขนเสื้อหนึ่งครั้ง เก็บเอาจิตวิญญาณทั้งหมดของเด็กหนุ่มมาแล้วก็ขมวดคิ้วกล่าวว่า “เจ้าทำตัวเป็นศิษย์พี่แบบนี้เองหรือ?”
ลู่เฉินยิ้มกล่าว “ถึงอย่างไรก็ดีกว่าเจ้าในปีนั้นก็แล้วกัน”
นักพรตร่างสูงใหญ่ส่ายหน้า กระทืบเท้าหนึ่งครั้ง ทะยานตัวขึ้นจากพื้นดิน ตรงไปยังจุดที่สูงที่สุดของป๋ายอวี้จิง
ลู่เฉินพลันถูกคนผู้หนึ่งใช้แขนรัดคอ คนที่หน้าตามอมแมมผู้นั้นน่าจะตัวไม่สูง เพราะต้องเขย่งปลายเท้าเล็กน้อย เขายิ้มหน้าเป็นถามเจ้าลัทธิลู่ผู้นี้ด้วยท่าทางสนิทสนมเป็นกันเองอย่างยิ่ง “หมัดเมื่อครู่นี้ของข้าเป็นอย่างไร? องศาพอดีเลยไหม? ลูกศิษย์คนรองของเต๋าเหล่าเอ้อร์ ป่านนี้น่าจะยังเจ็บอยู่เลยกระมัง?”
ลู่เฉินพยักหน้ารับ “มาดยังคงสง่างามดังเดิม”
คนผู้นั้นเพิ่มแรงที่แขน เป็นเหตุให้ร่างของลู่เฉินเอนไปด้านหลังเล็กน้อย คนผู้นั้นหรี่ตาถามว่า “มีบัญชีเก่าค้างอยู่ พวกเราควรมาชำระกันได้แล้วไหม?”
ลู่เฉินยิ้มกล่าว “ฟ้านอกฟ้า ข้าไม่มีทางไป สู้กันที่นี่ เจ้าไม่มีกระบี่ก็ทำร้ายข้าไม่ได้ อีกอย่างตอนนี้ที่ป๋ายอวี้จิงมีเทพธิดากี่มากน้อยที่กำลังมองมายังพวกเราสองคน?”
คนผู้นั้นถึงได้คลายแขนออก ลู่เฉินจึงปัดชายแขนเสื้อด้วยความรู้สึกระอาใจเล็กน้อย
คนผู้นั้นหันหน้าไปทางจุดสูงของป๋ายอวี้จิง พยายามเบิกตากว้างมองไปให้ไกล แต่แล้วจู่ๆ ก็ก้มหน้าถ่มน้ำลายใส่ฝ่ามือของตัวเอง เอาฝ่ามือสองข้างถูกัน จากนั้นก็ชูมือทั้งสองขึ้นสูง สะบัดมือลูบเส้นผมจากหน้าไปหลังแรงๆ
เขารู้สึกว่าหากเวลานี้มีกระจกสักบานอยู่ในมือ กระจกคงต้องแตกคาที่เลยกระมัง
เขากระแอมให้ลำคอชุ่มชื้นอยู่สองสามที กำลังจะอ้าปากพูด
ลู่เฉินกลับเอ่ยขึ้นอย่างระอาใจว่า “ไม่ต้องแนะนำตัวเองแล้ว คนทั้งบนและล่างป๋ายอวี้จิงต่างก็รู้ว่าเจ้าชื่ออาเหลียง”
คนผู้นั้นยังคงแนะนำตัวเองแก่เหล่าเทพธิดาในป๋ายอวี้จิงอย่างเอาจริงเอาจัง “เหลียงที่แปลว่าดีงาม”
ลู่เฉินยิ้มถาม “ในเมื่อยืนกรานว่าตัวเองคือมือกระบี่คนหนึ่ง แล้วกระบี่ของเจ้าล่ะ?”
คนผู้นั้นย้อนถาม “มือกระบี่จะต้องมีกระบี่เสมอไปหรือ?”
เขาถามเองตอบเอง “ข้าว่าไม่แน่เสมอไปหรอก”
ลู่เฉินพยักหน้ารับ “จุดใดในฟ้าดินที่มีกลิ่นอายของความองอาจกล้าหาญ ที่นั่นก็คือจุดที่จะออกกระบี่ได้อย่างสาแก่ใจ หากทำสำเร็จจะต้องยิ่งใหญ่ตระการตาอย่างมากแน่นอน”
ชายฉกรรจ์ที่ตัวไม่สูง ส่วนหน้าตาก็…งั้นๆ กระทืบเท้าทะยานตัวขึ้นสูงเช่นกัน ไม่ได้ตรงไปหาเต๋าเหล่าเอ้อร์ แต่ใช้หมัดต่อยม่านฟ้าให้เปิดอ้าแล้วย้อนกลับไปยังฟ้านอกฟ้าอีกครั้ง
ลู่เฉินยืนสองมือไพล่หลัง แหงนหน้ามองไป เป็นนานก็ยังไม่ถอนสายตากลับคืนมา
มักจะมีคนประเภทหนึ่งที่ไม่ว่าจะเป็นมิตรหรือศัตรูก็ล้วนทำให้ผู้อื่นเกิดความเลื่อมใสได้เสมอ
ข้อนี้ อาเหลียงผู้นี้ อันที่จริงทำได้ดียิ่งกว่าตนและฉีจิ้งชุนเสียอีก
ลู่เฉินพลันนึกเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้ก็ยิ้มอย่างชอบใจ
บางทีฮูหยินภูเขาชิงเสินของถ้ำสวรรค์จู๋ไห่ผู้นั้นอาจจะไม่ได้คิดแบบนี้กระมัง
……
ถ้ำสถิตของปี้สู่เหนียงเนียงสร้างขึ้นบนสถานที่แห่งหนึ่งที่มีชื่อว่าภูเขาโปลั่ว ตัวภูเขาไม่สูงมากนัก ไม่ถือว่าเป็นสถานที่ที่ฮวงจุ้ยดีอะไรนัก
เดิมทีนางก็เป็นหนึ่งในกองกำลังที่อ่อนแอที่สุดของหกอริยะ เพียงแต่ว่าไม่รู้ทำไม ภูเขาโปลั่วถึงได้ตั้งตระหง่านไม่ล้มลงอยู่ในหุบเขาผีร้าย
หันกลับไปมองอริยะใหญ่ปานซาน (ย้ายภูเขา) ที่ไม่เพียงแต่มีกองกำลังทหารที่แข็งแกร่ง ตบะของตัวเขาเองก็ยังสูงกว่านางอยู่หนึ่งระดับใหญ่ด้วย
อริยะใหญ่ปานซานคือวานรย้ายภูเขาที่สายเลือดไม่บริสุทธิ์ตัวหนึ่ง แม้ว่าเพิ่งจะมีอายุแค่ห้าร้อยปี แต่อาศัยเรือนกายที่แข็งแกร่งทนทานมาตั้งแต่เกิด ชอบที่จะต่อสู้ประชิดตัวกับภูตผีหรือไม่ก็ผู้ฝึกลมปราณมากที่สุด อีกทั้งยังทุ่มเงินก้อนใหญ่ซื้อเสื้อเกราะน้ำค้างหวานที่ระดับขั้นสูงอย่างถึงที่สุดตัวหนึ่งมาไว้ติดกาย แล้วยังได้ครอบครองค้อนดาวตกที่พลังพิฆาตยิ่งใหญ่อีกเล่มหนึ่ง จึงไม่ต่างจากพยัคฆ์ติดปีก
การป้องกันของภูเขาโปลั่วกระจัดกระจายไม่เข้มงวด ทหารกล้าจับกลุ่มกันกลุ่มละสองสามคน มัวแต่ง่วนอยู่กับการเล่นพนันขันต่อ แต่ละคนจิตใจจดจ่อมีสมาธิยิ่ง
แต่ภูเขาโปลั่วมีสถานที่อยู่สามแห่งที่มีตราผนึกภูเขาแม่น้ำเชื่อมโยงติดต่อกันอย่างมหัศจรรย์ แม้จะไม่ใช่ค่ายกลใหญ่ปกป้องภูเขาอะไร แต่ขอแค่คนนอกบุ่มบ่ามบุกเข้ามาก็ง่ายที่จะไปกระตุ้นตราผนึกรบกวนตลอดทั้งภูเขาโปลั่ว
จวนที่แขวนกรอบป้ายคำว่า ‘ตำหนักกว่างหาน’ แห่งนั้นสร้างได้อย่างโอ่อ่ามลังเมลืองยิ่ง ไม่ได้ดูยากแค้นเลยสักนิดเดียว (คำว่าหานของชื่อตำหนักสามารถแปลได้ว่าหนาวเหน็บ/ยากจน) มองดูแล้วมีแต่กลิ่นอายมงคลสูงศักดิ์ น่าจะต้องทุ่มเงินเทพเซียนไปไม่น้อย อีกทั้งภายในภายนอกล้วนปลูกต้นกุ้ยไว้ไม่น้อย แต่ก็ไม่ใช่พันธ์ที่ล้ำค่าหายากอะไร
ทางฝั่งของเรือนด้านหลัง สตรีโตเต็มวัยเรือนกายอรชรอ้อนแอ้น แต่ใบหน้ากลับเป็นหลุมเป็นบ่อคนหนึ่งกำลังยืนอยู่บนขั้นบันได นางสวมชุดชาววังที่หรูหรางดงาม พอเห็นบัณฑิตที่ถูกจับห้อยต่องแต่งอยู่บนลำไม้ไผ่ ดวงตาก็พลันเป็นประกาย เป่าปากพองแก้ม นางเช็ดน้ำลายตัวเองแล้วหัวเราะราวกับกิ่งบุปผาสั่นไหว ไม่รอให้ภูตถือพัดที่ใคร่ครวญถ้อยคำมาเรียบร้อยแล้วเอ่ยขอความดีความชอบ นางก็ขับไล่เขาไปพร้อมกับเหล่าสมุนที่เกะกะลูกตาของเขาแล้ว
ลำไม้ไผ่ถูกวางลงบนพื้น ท่วงท่าของบัณฑิตน่ากระอักกระอ่วนอย่างยิ่ง เขานอนอยู่บนพื้น ข้อมือถูกรัดจนเกิดรอยช้ำบวมเขียว เขาเปิดปากพูดเสียงสั่นอย่างยากลำบาก “ปี้สู่เหนียงเนียง?”
สตรีย่อตัวลงนั่งยอง ยื่นมือมาลูบไล้ใบหน้าของบัณฑิตผู้อ่อนแอ สายตาของนางตอนที่เอ่ยพูดเลื่อนลอยไปเล็กน้อย “ไม่เคยได้พบเจอบุรุษที่รูปงามขนาดนี้มานานมากแล้ว ดีจริงๆ พี่ชายน้อย วางใจเถอะ ข้าเป็นสตรีที่รู้จักรักและถนอมผู้อื่น อย่าไปฟังข่าวลือภายนอก คำพูดเหลวไหลทำนองว่าปี้สู่เหนียงเนียงชอบกินผัดเผ็ด ไม่ชอบกินอาหารตุ๋นรสชาติจืดชืดอะไรนั่น วิธีการกินคนของข้าซ่านสยิวที่สุดแล้ว บุรุษล้วนชื่นชอบกันมาก ภูเขาโปลั่วแห่งนี้ของข้าใช่บ่อมังกรถ้ำพยัคฆ์เสียที่ไหน เป็นสถานที่ที่ทำให้บุรุษอย่างพวกเจ้าเปรมปรีดิ์อย่างแท้จริงต่างหาก”
ระหว่างที่พูดสตรีก็อดแลบลิ้นประหลาดที่ทั้งกว้างและยาวอย่างถึงที่สุดออกมาไม่ได้ มุมปากก็ยิ่งมีน้ำลายหยดย้อยลงบนใบหน้าของบัณฑิต
บัณฑิตอยากจะร้องไห้แต่ก็ไร้น้ำตา
ราวกับว่าตกใจจนทึ่มทื่อไปแล้ว ได้แต่จ้องนางตาแข็งค้าง
ปี้สู่เหนียงเนียงผู้นี้ยิ้มหวานเอ่ยว่า “มองอะไรเล่า? อย่าได้รีบร้อน หลังจากช่วยเจ้าคลายเชือกแล้ว เจ้าก็ไปที่ตั่งยวนยางกับข้า อยากดูอะไรก็จะให้เจ้าดู”
บัณฑิตเอ่ยเนิบช้าว่า “คางคกอย่างเจ้าไม่ได้คุยโวเลย สมกับเป็นเผ่าพันธ์ของตำหนักจันทราจริงๆ ไม่เสียแรงที่เดินทางมาคราวนี้”
สตรีอึ้งตะลึง
ทันใดนั้นกลุ่มควันสีดำก็ซัดตลบอบอวล ปราณดุร้ายพุ่งทะยานสู่ท้องฟ้า กลบทับปี้สู่เหนียงเนียงผู้นี้ไว้จนมิด จากนั้นเสียงโหยหวนชวนรันทดหดหู่ของนางก็ดังออกมาระลอกหนึ่ง แต่ไม่นานก็เงียบหาย เหลือเพียงกองเลือดสดกองใหญ่ที่เป็นดั่งบุปผาเบ่งบานอยู่บนพื้นดิน
ครู่หนึ่งต่อมาก็เปลี่ยนเป็นบัณฑิตที่นั่งยองอยู่บนพื้น ปี้สู่เหนียงเนียงนอนอยู่กับพื้น เหลือเพียงโครงกระดูกขาวโครงหนึ่ง
มุมปากของบัณฑิตเต็มไปด้วยเลือดสด แล้วก็ไม่คิดจะเช็ดออก เขาส่งเสียงเรอดังเอิ้ก ยื่นฝ่ามือข้างหนึ่งไปจุ่มเลือดพลางหันหน้าไปมองทางกำแพง ยิ้มถามว่า “ดูเรื่องสนุกพอแล้วหรือยัง?”
ต่อให้เป็นเฉินผิงอันก็ยังตกตะลึงอย่างหนัก
ภูตผีปีศาจทำร้ายคนมีให้พบเห็นได้ไม่น้อย ภูตจิ้งจอกล่อลวงบัณฑิตก็มีให้เห็นกันบ่อยๆ
แต่ ‘บัณฑิต’ กินปีศาจ เฉินผิงอันกลับเพิ่งเคยเห็นเป็นครั้งแรก
เฉินผิงอันที่นั่งยองอยู่บนหัวกำแพงรัดน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ไว้ตรงเอวเรียบร้อยแล้วก็เอ่ยถามว่า “เห็นได้ชัดว่าปี้สู่เหนียงเนียงที่ตบะธรรมดาผู้นี้มีที่พึ่งที่ยิ่งใหญ่ อีกทั้งยังไม่ใช่ปีศาจใหญ่ตนอื่นๆ ด้วย เจ้าไม่กลัวสักนิดเลยหรือ?”
บัณฑิตยิ้มกล่าว “ก็มีเจ้ามาเป็นตัวตายตัวแทนพอดีไม่ใช่หรือ?”
เฉินผิงอันก็ยิ้มเหมือนกัน “ช่วยมีคุณธรรมในยุทธภพหน่อยได้ไหม?”
กระบี่บินชูอีสืออู่พุ่งออกมาจากในน้ำเต้าอย่างรวดเร็ว ไม่ได้เข้าไปโรมรันกับบัณฑิตผู้นั้น แต่ผลุบหายลงไปในพื้นดินโดยตรง
ผิดเป็นครู รถลากที่หนีไปใต้ดินของฟ่านอวิ๋นหลัวทำให้เฉินผิงอันจดจำได้จนถึงทุกวันนี้
ทั้งสองฝ่ายเงียบงันไปพร้อมกันราวกับนัดหมายกันมา
บัณฑิตน่าจะกริ่งเกรงว่ากระบี่เล่มนั้นของเซียนกระบี่หนุ่มผู้นี้จะเร็วกว่าวิชาหลบหนีเฉพาะตนของตัวเองหรือไม่?
ส่วนเฉินผิงอันก็กลัวว่าเขาจะเผ่นหนีได้เร็วเกิน อยู่ดีๆ จะหนีหายไปทั้งอย่างนี้ แล้วบัญชีนี้จะคิดคำนวณกันอย่างไร?
ส่วนเรื่องที่จะถูกไอ้หมอนี่ป้ายสีใส่ อันที่จริงเขาไม่ได้คิดอะไรมาก ต่อจากนี้จะเกิดปัญหาอะไรขึ้นเขาก็พร้อมรับ เดิมทีก็มาที่นี่เพื่อฝึกประสบการณ์อยู่แล้ว หากมีชีวิตสงบสุขเกินไป กลับกลายเป็นว่าจะทำให้เฉินผิงอันไม่คุ้นชิน หากไม่ได้จริงๆ ก็จะใช้ยันต์ย่อพื้นที่สีทองแผ่นนั้นร่วมกับเจี้ยนเซียน ออกไปจากหุบเขาผีร้ายก่อนชั่วคราว รอให้รู้รากฐานของอีกฝ่ายคร่าวๆ เสียก่อนแล้วค่อยกลับเข้ามาในหุบเขาผีร้ายอีกครั้ง ใช้วิธีการโง่เง่าเหมือนการเฉือนเนื้อด้วยมีดทื่อ ค่อยๆ ขัดเกลากันไป ดูว่าใครจะอดทนได้ดีกว่ากัน สู้ไม่ได้ก็ค่อยหนี หนีแล้วก็ค่อยกลับมาใหม่
เฉินผิงอันกับบัณฑิตขยับปากแทบจะพร้อมกัน แต่ก็หุบปากลงพร้อมกันโดยไม่ได้นัดหมายอีกครั้ง
บัณฑิตเช็ดคราบเลือดที่มุมปาก “เจ้าพูดมาก่อน เซียนกระบี่นี่นะ ข้าเคารพนับถือมากที่สุดในชีวิตแล้ว”
เฉินผิงอันกล่าว “เจ้าพูดก่อน ยังคงเป็นบัณฑิตอย่างพวกเจ้าที่สูงศักดิ์ล้ำค่ามากกว่า”
บัณฑิตทำสีหน้าแปลกใจ “พวกเราสองคนจะเสียเวลากันอยู่อย่างนี้หรือ?”
เฉินผิงอันพยักหน้ารับ “ขอแค่เจ้าสบายใจก็พอ”
บัณฑิตได้แต่มองดูเจ้าหมอนั่นเรียกกระบี่ยาวอีกเล่มหนึ่งมาเพิ่มในมือ เขานั่งแปะลงกับพื้น โบกชายแขนเสื้อสองข้าง เลือดสดเหล่านั้นก็มารวมตัวกันกลายเป็นลูกกลมๆ ลูกหนึ่งที่หมุนกลิ้งช้าๆ ไปรอบกายเขา จากนั้นเขาก็ถามหยั่งเชิงว่า “ในเมื่อเจ้ายึดในหลักคุณธรรมของยุทธภพ ถ้าอย่างนั้นข้าก็จะยึดหลักปรองดองก่อให้เกิดเงินทองแล้วกัน?”
เฉินผิงอันถาม “ก่อให้เกิดเงินทองด้วยวิธีใด?”
บัณฑิตชี้ไปนอกกำแพงสูง พูดด้วยท่าทางผ่าเผยน่าเลื่อมใส “ที่นี่ยังมีปีศาจอีกห้าตนไม่ใช่หรือ ไม่เหมือนกับปี้สู่เหนียงเนียงที่ยากจนข้นแค้นผู้นี้ แต่ละตนที่เหลือล้วนมีรากฐานทรัพย์สมบัติมหาศาล พวกเรามาเป็นพี่น้องที่ร่วมแรงร่วมใจกัน ก่อให้เกิดพลังยิ่งใหญ่ ร่วมกันกำจัดภัยร้ายเพื่อปวงประชา!”
เฉินผิงอันพยักหน้ารับ “ดี”
บัณฑิตพลันสบถด่าเสียงดัง “ดีกับท่านปู่เจ้าเถอะ เจ้าเก็บซ่อนปราณสังหารไว้ได้ดี แต่กระบี่เล่มนั้นของเจ้าขาดก็แค่ไม่มีปากเท่านั้น เห็นชัดๆ ว่ามันตะโกนว่าจะตีจะฆ่าข้าผู้อาวุโสแล้ว!”
เฉินผิงอันหรี่ตาลง
บัณฑิตลุกขึ้นยืนช้าๆ สีหน้าเฉยชา
แม้เขาจะเพิ่งเคยได้พบจอมยุทธพเนจรหนุ่มที่เรื่องราวแพร่ระบือไปทั่วทั้งทิศใต้ของหุบเขาผีร้ายผู้นี้เป็นครั้งแรก
ดังนั้นจึงไม่รู้เลยว่า เฉินผิงอันในเวลานี้จะทำให้ทุกคนที่สนิทคุ้นเคยกับเขา ไม่ว่ามิตรหรือศัตรูก็ล้วนรู้สึกเหมือนว่าเขาได้กลายเป็นคนแปลกหน้า
แต่บัณฑิตกลับรู้เรื่องหนึ่ง
ไอ้หมอนี่มีจิตสังหารที่เข้มข้นอย่างยิ่ง
ถึงขั้นข่มทับปราณกระบี่ของกระบี่เล่มนั้นได้!
บัณฑิตรู้สึกว่าก็ดีเหมือนกัน ไม่สู้เข่นฆ่าสังหารกันให้เต็มคราบดูสักครั้ง!
ฆ่าคนชิงสมบัติ แสวงหาความร่ำรวยท่ามกลางความเสี่ยง ตลอดชีวิตที่ผ่านมาเขามีโชคด้านการเสี่ยงโชคดีเยี่ยมมากเป็นพิเศษ ไม่เคยแพ้เลยสักครั้ง!
เฉินผิงอันสูดลมหายใจเข้าลึกหนึ่งครั้ง โคลงศีรษะ จากนั้นก็ยกมือขึ้นตบที่หน้าอก ยิ้มกว้างเอ่ยว่า “ขอโทษที ข้าเมากลิ่นเลือดน่ะ”
—–