ตอนที่ 981 ข้าเพียงคนเดียวก็พอ

ท่านอ๋องผู้โหดร้ายกับหมอปีศาจ

มู่เฉียนซียังไม่ทันที่จะลงมือเพราะความรวดเร็วของกู้ไป๋อีนั้นไวกว่ายิ่งนัก

แสงกระบี่สาดออกมา มู่เฉียนซีก็ได้เห็นร่างเหล่านั้นล้มลงไปบนพื้น

ในตอนนี้พลังความสามารถของกู้ไป๋อีได้ฟื้นฟูไปถึงขั้นจักรพรรดิยอดยุทธ์ขั้นที่เก้าเต็มขั้นแล้ว ความแข็งแกร่งของมือสังหารเหล่านี้ไม่เพียงพอที่จะเทียบกับเขาได้เลย

เมื่อได้ยินเสียง ปัง ปัง ปัง! อยู่หลายครา เย่เฉินกับเจ้าเมืองเหยียนก็ได้เดินออกมา

มือสังหารที่มาก็ได้ถูกฆ่าไปอย่างรวดเร็วในทันที พวกเขานั้นอดไม่ได้ที่จะพึมพำว่าพลังความสามารถของทั้งสองคนนี้ยิ่งเพิ่มความวิปริตขึ้นไปมากกว่าเดิมเสียอีกแล้ว

และนอกจากนี้ยังมีกลิ่นคาวเลือดที่ลอยมาจากจวนด้านข้าง มู่เฉียนซีจึงกล่าวขึ้น “ไปดูกัน!”

แต่ยอดฝีมือที่เจ้าเมืองชางได้สรรหามานั้นก็มีพลังความสามารถที่ไม่ต่ำเลย ดังนั้นแล้วพวกเขาจึงมิปล่อยให้มือสังหารเหล่านี้ทำได้สำเร็จ

เจ้าเมืองชางยิ้มแล้วกล่าว “ข้าทำให้ท่านทั้งสองเป็นกังวลเสียแล้ว มือสังหารเหล่านี้ยังทำอะไรพวกเราไม่ได้! แต่น่าเสียดายที่ไม่มีใครเหลือรอดชีวิต”

มู่เฉียนซีกล่าว “เหลือตัวผู้รอดชีวิตเอาไว้ก็ถามอะไรจากมันไม่ได้! ข้ารู้ถึงตัวตนของพวกมันแล้ว”

มู่เฉียนซีก้มลงเพื่อที่จะตรวจสอบศพของมือสังหารเหล่านี้

เจ้าเมืองชางตะลึงค้าง “ท่านหมายความว่า…พวกเขาเป็นคนของสำนักขวางโซ่ว”

“อื้ม!”

“พวกมันช่างกล้านัก ยอดฝีมือทั้งทุ่งรกร้างได้มารวมกันยังเมืองซีเจว๋ พวกมันยังกล้าที่จะมาลอบสังหาร”

มู่เฉียนซีกล่าว “เป้าหมายของการลอบสังหารก็เพื่อที่จะกำจัดคู่แข่งของเมืองบางเมืองที่พวกเขาเลือกเอาไว้แล้วก็เท่านั้น”

“ท่านหมายถึง!” เจ้าเมืองชางตะลึงงัน

“อื้ม! รีบพักผ่อนเถิด! บางทีในวันรุ่งขึ้นอาจจะมีละครสนุกให้ดู” ในเมื่อเจ้าเมืองชางไม่เป็นอะไร มู่เฉียนซีกับกู้ไป๋อีก็ได้จากไป

วันรุ่งขึ้นข่าวการลอบสังหารตัวแทนของเมืองใหญ่ต่าง ๆ ได้กระจายออกไป เหล่าคนที่มิได้ระแวดระวังก็ได้หายไปจากเมืองซีเจว๋อย่างสิ้นเชิง

เจ้าเมืองซีเจว๋โกรธกริ้วเป็นอย่างมาก “เกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้นได้อย่างไร?”

“เฝ้าระวังทั้งเมือง เฝ้าระวัง!”

แม้ว่าผู้ที่ตายไปล้วนแต่เป็นคนของเมืองที่อ่อนแอ ในทุ่งรกร้างแห่งนี้ผู้แข็งแกร่งกลืนกินผู้อ่อนแอเป็นอาหาร การถูกฆ่าไปก็โทษได้แต่เพียงว่าพวกเขามีพลังความสามารถที่ไม่แข็งแกร่งพอ

แต่การมาฆ่าแขกที่เขาเชิญมายังเมืองซีเจว๋นั้นนับเป็นการท้าทายอำนาจของเขาอย่างมาก ช่างรนหาที่ตาย!

ด้วยเพราะมีคนตายไปเป็นจำนวนมาก วันต่อมาทุกคนก็ได้มารวมตัวกันค่อนข้างช้า

ตำแหน่งที่นั่งที่ทางจวนเจ้าเมืองซีเจว๋ได้จัดเตรียมเอาไว้ให้จึงเกิดที่ว่างขึ้นมาเป็นจำนวนไม่น้อย

เจ้าเมืองซีเจว๋แสดงถึงความเจ็บช้ำใจเป็นอย่างมากที่มีคนจำนวนไม่น้อยถูกฆ่าตายในเมืองซีเจว๋ จากนั้นก็ได้ประกาศกฎของการประลองในครั้งนี้

เพื่อให้มั่นใจว่าการแข่งขันครั้งนี้จะเป็นธรรม ทั้งเมืองขั้นสำนักนิกายระดับหนึ่งและระดับสองล้วนแต่มีสิทธิ์ที่จะเข้าร่วมประลอง แต่ทว่าเมืองขั้นสำนักนิกายระดับสองนั้นจะเลื่อนระดับขึ้นไปรอในรอบที่สองในทันที เพื่อที่จะมิต้องไปรังแกเมืองขั้นสำนักนิกายระดับหนึ่ง

ส่วนเมืองขั้นสำนักนิกายระดับหนึ่งจำเป็นที่จะต้องเข้าไปอยู่หนึ่งในสิบอันดับแรกให้ได้จึงจะมีสิทธิ์เข้าร่วมในรอบที่สอง

เจ้าเมืองซีเจว๋กล่าว “สำนักขวางโซ่วนั้นรุกคืบเข้ามาอย่างแข็งกร้าว จึงจำเป็นจะต้องรีบยืนยันตำแหน่งผู้บัญชาการให้แน่ชัด ดังนั้นแล้วการประลองจึงต้องจัดขึ้นโดยไว ในตอนนี้จะให้เริ่มทำการจับสลาก ทุกท่านไม่มีข้อโต้แย้งใดกระมัง?”

“สำนักขวางโซ่วแผลงฤทธิ์มากขึ้นไปทุกที พวกเราจะต้องรีบรวบรวมพลังทั้งหมด รีบเลือกตัวผู้บัญชาการ แน่นอนว่าเป็นสิ่งที่ดีที่สุด”

“เช่นนั้นก็จงจับสลากเถิด!”

“เมืองแต่ละเมืองสามารถส่งคนของตนลงมาได้มากที่สุดคือเจ็ดคน หนึ่งกลุ่มการแข่งขันจะมีทั้งหมดสิบเมือง”

หลังจากที่การจับสลากได้สิ้นสุดลง เมืองเหลยและเมืองเหยียนได้ถูกแยกออกจากกัน

เย่เฉินถามขึ้น “นายท่านจะวางตำแหน่งเช่นไร?”

มู่เฉียนซีกล่าว “ของเมืองเหลยนั้นข้าไปเอง!”

“ส่วนเมืองเหยียนนั้นให้เสี่ยวไป๋ไป!”

กฎว่ามากที่สุดคือเจ็ดคนแต่มิได้บอกเอาไว้ว่าอย่างน้อยที่สุดต้องกี่คน

เย่เฉินพยักหน้า “ได้ ข้าเข้าใจแล้ว”

เจ้าเมืองเหยียนยังคงอดที่จะกังวลไม่ได้ เขากล่าว “เช่นนี้จะได้จริง ๆ หรือ?”

เย่เฉินกล่าว “นายท่านจะไม่ตัดสินใจเรื่องอะไรลงไปโดยที่ไม่มีแผนการอย่างแน่นอน”

และในตอนนี้เอง อารมณ์ของเจ้าเมืองชางก็ไม่ค่อยจะดีนัก เพราะเขาจับสลากได้อยู่กลุ่มเดียวกับเมืองหู่เสี้ยว

เมื่อมองไปยังแววตาที่ดุร้ายของเจ้าเมืองหู่ หัวใจของเขาก็เต้นแรงไม่เป็นจังหวะ

สนามประลองได้ถูกเตรียมเอาไว้เรียบร้อยแล้ว ผู้ตัดสินในครั้งนี้คือรองเจ้าเมืองตงกัว

“ในตอนนี้ผู้เข้าร่วมแข่งขันทั้งหมดจงขึ้นไปบนเวทีประลองเถิด!”

มู่เฉียนซีเดินไปยังเวทีประลองหมายเลขหนึ่ง ส่วนกู้ไป๋อีขึ้นไปยังเวทีประลองหมายเลขสาม

เมืองอื่น ๆ นั้นล้วนขึ้นมากันทั้งหมดเจ็ดคน มีแต่เพียงเมืองของมู่เฉียนซีและกู้ไป๋อีเท่านั้นที่ขึ้นมาเพียงคนเดียว

เมื่อเห็นพวกเขาที่โดดเดี่ยว คนอื่น ๆ นั้นก็ได้หัวเราะออกมา

“ดูเหมือนว่าเจ้าจะเป็นคนของเมืองเหลยนั่นกระมัง! เป็นเมืองเล็ก ๆ ที่อ่อนแอเมืองหนึ่งอย่างที่นึกไว้จริง ๆ แม้แต่คนผู้เก่งกาจสักผู้หนึ่งก็ยังไม่มี กลับส่งตัวเด็กสาวผู้หนึ่งมา”

“ข้าว่านะเจ้าหนู เจ้ายังไม่โตเป็นผู้ใหญ่เลยกระมัง! พลังความสามารถก็เกรงว่าคงยังไม่ถึงขั้นจักรพรรดิ ระวังข้าจะใช้ขนเพียงเส้นเดียวทำให้เจ้าตายเอา”

“……”

รองเจ้าเมืองตงกัวเองก็ตกตะลึงเช่นกัน เขามองไปทางมู่เฉียนซีแล้วกล่าว “เจ้าต้องการจะขึ้นเวทีเพียงตัวคนเดียวจริง ๆ หรือ?”

มู่เฉียนซีกล่าวตอบ “การประลองในครั้งนี้มิได้มีกฎไว้ว่าห้ามขึ้นประลองเพียงตัวคนเดียวกระมัง?”

“จำนวนผู้เข้าประลองนั้นสามารถตัดสินใจได้ด้วยตนเอง แต่ว่าเจ้าเพียงคนเดียวนั้นยากนักที่จะชนะการประลองนี้ได้ เจ้าไม่ต้องการที่จะส่งคนขึ้นมาอีกสักสองสามคนหรือ?”

สถานการณ์ทางด้านกู้ไป๋อีก็มิต่างกัน เขาต้องพบกับการกล่าวเสียดสีจากเหล่าผู้คนและพวกเขาทั้งสองก็กล่าวเป็นเสียงเดียวกันอย่างไม่ได้นัดหมาย “ข้าเพียงผู้เดียวก็พอแล้ว!”

“แค่เพียงผู้เดียวก็พอแล้ว นี่ก็จะโอหังเกินไปแล้วกระมัง!”

“ไม่รู้ว่าใครกันที่มอบความกล้าให้พวกเขามาทำตัวโอหังเช่นนี้ เมืองเหลย เมืองเหยียน พวกเราไม่เคยได้ยินชื่อเมืองสองเมืองนี้มาก่อนเลย”

“คอยดูเถอะ ข้าจะซัดพวกนั้นให้หมอบในหมัดเดียว”

หลังจากที่ได้ทำการโน้มน้าวไปแล้วรองเจ้าเมืองตงกัวเองก็จนปัญญา เขาจึงทำเพียงแต่ประกาศเริ่มการประลอง

เมื่อการประลองเริ่มขึ้น ยอดฝีมือของแต่ละฝ่ายก็ได้เริ่มสู้กันขึ้นมา

สำหรับสาวน้อยอย่างมู่เฉียนซีแล้ว พวกเขาได้มองข้ามนางไปในทันที

สาวน้อยเช่นนี้ รอให้จัดการกับผู้อื่นเรียบร้อยเสียก่อนแล้วค่อยระเบิดกำปั้นเข้าไปคราเดียว อย่างไรเสียในตอนนี้ก็ไปรับมือกับผู้อื่นก่อนเถอะ!

สถานการณ์ทางด้านกู้ไป๋อีเองก็เป็นเช่นเดียวกัน เขาเองก็นึกไม่ถึงว่าตนเองนั้นจะมีวันที่ถูกผู้อื่นดูแคลนเช่นกัน

ตูม! บนเวทีประลองทั้งสิบแห่งเกิดการต่อสู้พัวพันอย่างที่ไม่อาจจะแยกตัวออกจากกันได้

ส่วนเจ้าเมืองและยอดฝีมือของเมืองขั้นสำนักนิกายระดับสองก็มองดูการต่อสู้ครั้งใหญ่ในครั้งนี้อย่างไม่ค่อยรื่นรมย์นัก

อ่อนแอ อ่อนแอนัก ไม่มีอะไรน่าดูแม้แต่น้อย

ถึงต่อให้มีเมืองที่ถีบตัวเข้าไปอยู่ในสิบอันดับแรกได้ แต่มันก็ไม่เป็นภัยคุกคามต่อพวกเขาเลยสักนิด

เพียงแค่เขาขยับนิ้วมือก็สามารถที่จะจัดการกับมดปลวกพวกนี้ได้

ส่วนเมืองหู่เสี้ยว แน่นอนว่าพวกเขาได้เพ่งเล็งไปทางเมืองชางหมาง เจ้าเมืองชางนั้นโชคดีอยู่บ้างที่มิได้ขึ้นไปบนเวทีประลอง มิเช่นนั้นแล้วคงได้ถูกเจ้าบ้านั่นฆ่าตายเป็นแน่

ยังมีขุนเขาเขียวขจีอยู่ก็มิกลัวว่าจะไม่มีไม้ฟืน เขาร้องตะโกนขึ้น “ทั้งหมดจงลงมา พวกเรายอมแพ้! ยอมแพ้!”

หากยอดฝีมือที่เขาสรรหามาได้อย่างยากเย็นต้องมาตายเสียที่นี่มันก็ไม่คุ้มค่าเท่าใดนัก อย่างไรเสียเขาก็แค่คิดที่จะมาลงสนามแบบผ่าน ๆ ไปและมิได้คิดที่จะคว้าตำแหน่งผู้บัญชาการเลย เพราะตำแหน่งผู้บัญชาการจะต้องเป็นของพวกท่านมู่อย่างแน่นอน

เมื่อได้ยินคำพูดของเจ้าเมืองชาง ยอดฝีมือแห่งเมืองชางหมางก็ได้รีบผละออกมา

เจ้าเมืองหู่เสี้ยวกล่าว “อย่าแม้แต่จะคิดว่าจะจากไปได้!”

แม้ว่าเมืองหู่เสี้ยวจะแข็งแกร่ง แต่เมื่อพวกเขาต้องการที่จะหนีไป พวกนั้นก็มิอาจที่จะรั้งเอาไว้ได้

เจ้าเมืองหู่เสี้ยวจ้องมองเจ้าเมืองชางหมางอย่างมืดมน “ขี้ขลาด!”

เจ้าเมืองชางกล่าว “ข้าค่อนข้างที่จะรักชีวิตและหวงแหนในชีวิตลูกสมุนของข้า เจ้าเกี่ยวอะไรด้วย?”

เวทีประลองหมายเลขหนึ่งได้เข้าสู่ช่วงเวลาอันร้อนระอุแล้ว มีคนได้รับบาดเจ็บอย่างหนักและไม่กล้าที่จะเข้าร่วมในการต่อสู้อันดุเดือดนั้นอีกต่อไป แน่นอนว่าพวกเขาจึงได้หันไปมองทางคู่ต่อสู้ด้านข้างที่ไม่มีใครเข้าไปสู้ด้วย ดูเหมือนว่ามู่เฉียนซีนั้นจะรังแกได้ง่ายดาย

แน่นอนว่ามู่เฉียซีก็สังเกตเห็นถึงสายตาของคนเหล่านี้ มุมปากของนางค่อย ๆ ยกขึ้นเล็กน้อยแล้วกล่าว “เจ้าต้องการที่ประมือกับข้า?”