บทที่ 511
หม่าหลันเองก็รู้ดีว่า หากเรื่องนี้แพร่งพรายออกไป ตนเองก็จะถือว่าเป็นกลุ่มคนเล่นพนัน แล้วสามีและลูกสาวรู้ว่าตนออกไปข้างนอกไปเล่นพนันมากมายขนาดนั้น ก็คงจะโกรธเป็นฟืนเป็นไฟกันแน่ๆ
แบบนั้น ตนก็อาจจะไม่ได้ใช้ชีวิตอยู่ดีอีกแน่
ตอนนี้ถึงแม้จะไม่มีเงิน แต่ว่าก็ดีกว่าคนพวกนั้นที่ต้องทุกข์ทรมานมากแล้ว พวกนั้นถูกส่งไปขุดถ่านหินที่เหมืองถ่านหินดำ สิบหรือยี่สิบปีก็อย่าคิดว่าจะมีชีวิตอิสระอีกเลย แย่กว่าตนเยอะ
หากเอามาเปรียบกัน ตนเองก็ไม่ได้ทุกข์ยากน่าสงสารขนาดนั้น
เพียงแต่ว่า เงินและสร้อยข้อมือนี้มันไม่มีอีกแล้วไง…นี่แหละเป็นสิ่งที่ทำให้ใจเจ็บปวด
พูดง่ายๆว่าสร้อยข้อมือนั้นไม่มีอีกแล้ว ตนได้นำชิ้นส่วนต่างๆมารวมกันหมดแล้ว สามารถบอกกับครอบครัวได้ว่าทำมันแตก
เรื่องสำหรับเงินนี่ มันค่อนข้างทำให้รู้สึกแย่นิดหน่อย
เงินของครอบครัวฝากไว้อยู่ในบัญชีของตน เซียวฉางควนเองก็ไม่ได้มีเงินอะไร มีแต่เงินหลายแสนที่เขาได้จากการขายของเก่าเท่านั้น ซึ่งทั้งหมดนั่นอยู่ในมือของฉันนั่นเอง
แถมตนยังทำเงินออมของครอบครัวเสียไปอีก ถ้าสามีรู้เรื่องนี้ กลัวว่าเขาจะโกรธจนเป็นบ้าเลยน่ะสิ
หม่าหลานคร่ำครวญในใจและรู้สึกเสียใจกับสิ่งที่เกิดขึ้นในวันนี้
ขณะอยู่บนทางกลับบ้าน ท่านหงห้าก็ได้โทรเข้ามาหาเย่เฉินและพูดว่า “ท่านอาจารย์เย่ เมื่อกี้ผมได้นำขบวนรถไปจนถึงทางหลวงแล้ว ตอนนี้ขบวนรถกำลังมุ่งหน้าไปยังจิ้นซีครับ เดิมทีผมควรจะไปส่งด้วยตนเอง ตามที่ท่านได้ฝากเรื่องเอาไว้ แต่ว่าพอดีเย็นวันนี้ที่เทียนเซียงฝู่นั้นมีเรื่อง มีคนใหญ่คนโตแบกเพชรเข้ามาในงานเลี้ยงครับ ดังนั้นผมจึงต้องไปดู…”
เมื่อพูดจบ ก็พูดต่อว่า “แต่ท่านอย่ากังวลไป เดี๋ยวพรุ่งนี้ผมจะนั่งเครื่องบินไปที่นั่นเอง คาดว่าพอตอนบ่ายผมไปถึงก็คงพอดีกับขบวนรถ”
เย่เฉินส่งเสียงและถามอย่างอยากรู้ว่า “คืนนี้มีแขกคนใหญ่คนโตมาที่เทียนเซียงฝู่ด้วยเหรอ?เป็นคนจากไหน?”
หงห้ารีบพูดว่า “อู่ตงไห่และลูกชายของเขาอู๋ซินจากตระกูลอู๋ที่เจียงหนานครับ”
เย่เฉินขมวดคิ้ว นี่ก็หลายวันแล้ว ตนของตระกูลอู๋ยังไม่กลับกันไปอีกงั้นเหรอ?
หรือว่าที่พวกเขายังอยู่ในจินหลิง เพราะต้องการค้นหาตนงั้นเหรอ?
ท้ายที่สุดคำแนะนำทางจิตวิทยาของอู๋ฉีที่ว่าต้องกินขี้ทุกชั่วโมง ก็ล้วนแต่เป็นที่ตนนั้นบอกแก่เขา
คาดว่าตระกูลอู๋รู้ดีว่าจะต้องมีอะไรที่ซ่อนอยู่เบื้องหลังเรื่องนี้แน่ๆ เลยอยากจะมาตามหาความจริง
แต่เย่เฉินก็ไม่ได้กังวลแต่อย่างใด ตระกูลอู๋ยังก็ไม่ได้แข็งแกร่งเท่าตระกูลเย่อยู่แล้ว
อีกอย่าง ความแข็งแร่งของตนในปัจจุบัน หากไม่ได้เอาตระกูลเย่เข้ามาเป็นภูมิหลังให้ ตระกูลอู๋ก็ไม่มีทางทำอะไรตนเองได้อยู่ดี
หากตระกูลอู๋ยังจะแสร้งมาทำเพื่อบีบบังคับตนแล้วล่ะก็ ถึงเวลานั้นก็อย่ามาหาว่าไม่เกรงใจก็แล้วกัน
เย่เฉินจึงพูดกับหงห้าว่า “โอเค นายไปทำธุระของนายเถอะ”
“ครับ ท่านอาจารย์เย่”
เมื่อวางสาย รถก็ขับมาใกล้ถึงบ้านแล้ว
หม่าหลันพูดกับเย่เฉินว่า “จอดรถไว้ข้างทางนี่แหละ เดี๋ยวฉันขับเอง แกเดินกลับไปละกัน อย่าให้พ่อแกกับชูหรันเห็นว่าเรากลับมาด้วยกัน!”
เย่เฉินพยักหน้าอย่างเฉยเมย แล้วเอารถจอดไว้ข้างทาง จากนั้นก็ลงมาจากรถ
พอดีเลย จะได้เดินดูกับข้าวแถวนี้
ขณะที่ซื้อผักอยู่นั้น เย่เฉินก็โทรหาชายชรา แล้วถามเขาว่างานเลี้ยงที่คลับเฮ้าส์ฮุยหวงนั้นจบลงแล้วหรือยัง
ชายชราตอบว่างานเลี้ยงเพิ่งจบและเขาเพิ่งจะถึงบ้านและเขาก็ขอบคุณเย่เฉินสำหรับวันนี้ที่ทำให้เขานั้นได้มีหน้ามีตา
เมื่อเย่เฉินกลับบ้านหลังจากที่ซื้อผักแล้ว เซียวฉางควนก็ได้นั่งอยู่ที่ห้องนั่งเล่น ถือถ้วยชาอยู่ เขาฮัมเพลงเล็กน้อยด้วยใบหน้าที่มีความสุข
เมื่อเห็นเย่เฉินกลับมา เขายิ้มทันทีและพูดว่า “โอ้ ลูกเขยที่รักของฉันกลับมาแล้ว!”