มหายุทธ์ สะท้านภพ บทที่ 800
สวบ!

ตัวสำนึกของเขาได้จับเห็นเงาร่างสีแดงโลหิตกำลังพุ่งกระโจนเข้าหาตนเอง เขาไม่แม้แต่จะคิด และได้ใช้ทักษะยุทธ์หมัดกระบี่ออกมาทันที

ปัง!

หลัวซิวรู้สึกเหมือนว่าหมัดของตนเองได้ต่อยลงไปบนของขลังที่แข็งแรงชิ้นหนึ่ง แรงสะท้อนกลับอันทรงพลัง ทำให้กระดูกนิ้วมือของเขาเจ็บปวดขึ้นมาเป็นระยะ

เขาลืมตาขึ้นมาในทันที ภายในใจรู้สึกหวาดระแวงเล็กน้อย ร่างเนื้อของเขาได้บรรลุถึงขีดจำกัดของร่างยุทธ์แดนมหายุทธ์เป็นที่เรียบร้อย แม้ว่าการจู่โจมอย่างกะทันหันในเมื่อสักครู่จะไม่ได้รวบรวมพลังกฎความตายเข้าไปด้วย แต่อานุภาพก็สามารถทัดเทียมได้กับพลังการจู่โจมของเจ้ายุทธจักรโดยทั่วไปแล้ว

ยื่นมือออกไปจับ หลัวซิวได้ล้วงเอากระบี่เสวียนยวนออกมา สังเกตเห็นว่าโลหิตนั้นได้ถูกเขาต่อยลอยออกไป นอนหมอบอยู่บนพื้นที่ห่างออกไปสิบกว่าเมตร

นี่คือสัตว์ร้ายที่มีเกล็ดสีแดงสดห่อหุ้มอยู่ทั่วร่างตัวหนึ่ง มีรูปร่างคล้ายแมว แต่มีขนาดใหญ่กว่า ยาวประมาณสามเมตร

สัตว์ร้ายตนนี้คำรามเบา ๆ และกระโจนเข้ามาอีกครั้ง ครั้งนี้หลัวซิวได้มีการตั้งรับอย่างเต็มที่ ยกมือขึ้นจากนั้นปราณกระบี่อัคคีดำก็ได้ลอยออกมา เสียงผลัวะดังขึ้นหนึ่งครั้ง ทิ้งรอยแผลเอาไว้บนร่างของสัตว์ร้ายตนนี้หนึ่งแผล

สัตว์ร้ายส่งเสียงร้องด้วยความเจ็บปวดออกมา เลือดสด ๆ จำนวนมากได้พุ่งออกมาจากปากแผล เหมือนว่ามันได้รู้ถึงความร้ายกาจของหลัวซิว และบินจากไปในทันที ความเร็วนั้นรวดเร็วอย่างที่สุด พูดได้ว่าไปมาอย่างไร้ร่องรอย

หลัวซิวไม่ได้ตามไป แต่ได้พิจารณาดูโลกที่ล่มสลายแห่งนี้ สถานที่ที่ดวงตาสามารถมองเห็น คือดินแดนที่รกร้างและทรุดโทรม ท้องฟ้าที่มืดสลัวยังเต็มไปด้วยรอยร้าว ราวกับกระจกที่ถูกคนทุบ

มีสายฟ้าและเพลิงพิภพลอยพาดผ่านไปบนขอบฟ้าที่อยู่ห่างไกลออกไปเป็นครั้งคราว ทำลายผืนแผ่นดิน ส่งเสียงดังกระหึ่ม

ครืน!

เกิดเสียงดังกึกก้องไปทั่วท้องฟ้า จากนั้นสายฟ้าสีน้ำเงินที่หนาราวกับถังน้ำได้ร่วงหล่นลงมาจากฟ้า เป้าหมายก็คือจุดที่หลัวซิวยืนอยู่นั่นเอง

แสงสว่างแห่งโทษะของสวรรค์ยิ่งใหญ่เกรียงไกรไร้ขอบเขต ทำให้หลัวซิวสัมผัสได้ถึงอันตรายใหญ่หลวง ขนลุกซู่ไปทั้งตัว

เขากางปีกทิพย์ไร้มลทินออกมาโดยไม่ลังเล และหายไปกับที่ในทันที

หลังจากเสียงดังกระหึ่มได้ผ่านไป ตำแหน่งที่หลัวซิวเคยยืนอยู่นั้นได้ถูกฟ้าผ่าจนเกิดเป็นหลุมลึกมองไม่เห็นก้น แสงแห่งสายฟ้ากระโดดโลดเต้นอยู่ทั่วทุกสารทิศ บดขยี้สุญญากาศ

หลัวซิวสูดลมหายใจเข้าอย่างขนลุก อานุภาพของสายฟ้าในเมื่อสักครู่นั้นยิ่งใหญ่เป็นพิเศษ ต่อให้เป็นร่างยุทธ์แดนมหายุทธ์ช่วงปลาย หากถูกฟ้าผ่าเข้าจริง ๆ หากไม่ตายก็คงพิการ

เขาในตอนนี้นั้นไม่ได้มีผู้เป็นอมตะ หากได้รับบาดเจ็บเจียนตาย ในสถานที่ที่เต็มไปด้วยอันตรายอย่างโลกที่พังทลายแห่งนี้ จะต้องอันตรายอย่างหาที่สุดไม่ได้แน่

“มิน่าเล่าเจ้าแดนหลิวถึงได้บอกว่าฝึกประสบการณ์ในสถานที่แห่งนี้อันตรายยิ่งยอด ดูท่าไม่เพียงอันตรายที่มาจากสัตว์ร้ายและจอมยุทธ์คนอื่น ๆ พลังแห่งฟ้าดินที่ไม่มั่นคงของโลกที่ล่มสลายแห่งนี้ ก็เป็นที่น่ากลัวยิ่งนัก”

พึ่งจะมาถึงแดนดารานอก ก็ได้ถูกสัตว์ร้ายแดงโลหิตโจมตี จากนั้นก็เป็นสายฟ้าที่ผ่าลงมา ทำให้เส้นประสาทของหลัวซิวตึงเครียดขึ้นมา

เขาไม่ได้หยุดอยู่กับที่ เริ่มเดินไปรอบ ๆ ตัวสำนึกได้รักษาสภาพที่ถูกส่งออกไปสำรวจภายนอกเอาไว้ คอยสังเกตอันตรายที่จะเกิดขึ้น

ทันใดนั้นเอง หลัวซิวก็สัมผัสได้ถึงกลิ่นอายของจอมยุทธ์คนอื่นสองคน และในตอนที่เขาสัมผัสได้นั่นเอง เงาร่างมนุษย์สองคนก็ได้ปรากฏขึ้นในสายตาของเขา

นั่นเป็นบุรุษหนุ่มสองคน กระแสพลังจิตแท้รอบกายแผ่ซ่านออกมา ไม่มีการปกปิดเลยสักนิด จากความผันผวนของพลังจิตแท้ หลัวซิวสามารถวินิจฉัยออกมาได้ว่า ทั้งสองคนนี้คนหนึ่งมีผลการฝึกตนที่เจ้ายุทธจักรขั้นกลาง ส่วนอีกคนมีผลการฝึกตนที่เจ้ายุทธจักรขั้นปลาย

และรูปร่างหน้าตาของทั้งสองคนนี้ค่อนข้างจะพิเศษ จมูกแหลม มีนัยน์ตาสีฟ้า และมีผมยาวสีทอง ร่างกายล่ำสันแข็งแรง

“เอะ? เป็นเจ้าหนุ่มที่มีผลการฝึกตนในระดับมหายุทธ์อย่างนั้นหรือ?” ทั้งสองคนเองต่างก็สัมผัสได้ถึงผลการฝึกตนของหลัวซิว ความสงสัยปรากฏขึ้นมาในแววตาทันที