บทที่ 798 กระจกมารโลหิต

เซียนกระบี่มาแล้ว![剑仙在此]

ตอนที่ 798 กระจกมารโลหิต

“ถ้าอย่างนั้นเจ้าคิดว่าการเป็นมนุษย์คนหนึ่งมันคืออะไรเล่า?”

หลินเป่ยเฉินยกมือทำท่าขยับแว่นแบบยอดนักสืบจิ๋วโคนัน

เซียวเซียวอ้าปากออก แต่กลับพูดอะไรไม่ออก

ชายชรามีสีหน้าใช้ความคิด

เขาพยายามจะพูดอะไรบางอย่างออกมาอยู่หลายครั้ง แต่สุดท้าย ขันทีเฒ่ากลับรู้สึกว่าสิ่งที่ตนเองกำลังจะพูดนั้นมันไม่ถูกต้อง จึงได้แต่กล้ำกลืนคำพูดเหล่านั้นกลับลงคอไปอีกครั้ง

คำถามของหลินเป่ยเฉินไม่ใช่เรื่องยากที่จะให้คำตอบ แต่เมื่อเซียวเซียวจะต้องตอบออกมา ชายชรากลับไม่รู้ว่าตนเองสมควรตอบอย่างไรดี

ผ่านไปหลายอึดใจ อดีตบัณฑิตหลวงก็พยายามเรียบเรียงคำพูดตอบออกมาอย่างตะกุกตะกัก “การเป็นมนุษย์ผู้หนึ่งคือการมีชื่อเป็นของตนเอง ไม่จำเป็นต้องเห่าเมื่อถูกสั่งให้เห่า ไม่ต้องคอยประจบประแจงเอาใจผู้ใดตลอดเวลา และมีศักดิ์ศรีสามารถยืนเทียบเคียงกับผู้อื่นได้โดยไม่ต้องละอายแก่ใจ… นะ… นั่นแหละคือความเป็นมนุษย์ในความคิดของข้าน้อยขอรับ…”

หลังต้องทำงานรับใช้ปีศาจใจทรามเหลียงหยวนเตายาวนานหลายสิบปี ความฝันแตกสลายถูกทำลายนับครั้งไม่ถ้วน เซียวเซียวจึงเกือบลืมเลือนไปเสียแล้วว่าความเป็นมนุษย์ที่แท้จริงนั้นคืออะไร

บัดนี้ ชายชราแทบจำความรู้สึกตอนที่ตนเองยังเป็นมนุษย์ผู้หนึ่งไม่ได้แล้ว

หลินเป่ยเฉินส่ายหน้าตอบกลับว่า “ไม่จริง เพียงเท่านั้นยังไม่พอหรอก”

“ยังไม่พอหรือขอรับ?”

“ใช่ มันยังไม่พอ”

“แต่ว่า…”

“ส่วนที่สำคัญที่สุดกลับขาดหายไป”

“มันคืออะไรขอรับ?”

“ฟรีด้อม”

“เอ่อ… หมายถึงอะไรขอรับ?”

“อิสรภาพ”

“อิสรภาพ?”

“ใช่แล้ว การเป็นมนุษย์ที่แท้จริงคือการที่คนเรามีอิสรภาพในการตัดสินใจ มีอิสรภาพในการปฏิเสธ และ… มีอิสรภาพในจิตวิญญาณ” คำพูดของหลินเป่ยเฉินแผดเผาให้หัวใจเซียวเซียวร้อนผ่าวดั่งไฟเผา

ขันทีเฒ่านิ่งเงียบใช้ความคิด

หลังจากนั้นจึงระเบิดเสียงหัวเราะออกมา

ใบหน้าบิดเบี้ยวประดับด้วยรอยยิ้ม

ระหว่างที่หัวเราะอยู่นี้ หยดน้ำตาก็ไหลออกมาจากหางตาของเขา

ขันทีเฒ่าค่อยๆ ยกมือขึ้นมากุมใบหน้าและร้องไห้อย่างเงียบงัน

การสนทนาสั้นๆ กับหลินเป่ยเฉินเป็นแสงสว่างที่ส่องทางในจิตใจอันมืดมนของชายชรา

หลินเป่ยเฉินเห็นดังนั้นก็พูดว่า “ในเมื่อเจ้าเข้าใจก็ดีแล้ว”

สำหรับกับคนผู้หนึ่ง

สิ่งสำคัญก็คือการมีชีวิต และสิ่งสำคัญสำหรับการมีชีวิตคือความรัก ไม่มีสิ่งใดจะล้ำค่ามากกว่าความรัก หรือถ้าจะมี สิ่งนั้นก็คงเป็นอิสรภาพ ขันทีเฒ่าเซียวเซียวดำรงชีวิตโดยปราศจากความรักและอิสรภาพยาวนานหลายสิบปี เพราะฉะนั้นชีวิตของเขาในปัจจุบันนี้จึงต้องการสองสิ่งนี้มากที่สุด

“คุณชายขอรับ ข้าน้อยอยากเปลี่ยนชื่อใหม่ คุณชายได้โปรดตั้งชื่อให้ข้าน้อยด้วย”

ขันทีเฒ่าเซียวเซียวเงยหน้าขึ้นมายกมือปาดน้ำตา แววตากลับมาหนักแน่นมั่นคงอีกครั้ง สีหน้าของเขาประดับด้วยความมั่นใจในตัวเองอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน

“จะให้ข้าตั้งชื่อให้เหรอ?”

หลินเป่ยเฉินมองหน้าชายชราอย่างใช้ความคิด ก่อนจะยกมือเกาหัวแกรกๆ “เฮ้อ อะไรของเจ้าเนี่ย ข้าไม่ใช่พ่อเจ้าสักหน่อย จะไปตั้งชื่อให้เจ้าได้ยังไง… ว่าแต่ว่า เจ้าแซ่อะไรนะ?”

ให้ตายสิ

อย่าบอกนะว่าขันทีเฒ่าเซียวเซียวเห็นเขาเป็นศาสดาผู้นำทางชีวิตไปซะแล้ว

“ข้าน้อยแซ่หลินขอรับ” เซียวเซียวตอบกลับมา

เดี๋ยวนะ?

หลินเป่ยเฉินสะดุ้งโหยง

ปรากฏว่าขันทีเฒ่าเป็นคนตระกูลเดียวกับเขางั้นเหรอ

ถ้าแซ่หลิน งั้นตั้งชื่อเป็น…

“หลินฮุน”

หลินเป่ยเฉินพูดด้วยดวงตาเป็นประกาย

เซียวเซียวก็มีดวงตาเป็นประกายแวววาวเช่นกัน

หลินฮุน?

จิตวิญญาณแห่งอิสระ?

ชายชราเข้าใจความหมายของชื่อนี้ได้ไม่ยาก และนั่นก็ยิ่งทำให้เขารับรู้ว่าหลินเป่ยเฉินเอาใจใส่ตนเองมากแค่ไหน

เมื่อได้รับชื่อใหม่จากเด็กหนุ่ม ขันทีเฒ่าจะ… ไม่ใช่สิ ต่อจากนี้ต้องเรียกว่าหลินฮุนก็ประสานมือทำความเคารพด้วยความนอบน้อม พูดเสียงดังว่า “ขอบพระคุณคุณชายหลินสำหรับการตั้งชื่อให้ข้าน้อยขอรับ จากนี้ไป หลินฮุนผู้นี้จะขอรับใช้คุณชายหลินไปจนวันตาย”

หลินเป่ยเฉินยกมือโบกสะบัดเหมือนไล่แมลงวัน “ข้ายังไม่ได้รับปากสักหน่อยนะว่าจะรับเจ้ามาอยู่ด้วย”

ต้องไม่ลืมว่าหลินฮุนไม่ใช่ตัวดี หากอยากจะมาทำงานรับใช้เขาจริงๆ หลินฮุนก็ต้องพิสูจน์ตัวเองก่อนว่าจะไม่คิดคดทรยศหักหลังกันในภายหลัง

ก่อนอื่น ไปสำรวจดูห้องเก็บสมบัติก่อนดีกว่า

ถ้าในห้องเก็บสมบัติมีทรัพย์สินอยู่มากมาย ค่อยเลือกดูว่าจะเก็บชิ้นไหนกลับมาก่อนบ้าง

และภายใต้การนำทางของขันทีเฒ่าหลินฮุน หลินเป่ยเฉินก็เดินถือจี้กระบี่ทองคำตามลงไปในอุโมงค์ลับใต้ดิน

ตลอดเส้นทาง พวกเขาไม่พบเจอผู้คนเลยแม้แต่คนเดียว

เห็นได้ชัดว่าข่าวเรื่องความพ่ายแพ้ของเหลียงหยวนเตากระจายไปทั่วเมืองแล้ว ขุมกำลังของชายอ้วนที่เคยประจำการอยู่ในพื้นที่เมืองเขตห้าจึงแยกย้ายสลายตัวหลบหนีกันไปอย่างรวดเร็ว บรรยากาศในพื้นที่เมืองเขตห้าขณะนี้เต็มไปด้วยความหมดหวังและความเงียบงันวังเวง

ผ่านไปชั่วเวลาหนึ่งก้านธูป

“ถึงแล้วขอรับ”

หลินฮุนนำทางเด็กหนุ่มเข้าสู่เส้นทางวกวนคดเคี้ยวในอุโมงค์ลับใต้ดิน สุดท้ายก็มาหยุดอยู่ที่หน้าประตูทองสัมฤทธิ์ขนาดใหญ่บานหนึ่ง

เป็นประตูทองสัมฤทธิ์ที่เก่าแก่ยิ่ง

สำรวจดูวัสดุที่ใช้ทำประตูมีความคล้ายคลึงกับกุญแจกระบี่ทองคำไม่น้อย

แต่ประตูบานนี้ได้รับการดูแลรักษาและทำความสะอาดเป็นอย่างดี พื้นผิวของมันจึงเรียบลื่น ไม่มีคราบสนิม ไม่มีคราบสกปรก ลวดลายทุกอย่างยังคงสวยงามมันวาว เห็นได้ชัดถึงลวดลายแกะสลักของมนุษย์และมังกรที่โจมตีต่อสู้กันอยู่บนท้องฟ้า ส่วนบนพื้นดินด้านล่างนั้นก็มีกลุ่มคนกำลังทำพิธีเหมือนกำลังบูชาอะไรบางอย่าง

บานประตูสองฝั่งประกบกันสนิทแนบแน่น

หลินฮุนเคาะมือลงไปบนบานประตูเป็นจังหวะสองครั้ง

ครืด!

ได้ยินเหมือนเสียงกลไกโลหะทำงานอยู่หลังบานประตู

หลังจากนั้น ใจกลางบานประตูก็ปรากฏรูโหว่เป็นรูปทรงจี้กระบี่ทองคำ

“กลไกทั้งหมดก็มีแต่เพียงเท่านี้ขอรับ ประตูทองสัมฤทธิ์บานนี้ได้รับการลงค่ายอาคมเป็นอย่างดี หากไม่มีกุญแจเปิดประตูเข้าไป ต่อให้เป็นเทพเจ้าลงมาจากสวรรค์ ก็ไม่สามารถพังทลายเข้าไปได้เด็ดขาด”

หลินเป่ยเฉินนำจี้กระบี่ในมือแปะเข้าไปในรูโหว่บนประตู

กริ๊ก!

ได้ยินเสียงกลไกหลังบานประตูทำงานอีกครั้ง

แล้วประตูทองสัมฤทธิ์ก็ค่อยๆ อ้าเปิดออก

มวลอากาศวูบหนึ่งพัดมาปะทะใบหน้า

คงไม่มีใครเข้าไปในห้องเก็บสมบัติแห่งนี้ได้สักระยะหนึ่งแล้ว

หลินฮุนเดินตรงเข้าไปด้านในและล้วงหยิบไข่มุกราตรีออกมาเม็ดหนึ่งเพื่อส่องแสงสว่างให้แก่ห้องเก็บสมบัติ

หลินเป่ยเฉินเบิกตาโต จ้องมองไข่มุกราตรีเม็ดนั้นด้วยความเหลือเชื่อ

ไข่มุกราตรีนับเป็นสิ่งของหายาก

มีราคาแพงมาก

คิดไม่ถึงเลยว่าขันทีเฒ่ากลับมีของล้ำค่าเช่นนี้อยู่ในการครอบครอง ก่อนหน้านี้ ชายชราขอสาบานตัวเป็นคนรับใช้ของหลินเป่ยเฉิน งั้นหมายความว่าไข่มุกราตรีเม็ดนี้ก็ต้องเป็นของเขาด้วยสิ?

ไม่ได้ ขืนไปยึดไข่มุกราตรีมาดื้อๆ เดี๋ยวภาพลักษณ์เสียหมด

ก็แค่ไข่มุกราตรีเม็ดเดียวจะเทียบกับของที่อยู่ในห้องเก็บสมบัติของเหลียงหยวนเตาตลอดระยะเวลาหลายสิบปีได้อย่างไร? คนที่ยิ่งใหญ่เช่นหลินเป่ยเฉินจะมาเห็นแก่ของเล็กๆ น้อยๆ ไม่ได้เด็ดขาด…

ระหว่างที่หลินเป่ยเฉินกำลังใช้ความคิดอยู่นี้ เขาก็ได้ยินเสียงหลินฮุนอุทานออกมาด้วยความตกใจ

หลินเป่ยเฉินหลุดออกจากภวังค์และหันหน้าไปมอง

อุทานตกใจอะไรหว่า?

เกิดอะไรขึ้น?

ปรากฏว่าห้องเก็บสมบัติขนาดใหญ่โตห้องนี้

ไม่มีทองคำหรืออัญมณีสิ่งของล้ำค่า

ไม่มีกองศิลาบูชา

ไม่มีอาวุธวิเศษ

แทบไม่มีอะไรตรงตามที่จินตนาการไว้สักอย่างเดียว

ใจเย็นๆ ก่อน

อย่าเพิ่งตื่นตูม

ลองสำรวจดูรอบๆ ก่อนดีกว่า

หลินเป่ยเฉินเพ่งตาจ้องมองรอบกายอย่างระมัดระวัง

ห้องเก็บสมบัติแห่งนี้มีผนังราบเรียบราวกับกระจก บนผนังไม่ปรากฏร่องรอยการลงค่ายอาคม บนพื้นหินก็มีลักษณะราบเรียบราวกับแผ่นกระจก และขณะนี้ เงาของชายชรากับเด็กหนุ่มที่ส่องสว่างด้วยแสงจากไข่มุกราตรีก็กำลังสะท้อนทาบทับลงบนพื้นหินเหล่านี้

ห้องเก็บสมบัติมีความสะอาดอย่างน่าประหลาดใจ

แต่โชคดีที่หลินเป่ยเฉินมีความไวของสายตาดีมากพอที่จะเห็นแสงสะท้อนวิบวับจากบริเวณกลางห้อง เมื่อเดินเข้าไปดู ถึงได้รู้ว่ามันเป็นแสงสะท้อนจากเสาหินสองต้นขนาดความสูงเท่ากับครึ่งตัวมนุษย์ และพื้นผิวด้านบนเสาหินก็ราบเรียบใช้เป็นที่ตั้งสิ่งของเสาละหนึ่งชิ้น

เสาหินฝั่งซ้ายมือเป็นที่ตั้งของหีบสีดำเล็กๆ ใบหนึ่ง

ส่วนเสาหินฝั่งขวามือเป็นที่ตั้งของกระจกทองสัมฤทธิ์ขนาดเท่าฝ่ามือบานหนึ่ง

หืม?

กระจกบานนี้มัน…

เหมือนเขาจะเคยเห็นที่ไหนมาก่อนเลยแฮะ?

หลินเป่ยเฉินพยายามทบทวนความทรงจำ จากนั้นก็นึกขึ้นมาได้ว่าเขาเคยเห็นกระจกบานนี้จากลวดลายแกะสลักบนประตูทองสัมฤทธิ์หน้าห้องเก็บสมบัตินั่นเอง มันเป็นกระจกที่อยู่ในพิธีกรรมของชาวเมืองซึ่งกำลังบูชาอะไรบางอย่างระหว่างที่มีมนุษย์กำลังต่อสู้อยู่กับมังกรบนท้องฟ้า

ว่าแต่กระจกบานนี้เอาไว้ใช้ทำอะไรกัน?