ตอนที่ 922 พลังที่แท้จริงอันน่าหวาดหวั่นของเด็กสาว

Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์

ปึง!

ศพของหลี่ชิงฮวนถูกโยนทิ้งไป กระแทกเข้ากับพื้น ใบหน้าก่อนตายยังเต็มไปด้วยความตื่นตะลึงและงงงวยดังเดิม

เขาคิดไม่ถึงว่าตนจะมีช่วงเวลาอ่อนแอเช่นนี้ได้

ยิ่งคิดไม่ถึงว่าเขาจะเดินตามรอยมู่เจี้ยนถิง ถูกเด็กสาวที่ปรากฏตัวขึ้นกะทันหันคนหนึ่งสังหารในการโจมตีเดียวเช่นกัน

ไม่ว่ามู่เจี้ยนถิงหรือหลี่ชิงฮวน ล้วนเป็นถึงบุคคลแห่งยุคในหมู่คนรุ่นเยาว์ของแดนฐิติประจิม พรสวรรค์เหนือคนทั่วไป พลังต่อสู้ล้ำเกินผู้ใด ทั้งมาจากสำนักเก่าแก่ ครอบครองไพ่ตายที่สามารถรักษาชีวิตได้

แต่ตอนนี้พวกเขาไม่ทันได้ใช้พลังที่อยู่ในครอบครอง ก็ถูกสังหารในการโจมตีเดียวแล้ว วิธีฆ่าคนที่เรียบง่ายและปราดเปรียวปานนั้น น่าตื่นตระหนกเกินไปอย่างไม่ต้องสงสัย

นางเป็นใครกันแน่

หรือเป็นผู้มีปราณระดับราชันผู้หนึ่ง

แต่เห็นได้ชัดว่าพลังปราณของนางอยู่ในระดับกระบวนแปรจุติ เพียงแต่ดูมีเอกลักษณ์ถึงที่สุด ประหนึ่งตัวนางอยู่ท่ามกลางความมืดมิด ไม่ได้อยู่ในโลกนี้

ความกระวนกระวายยากบรรยายผุดขึ้นในจิตใจของพวกซางเจี่ย ศุภโชคอันดับหนึ่งอยู่ตรงหน้า แต่เมื่อรับรู้ได้ว่าชีวิตประสบกับภัยคุกคามร้ายแรง พวกเขาก็ไม่อาจสนใจสิ่งเหล่านี้

“หนี!”

พวกเขาไม่ต้องปรึกษากันแต่อย่างใดก็สลายตัวหนีไปทั่วทิศ พุ่งออกไปยังใต้แท่นมรรค

สวบ!

เพียงแต่การเคลื่อนไหวของเด็กสาวว่องไวยิ่งกว่าพวกเขา ฉับพลันทันใดก็ปรากฏตัวหน้าทางออกของเส้นทางที่ผ่านไปยังใต้แท่นมรรคสายนั้น ถือทวนม่วงกั้นขวางอยู่

รอบกายนางโอบล้อมไปด้วยแสงรัตติกาลนิรันดร์ ราวกับความมืดมิดปกคลุมที่นั่น ครู่เดียวก็ทำให้พวกซางเจี่ยต่างหน้าเปลี่ยนสี

และตอนนี้ แม้แต่ผู้แข็งแกร่งที่ล้อมโจมตีไป๋หลิงซีอยู่ไกลออกไปก็ล้วนฉงน ละจากไป๋หลิงซีไปอย่างไม่ลังเล เลือกระมัดระวังและป้องกันตัว

เด็กสาวผู้นั้นลึกลับและน่ากลัวเกินไป ทำให้พวกเขารับรู้ได้ถึงความรุนแรงของปัญหา

ไป๋หลิงซีฉวยโอกาสนี้ปลีกตัวมาตรงหน้าหลินสวินในที่สุด

นางได้รับบาดเจ็บไปทั้งตัว ใบหน้างามซีดเผือดแทบโปร่งแสง แต่ตอนนี้ก็ตื่นตระหนกระลอกหนึ่งด้วย ไม่อาจคาดคิดได้เช่นกันว่าเด็กสาวเช่นนี้หลินสวินไปหามาจากไหนกัน เหตุใดถึงแข็งแกร่งปานนี้

“เจ้าตั้งรับอยู่ตรงนั้น ไม่กังวลว่าพวกเราจะไปฆ่าหลินสวินหรือ” มีผู้แข็งแกร่งเอ่ยปาก สีหน้าอึมครึมหาใดเทียบ สายตาไหววูบ

ต่อสิ่งนี้ การตอบโต้ของซย่าจื้อเรียบง่ายนัก นางขว้างทวนม่วงในมือออกไป

วู้มๆๆ!

ห้วงอากาศระเบิดแหลก แปรสภาพเป็นกระแสแปรปรวน ไม่รู้ว่าทวนม่วงนั้นเป็นสมบัติชั้นไหนถึงได้น่ากลัวหาใดเทียบ มีอานุภาพสังหารสรรพสิ่ง แข็งแกร่งเกินต้านทาน

ปึก!

ผู้แข็งแกร่งที่เอ่ยปากข่มขู่ผู้นั้นยังไม่ทันได้หลบหนีก็ถูกโจมตีทะลุร่าง ล้มหน้าหงายลงไปกับพื้น

มีบุคคลแห่งยุคตายไปคนหนึ่งแล้ว!

สำหรับผู้ฝึกปราณคนอื่นในปัจจุบันแล้ว เหล่าบุคคลแห่งยุคอย่างซางเจี่ยเหมือนยอดเขาสูงที่ปีนข้ามได้ยาก ไม่อาจหวั่นไหว

แต่ด้วยน้ำมือของซย่าจื้อ พวกเขากลับเหมือนของไร้ราคา ไม่อาจต้านทานการโจมตีได้!

การโจมตีเดียวก็นำพาให้วิญญาณดวงหนึ่งหลุดลอยไป ตั้งแต่เริ่มจนจบยังไม่ได้พูดเลยสักคำ ท่วงท่าเรียบเฉยและแปลกแยกนั้นดูน่ากลัวอย่างยิ่งในสายตาทุกคนอย่างไม่ต้องสงสัย

แผ่นหลังของพวกเขาเหงื่อกาฬแตกพลั่ก ในใจบีบคั้นถึงที่สุด รู้สึกถึงความคุกความอย่างรุนแรง แม้ในมือพวกเขาแต่ละคนล้วนมีไพ่ตายที่ทรงพลังก็ตาม

แต่ในตอนนี้พวกเขากลับสูญเสียความมั่นใจ ไม่แน่ใจว่าจะสลายภยันตรายได้หรือไม่

สวบ!

เพียงแต่ในตอนที่พวกเขากำลังลังเลว่าจะเอาชีวิตเข้าแลกดีหรือไม่นั้น ซย่าจื้อกลับเคลื่อนไหวก่อนแล้ว

นางเหมือนหมดความอดทน หมายจะรีบสู้ให้จบๆ ไป ควบคุมทวนม่วงในมือ เงาร่างคลุมเครือเยื้องย่างอยู่ในที่นั้น

มีคนยินดีปรีดา นึกว่าพบความเป็นไปได้ที่จะหลบหนี

แต่ยังไม่ทันฝ่าไปถึงทางออกก็ถูกสังหารตายคาที่ เลือดสดๆ ย้อมพื้นดินให้เป็นสีแดง

ในระหว่างนี้ผู้แข็งแกร่งคนนี้ก็ต่อต้านและได้ใช้ไพ่ตายแล้ว แต่ทุกอย่างดูสูญเปล่าและไร้ประโยชน์

เด็กสาวราวหมื่นวิชาไม่อาจกล้ำกราย ตัวนางอยู่ในราตรีนิรันดร์มืดมิด เมื่อปล่อยทวนม่วงออกมาต้องเป็นการโจมตีที่ชี้เป็นชี้ตายครั้งหนึ่ง มีพลังสังหารที่น่าสะท้านขวัญ

พวกซางเจี่ยย่อมไม่สามารถนั่งรอความตายได้ ต่างทุ่มสุดตัวใช้ไพ่ตาย ชั่วครู่เดียวในพื้นที่นี้ก็มีแสงเทพเปล่งประกายสะดุดตา สมบัติโบราณนานาชนิดเริงระบำ สภาพการณ์น่าพรั่นพรึง

ฮูม!

เด็กสาวยกมือโบกสะบัด ร่มดำก็ทะยานขึ้นฟ้า ปล่อยแสงราตรีนิรันดร์มืดมิดทำลายหมื่นวิชา ขวางกั้นสมบัติโบราณและการสังหารทั้งมวล มหัศจรรย์ถึงที่สุด

พรูด!

และในระหว่างนี้นางก็ฝ่าสังหารต่อไป ทุกชั่วพริบตาจะต้องปลิดชีพคู่ต่อสู้ได้คนหนึ่ง เลือดสดๆ ผลิบานออกมาไม่ว่างเว้นคล้ายดอกไม้ไฟ งดงามน่าหวาดหวั่นและพาให้ผู้อื่นสิ้นหวัง

นี่เป็นการต่อสู้เสียที่ไหน เห็นได้ชัดว่าเป็นการสังหารหมู่ที่ฝ่ายหนึ่งเหนือกว่าโดยสิ้นเชิง!

หากแพร่งพรายไปยังโลกภายนอก ต้องก่อให้เกิดพายุลูกใหญ่อย่างไม่เคยมีมาก่อน ตื่นตระหนกไปทั้งใต้หล้า!

……

หลินสวินสูดหายใจเยียบเย็น ทำใจเชื่อได้ยาก

เห็นได้ชัดว่าพลังของซย่าจื้อล้ำเกินขอบเขตของระดับกระบวนแปรจุติไปแล้ว แต่พลังปราณที่นางสำแดงออกมากลับเป็นระดับกระบวนแปรจุติดังเดิม

ทั้งหลินสวินยังมั่นใจว่า พลังต่อสู้ที่ซย่าจื้อมี เกรงว่าขนาดตนยังไม่อาจเทียบเคียงได้

‘นี่เป็นพลังระดับไหนกัน’

หลินสวินไม่รู้ชัด สิ่งเดียวที่แน่ใจได้คือ ซย่าจื้อไม่ได้เหยียบย่างลงบนมกุฎมรรคา แต่พลังที่นางครอบครองแข็งกล้ากว่า ถึงทำให้อานุภาพที่นางสำแดงออกมาแข็งแกร่งปานนั้น

อีกด้านหนึ่งไป๋หลิงซีก็หน้าเปลี่ยนสีเช่นกัน จิตใจสงบลงได้ยาก ฝึกปราณมาจนถึงตอนนี้ นางยังไม่เคยพบเรื่องพิสดารและน่าตื่นตระหนกเช่นนี้มาก่อน

เด็กสาวผู้หนึ่งมองเหล่าบุคคลแห่งยุคราวไม่มีอยู่ เข้าสังหารราวผักปลา ภาพนองเลือดแต่ละภาพนั้นไม่เหมือนจริง ดุจฝันร้ายครั้งแล้วครั้งเล่า

……

ไม่รู้ตั้งแต่เมื่อไร พวกจี้ซิงเหยา ลั่วเจีย ซื่ออวิ๋นต่างรามือแล้ว

เดิมพวกเขาคิดว่าหากคว้าจังหวะล้ำเลิศไว้ก็จะถือโอกาสนี้ชิงระฆังสำริดบนโต๊ะนั้นไปได้ แต่ไม่คิดว่าจะยังคงเป็นสภาวะตะลุมบอนกันเอง ใครก็ไม่อาจได้เปรียบ

อีกทั้งในการสังหารดุเดือด พวกเขาก็ได้รับบาดเจ็บไปไม่มากก็น้อยแล้ว

กระทั่งยามสังเกตเห็นว่าซย่าจื้อปรากฏตัวขึ้นกะทันหัน แล้วจากนั้นก็ใช้ท่วงท่าเด็ดขาดกวาดโจมตีทั้งที่นั้น พวกเขาก็สั่นสะท้าน เกิดคลื่นซัดสาดในใจเช่นกัน

ก่อนหน้านี้ตอนหลินสวินสังหารอวี่หลิงคง ก็สำแดงอานุภาพสะท้านโลกาออกมาแล้ว

แต่ตอนนี้ เด็กสาวลึกลับที่ปรากฏตัวอย่างกะทันหันดูเหมือนจะยิ่งน่ากลัวขึ้นไปอีก ตั้งแต่เริ่มจนจบ ยังไม่มีใครสามารถขัดขวางการสังหารของนางได้สักคน!

ด้วยความหวั่นกลัวและระแวดระวังโดยสัญชาตญาณ พวกเขาล้วนหยุดมือ เผชิญหน้ากับสถานการณ์ที่พลิกผันอย่างระมัดระวังโดยไม่ได้นัดหมาย

……

โลหิตสาดกระเซ็น เสียงร้องโหยหวนสะท้อนก้อง

เหนือแท่นมรรคราวกับแปรสภาพเป็นขุมนรกนองเลือด

ซย่าจื้อสวมชุดคลุมสีดำทั้งตัว เงาร่างคลุมเครือ ทวนม่วงเรียบง่าย ระหว่างที่นางเดินไปมา ดูเหมือนแช่มช้า แต่แท้จริงแล้วว่องไวถึงที่สุด ราวกับเคลื่อนไหวในชั่วกะพริบตา

ที่น่าเหลือเชื่อที่สุดก็คือ เท้าเปลือยเปล่าคู่นั้นของนางยังผ่องแผ้วเปล่งปลั่ง ไม่แปดเปื้อนโลหิตและฝุ่นธุลีสักนิด

แต่รอบกายนางกลับปกคลุมไปด้วยแสงราตรีนิรันดร์ พื้นดินนองเลือด เท้างามขาวสะอาด เงาร่างอ้อนแอ้นประหนึ่งตัดออกมาจากรัตติกาลชั่วกัลป์ ร่วมกันถักทอให้เป็นภาพที่ทั้งประหลาดและน่าพรั่นพรึงภาพหนึ่ง

ส่วนภายในภาพนั้น ซย่าจื้อก็เหมือนราชันองค์หนึ่งผู้ย่ำเหยียบในความมืด สันโดษโดดเดี่ยว แต่กลับเป็นนายเหนือรัตติกาลนิรันดร์นี้

ปึก!

ผู้แข็งแกร่งคนสุดท้ายถูกสังหาร ศพล้มลงไปในกองเลือด

กระทั่งตอนนี้ทุกคนถึงราวกับเพิ่งตื่นจากฝัน เมื่อเห็นศพเต็มพื้น กองเลือดแดงฉาน รวมถึงเด็กสาวตัวคนเดียวที่ยืนอยู่ภายในนั้น ความเย็นยะเยือกที่ไม่เคยมีมาก่อนก็ถาโถมสู่จิตใจของทุกคน

นี่เป็นเด็กสาวเช่นไรกันแน่

ไม่มีใครรู้

รวมถึงหลินสวิน ก็ไม่เคยรู้ที่มาที่ไปของซย่าจื้ออย่างแท้จริง

“ที่แท้ ก็เพื่อช่วงชิงสมบัติชิ้นนี้”

ทันใดนั้น ซย่าจื้อก็ทอดสายตาไปยังระฆังสำริดที่อยู่บนโต๊ะไกลออกไปชิ้นนั้น

ชั่วครู่เดียวประสาทสัมผัสของพวกจี้ซิงเหยา ลั่วเจียก็ระแวดระวังขึ้นมา เตรียมพร้อมลงมือ ซย่าจื้ออาจจะมีพลังแกร่งกล้าที่ไม่อาจคาดคิด แต่พวกเขาก็มีไพ่ตายที่สามารถเทียบเคียงได้เช่นกัน

เพียงแต่ไม่ถึงเวลาชี้เป็นชี้ตาย ใครก็ไม่อาจใช้ได้โดยง่าย

ดวงตาหลินสวินก็หรี่ลง หากเกิดการต่อสู้ระหว่างซย่าจื้อกับพวกจี้ซิงเหยา ในใจเขาก็กระวนกระวายอยู่บ้าง

ไม่ว่าจะเป็นจี้ซิงเหยาหรือว่าลั่วเจีย ล้วนมีพื้นเพพลังที่ไม่ด้อยไปกว่าอวี่หลิงคง ทั้งยังเป็นไปได้สูงที่จะครอบครองสมบัติอริยะ

ประมือกับพวกเขา เพียงอาศัยการประชันด้านพลังนั้นเป็นเรื่องที่ทำไม่ได้โดยสิ้นเชิง

อย่างตัวหลินสวินเอง แม้สังหารอวี่หลิงคงได้สำเร็จ แต่สุดท้ายก็ยังถูกตำหนักอมตะทำให้บาดเจ็บสาหัส ส่งผลให้สถานการณ์ของตัวเองแปรเปลี่ยนเป็นอันตรายถึงที่สุด

ดังนั้นหลินสวินจึงไม่อยากให้เรื่องทำนองเดียวกันเกิดขึ้นกับซย่าจื้ออีก

เพียงแต่เหนือความคาดหมายของทุกคน ในเวลาเช่นนี้เสียงเฉยชาที่เงียบเชียบมานานแล้วนั้นดังขึ้นเองอย่างหาได้ยากนัก…

“มรรคาไม่สมกัน ไร้วาสนากับศุภโชค ขอถอย!”

ทันใดนั้นคิ้วงามของซย่าจื้อขมวดขึ้น พลังน่าหวาดหวั่นไหวเคลื่อนในดวงตาใสกระจ่าง

ส่วนพวกจี้ซิงเหยาและลั่วเจียก็อึ้งงันไปก่อน จากนั้นต่างเหมือนยกภูเขาออกจากอก ยินดีปรีดาเกินคาด นี่พิสูจน์ได้อย่างไม่ต้องสงสัยเลยว่า เด็กสาวคนนั้นสูญเสียคุณสมบัติที่จะแย่งชิงศุภโชคอันดับหนึ่งไปแล้ว!

เมื่อลองถามตัวเองดู ใครก็ไม่ต้องการประลองกับซย่าจื้อ ภาพแต่ละภาพที่เกิดขึ้นเมื่อครู่ทำให้พวกเขาล้วนรับรู้ได้ถึงความแข็งแกร่งของนาง นอกจากจะไม่มีทางเลือกจริงๆ ใครก็ไม่อยากสู้กันชนิดเอาชีวิตเข้าแลก

“พวกเราไปกันเถอะ!”

และในตอนนี้เอง หลินสวินก็ดึงไป๋หลิงซีแล้วรีบรุดไปยังทางออกแท่นมรรค

ซย่าจื้ออึ้งไป “ไม่เอาแล้วหรือ”

“รักษาชีวิตสำคัญกว่า” หลินสวินพูดพลางคว้าท่อนแขนของซย่าจื้อเดินลงไปที่ฐานแท่นมรรค

ซย่าจื้ออดไม่ได้หันหน้ากลับมา มองระฆังสำริดที่อยู่บนโต๊ะนั้นครั้งหนึ่ง สุดท้ายก็ห้ามใจไว้แล้วตามหลินสวินจากไปด้วยกัน

แต่ก่อนนางก็เป็นเช่นนี้ ขอเพียงหลินสวินอยู่ นางไม่เคยสนใจเรื่องอื่น

ก็เหมือนคำที่นางเคยพูดไว้ตอนนั้นว่าโลกของนางเล็กนัก ยอมให้หลินสวินอยู่ได้เพียงผู้เดียว

การจากไปอย่างกะทันหันของหลินสวินก็ทำให้พวกจี้ซิงเหยา ลั่วเจียเหลือเชื่อเช่นกัน ผ่านการสังหารและภยันตราย ในที่สุดก็อดทนมาได้ถึงตอนนี้ จะยอมแพ้เช่นนี้แล้วหรือ

หากจะเป็นเช่นนี้ เหตุใดยังต้องสู้ตายกับอวี่หลิงคง

ทั้งเหตุใดถึงต้องถูกตำหนักอมตะนั่นทำร้ายจนบาดเจ็บสาหัส แทบจะตกอยู่ในสถานการณ์คับขันด้วย

จ่ายค่าตอบแทนมากมายเช่นนี้ จะยอมแพ้ไปเช่นนี้ได้จริงๆ หรือ

……

แน่นอนว่าหลินสวินไม่ยินยอม แต่เขารู้ดีว่าซย่าจื้อเสียคุณสมบัติที่จะไปแย่งชิงแล้ว ส่วนตนได้รับบาดเจ็บสาหัสยังไม่หาย ไป๋หลิงซีก็บาดเจ็บสะสมเพราะมาช่วยตน ถ้าไปแย่งชิงศุภโชคกับพวกจี้ซิงเหยาย่อมมีความหวังริบหรี่แน่

ดังนั้นหลินสวินจึงยอมแพ้อย่างแน่วแน่ถึงที่สุด

แน่นอนว่ายังมีเหตุผลที่สำคัญยิ่งกว่าอีกเหตุผลหนึ่ง นั่นก็คือวันนี้มีบุคคลแห่งยุคตายไปมากเกินไปแล้ว คนใหญ่คนโตที่หนุนหลังพวกเขาแต่ละคนต่างรอคอยอยู่ที่โลกภายนอก ทันทีที่ศุภโชคคราวนี้ปิดฉากลง ยามเดินออกไปจากเขาพยับครามนี้ ต้องพบกับการเอาคืนและโจมตีที่คาดไม่ถึงแน่

ดังนั้น ต้องออกไปก่อน!

ไม่เช่นนั้นหากรอจนเทศกาลโคมกถามรรคครั้งนี้ปิดฉากลงแล้วค่อยไป ก็จะสายไปแล้ว

แม้ศุภโชคอันดับหนึ่งชิ้นนั้นจะเย้ายวนใจหาใดเทียบ แต่ก็ต้องมีชีวิตไปช่วงชิง หลินสวินไม่ได้คิดจะเอาชีวิตน้อยๆ ของตนมาทิ้งไว้ที่นี่

——