บทที่ 610 เจ้าใหญ่กับเหม่ยเจี่ยกลับมาแล้ว

ทะลุมิติไปเป็นชาวสวนแม่ลูกสาม

บทที่ 610 เจ้าใหญ่กับเหม่ยเจี่ยกลับมาแล้ว

สะใภ้ใหญ่พูดกับหลินชิงเหอถึงตรงนี้ก็วางสายไป ในใจก็ค่อย ๆ ผ่อนคลายลง

เพียงแต่พอกลับมาบ้าน สีหน้าก็ยังดูไม่ดีเท่าไหร่นัก

โจววั่งลูกชายคนเล็กของหล่อนเห็นแล้วจึงพูดขึ้น “แม่ครับ แม่ไม่ต้องทุกข์ใจหรอกครับ นั่นเป็นบ้านรองไม่เกี่ยวอะไรกับบ้านเราเลย อีกอย่างตอนที่สามีพี่เอ้อร์นีกลับมาพี่ลิ่วนีก็ก่อเรื่องด้วยเหมือนกันไม่ใช่เหรอครับ สามีพี่เอ้อร์นีเขายังไม่คิดมากอะไรเลย”

ไม่ใช่ว่าสะใภ้ใหญ่โจวโกรธเคืองเรื่องนี้ด้วยหรืออย่างไร?

บ้านรองไม่เคยจะหยุดสร้างเรื่องเลยจริง ๆ ครั้งแรกตอนที่สามีของเอ้อร์นีมาที่นี่ ก็เกิดเรื่องท้องก่อนแต่งจนฉาวโฉ่ไปทั่วชนบท

ตอนนั้นหน้าของสะใภ้ใหญ่โจวแดงด้วยความอับอายไปหมดแล้ว

สร้างเรื่องวุ่นวายจนกลายเป็นเรื่องใหญ่ขนาดนี้ แม้ว่าจะแยกบ้านไปแล้ว แต่สุดท้ายแล้วพวกเขาก็ยังเป็นครอบครัวสายหลักของตระกูลโจว!

โชคดีที่สามีของเอ้อร์นีไม่ได้เก็บมาใส่ใจอะไร ชีวิตความเป็นอยู่ภายในบ้านยังถือว่าดีมาก

ดังนั้นสะใภ้ใหญ่โจวจึงขี้เกียจจะคิดเล็กคิดน้อยกับบ้านรอง ครั้งก่อนลูกสาวคนรองกลับมาก็เกิดเรื่องขึ้นกับบ้านรอง มาคราวนี้พอลูกสาวคนที่สามของหล่อนกลับมา ก็ยังคงเป็นบ้านรองที่ไม่หยุดสร้างเรื่องเสียทีอีกแล้ว

แล้วอย่างนี้จะไม่ให้สะใภ้ใหญ่โจวกลุ้มใจได้อย่างไร?

จากนั้นสะใภ้รองที่ไม่หยุดหาเรื่องก็มาขอความช่วยเหลือจากหล่อน “พี่สะใภ้ใหญ่ เรื่องนี้พี่ต้องเป็นคนออกหน้าให้ฉันนะคะ พี่ต้องช่วยฉันพูดเกลี้ยกล่อมเหมี่ยวเหมี่ยว จะให้เกิดการหย่าขึ้นไม่ได้นะคะ!”

ถ้าหย่ากันแล้วพวกเขาคงจะเสียหน้ามาก ไม่ง่ายเลยที่ลูกชายคนโตจะได้แต่งงานกับภรรยาในเมืองจนหล่อนหน้าชื่นตาบานได้หน้าในชนบทไม่น้อย ดังนั้นจะให้พวกเขาหย่าขาดกันได้อย่างไร นี่ถ้าหย่ากันแล้ว หล่อนคงรู้สึกเหมือนฟ้าถล่มลงมาเป็นแน่

สะใภ้ใหญ่โจวรำคาญหล่อนแทบแย่ พูดว่า “สะใภ้รอง เธอประเมินพี่สูงไปแล้ว ลูกสะใภ้ของเธอตั้งแต่แต่งงานเข้าบ้าน หล่อนก็ไม่เคยมาเหยียบที่บ้านพี่แม้แต่ก้าวเดียวด้วยซ้ำ หล่อนวางมาดไม่รู้ไม่ชี้ราวกับตัวเองเป็นเจ้าหญิงขนาดนี้ แม้แต่แม่สามีหล่อนยังไม่เห็นอยู่ในสายตาเลย เธอมาพูดเรื่องนี้กับพี่จะไปมีประโยชน์อะไรกันล่ะ”

สะใภ้ใหญ่ไม่เพียงรำคาญสะใภ้รอง แต่ยังไม่รู้สึกประทับใจในตัวของสะใภ้คนนั้นด้วย แต่เรื่องนั้นไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับหล่อน เนื่องจากครอบครัวพวกเขาต่างคนต่างอยู่กันแล้ว ไม่มีใครสามารถขวางทางใครได้เช่นกัน

แต่ถ้าให้หล่อนไปพูดเรื่องนี้ให้อย่างไรก็ไม่มีทางเสียหรอก หล่อนไม่อยากหาเรื่องใส่ตัวโดยไม่มีเหตุผลอย่างนั้น

“สะใภ้รอง ถ้าไม่มีธุระอะไรแล้วก็กลับไปเถอะจ๊ะ ฉันยุ่งอยู่น่ะ” สะใภ้ใหญ่พูดอย่างไม่ทุกข์ไม่ร้อน

สะใภ้รองโจวทำได้เพียงกลับบ้านไป แต่ในใจกลับยิ่งรู้สึกไม่พอใจ ตอนนี้บ้านหลักตระกูลโจวไปอยู่ที่ปักกิ่งแล้ว นี่พวกเขาจะไม่นับบ้านรองของพวกหล่อนเป็นญาติแล้วสินะ แม้แต่เรื่องเล็กน้อยก็ไม่ช่วยกันเลย!

สะใภ้รองคิดอะไรอยู่นั้นสะใภ้ใหญ่ไม่ขอรับรู้อะไรทั้งสิ้น หรือต่อให้รู้แล้วหล่อนก็ขี้เกียจเกินกว่าจะสนใจเช่นกัน แต่ละคนก็อายุป่านนี้แล้ว ไม่จำเป็นต้องเสแสร้งใส่กันอีก

ถ้าอยู่ด้วยกันได้ก็ดีไป ถ้าไม่ได้ก็ถือว่าให้มันแล้วกันไปเถอะ!

เพราะอีกไม่นานลูกสาวคนที่สามของหล่อนก็จะกลับมาแล้ว วันนี้สะใภ้ใหญ่โจวก็บอกให้พี่ชายใหญ่โจวเอาจักรยานมาให้ หล่อนจะไปซื้อของจากในเมืองกลับมาที่บ้าน

ต้องซื้อผ้าปูที่นอนใหม่สองชุดกลับไปด้วย เป็นของที่ยังไม่เคยมีคนใช้

และก็แวะมาร้านของสะใภ้สามโจวด้วยเลย

ช่วงนี้เป็นช่วงปลายปีแล้ว กิจการของที่นี่ค่อนข้างจะดีทีเดียว เนื่องจากผู้คนกำลังเตรียมของฉลองปีใหม่กัน แต่ช่วงทำยอดสูงสุดก็ได้ผ่านพ้นไปแล้ว

สะใภ้สามโจวถามหล่อนว่าทำไมถึงมาที่นี่ได้?

สะใภ้ใหญ่โจวจึงบอกว่าโจวซื่อนีจะพาแฟนกลับมาบ้าน สะใภ้สามโจวพอได้ยินก็ดีใจมาก “งั้นก็ไม่เลวเลยจริง ๆ ค่ะ ทั้งเอ้อร์นีทั้งซื่อนีพากันแต่งงานที่ปักกิ่งกันหมดเลย!”

จะว่าไปแล้วจริง ๆ ในใจหล่อนก็อดรู้สึกอิจฉาเล็กน้อยไม่ได้เหมือนกัน หล่อนก็อยากให้อู่นีของหล่อนแต่งงานกับผู้ชายจากเมืองหลวงเหมือนกัน แต่ยัยเด็กอู่นีคนนี้กลับไม่ฟังหล่อน บอกว่าไม่อยากไปเมืองใหญ่อะไรแบบนั้น อยากจะเรียนหนังสือที่เมืองเล็ก ๆ แห่งนี้แหละ

สะใภ้ใหญ่พูดเรื่องโชคร้ายที่เกิดกับบ้านรองขึ้นมา จากนิสัยไม่ยอมอะไรง่าย ๆ ของหม่าเหมี่ยวเหมี่ยว เรื่องนี้จะต้องวุ่นวายมากกว่านี้อีกแน่

หล่อนก็ได้แต่เฝ้ารอให้เรื่องนี้จัดการเสร็จสิ้นก่อนที่ลูกเขยคนที่สามของหล่อนจะกลับมา ไม่อยากให้เรื่องนี้ไม่จบไม่สิ้นต่อไป

สะใภ้สามก็ได้ยินมาแล้วเช่นกัน ครอบครัวของหล่อนไม่ได้รับผลกระทบอะไรมากมาย แต่ก็อดพูดไม่ได้ว่า นี่ถ้ามีลูกเขยกลับมาเยี่ยมบ้านที่ชนบทสักคนแบบนี้ ในใจหล่อนก็คงจะรู้สึกกังวลไม่ต่างกันเลยจริง ๆ

“งั้นเธอทำงานของเธอไปเถอะจ้ะ ฉันจะไปซื้อผ้าปูที่นอนก่อนล่ะ” สะใภ้ใหญ่โจวพูด

“ไปเถอะค่ะ” สะใภ้สามโจวพยักหน้า

เมื่อกลับมาถึงบ้านหล่อนก็เอาเรื่องนี้มาบอกให้พี่ชายสามโจวฟัง พี่ชายสามโจวที่ออกไปเอาสินค้าทุก ๆ วันย่อมต้องรู้เรื่องนี้เป็นธรรมดา เขาพูดขึ้นว่า “ผมเคยเจอภรรยาของเซี่ยเซี่ยครั้งหนึ่ง สิ่งสำคัญไม่ได้อยู่ที่ทำให้เรื่องนี้ยุติลง แต่หล่อนแค่อยากให้ลิ่วนีโขกหัวขอโทษหล่อน ลิ่วนีต้องยอมอ่อนข้อให้หล่อน หล่อนถึงจะพอใจ”

นั่นไม่ผิดเลย หม่าเหมี่ยวเหมี่ยวต้องการให้ลิ่วนีโขกหัวขอโทษตน ไม่อย่างนั้นหล่อนจะไม่ยอมจบเรื่องนี้

แต่ว่าลิ่วนีกลับยกตัวเองเป็นต้นหอม* ขนาดหลังทำเด็กคนหนึ่งแท้ง โจวลิ่วนียังปรบมือชอบใจ อีกนิดก็เกือบจะจุดพลุอยู่แล้ว

พ่อและแม่ของหม่าเหมี่ยวเหมี่ยวก็ไปที่นั่นเช่นกัน ท่าทางของพวกเขาถือว่าไม่เลว เนื่องจากสะใภ้รองโจวอีกนิดเดียวก็เกือบจะหมอบคำนับกับพื้นให้พวกเขาอยู่แล้ว อีกอย่างพวกเขาเองก็รู้ดีถึงนิสัยของลูกสาวตัวเองเช่นเดียวกัน

พวกเขาเห็นว่าโจวเซี่ยลูกเขยคนนี้ไม่เพียงแต่เป็นคนซื่อสัตย์ เขายังมีฝีมือทำงานไม้อีกด้วย พวกเขาก็รู้ว่าลูกสาวตัวเองเป็นอย่างไร อีกทั้งเรื่องที่หม่าเหมี่ยวเหมี่ยวตั้งท้องตัวหล่อนเองก็ยังไม่รู้ตัวเลยด้วยซ้ำ ไม่อย่างนั้นมีหรือที่หล่อนจะมีเรื่องตบตีกับโจวลิ่วนี

และอีกอย่างตอนนี้ก็ยังอายุน้อย จึงไม่คิดอะไรมาก เรื่องอะไรที่มันผ่านไปแล้วก็ให้มันผ่านไป

แต่หม่าเหมี่ยวเหมี่ยวไม่ยอม หล่อนต้องการให้โจวลิ่วนีโขกหัวขอโทษตนให้ได้ ไม่อย่างนั้นหล่อนจะหย่า!

เรื่องนี้ไม่ว่าบ้านใหญ่หรือว่าบ้านสามไม่เคยสอดปากเข้าไปพูดเลยแม้แต่ครึ่งคำ เรื่องของบ้านรองก็ให้พวกเขาจัดการไป พวกเขาไม่มีอะไรให้ต้องพูดอีก

ในตอนที่ชนบทเกิดเรื่องวุ่นวาย โจวข่ายและเวิงเหม่ยเจี่ยก็ได้นั่งรถไฟกลับมาปักกิ่งกันแล้ว

จากกองทัพกลับมาปักกิ่งไม่ใช่ใกล้ ๆ ต้องใช้เวลาเดินทางถึง 3 วัน จึงจะมาถึงปักกิ่งได้ในที่สุด

“ไปที่บ้านของผมก่อน หรือว่าคุณจะกลับบ้านก่อนครับ?” พอลงมาจากรถไฟ โจวข่ายก็เอ่ยปากถาม

“ไปดูน้าหลินกับน้องสาวของคุณก่อนค่ะ เสร็จแล้วคุณค่อยขับรถพาฉันกลับบ้านก็ได้” เวิงเหม่ยเจี่ยพูด

“นั่นก็น้องสาวของคุณเหมือนกัน” โจวข่ายพูด

เวิงเหม่ยเจี่ยยิ้ม และเดินออกมานั่งรถสาธารณะกับเขาตรงไปยังร้านเกี๊ยว

พวกเขากลับมาโดยที่ไม่ได้โทรบอกทางนี้ก่อน ดังนั้นตอนพวกเขามาถึงร้านเกี๊ยว โจวกุยหลายที่ปิดเทอมแล้วรับช่วงต่อร้านเกี๊ยวจากผู้เป็นพ่อก็เห็นพวกเขาแล้วถึงกับตะลึงงัน “เมื่อวานม้ายังบอกอยู่เลยว่าพวกพี่นั่งรถไฟกลับมาแล้วใช่ไหม ผมคิดไม่ถึงว่าพวกพี่จะถึงกันวันนี้นะเนี่ย”

“เรื่องอื่นอย่าเพิ่งพูดเลย ตักเกี๊ยวให้พวกเราคนละชามทีสิ” โจวข่ายวางกระเป๋าเดินทางแล้วพูด

“พี่สะใภ้ใหญ่อยากกินอะไรครับ? เกี๊ยวเนื้อแกะดีไหม?” โจวกุยหลายถาม

เวิงเหม่ยเจี่ยยิ้มแล้วมองค้อนเขาตาขาว “นายอย่าพูดมาก”

“มีเกี๊ยวเนื้อแกะ เกี๊ยวเห็ดหอมเนื้อ เกี๊ยวไข่ใส่เนื้อ แล้วก็พวกเกี๊ยวขึ้นฉ่าย อยากกินอะไรดีครับ?” โจวกุยหลายฉีกยิ้มกว้าง

“เกี๊ยวขึ้นฉ่ายจ้ะ” เวิงเหม่ยเจี่ยยิ้มพูด

“ฉันเอาเกี๊ยวเนื้อแกะที่หนึ่งนะ” โจวข่ายพูด

“พวกพี่นั่งกันก่อนสิ” โจวกุยหลายเริ่มเคลื่อนไหวทำเกี๊ยวอย่างคล่องแคล่ว

โจวข่ายถาม “น้องสาวเป็นเด็กดีไหม? ติดคนรึเปล่า?”

“เป็นเด็กดีมากครับ แค่กินอิ่มตัวสะอาดหล่อนก็ไม่ร้องแล้ว ติดคนก็ติดอยู่หรอกครับ แต่ไม่ติดคนอื่นนะ ติดป๊าของเราเนี่ยแหละ อ้อนป๊าเราเก่งอย่างกับอะไรดี” โจวกุยหลายหัวเราะ

โจวข่ายฟังแล้วก็รู้สึกตาร้อนผ่าว โจวกุยหลายจึงพูดต่อ “พี่รีบไปทำไม กินข้าวก่อนเถอะ กินเสร็จแล้วพวกพี่ก็รีบไปโรงอาบน้ำ แล้วค่อยกลับมาอุ้มหล่อนนะ ไม่อย่างนั้นป๊าไม่ให้พี่อุ้มแน่”

…………………………………………………………………………………………………………………………..

สารจากผู้แปล

สะใภ้จากในอำเภอนี่เหมือนเจ้ากรรมนายเวรของบ้านรองจริงๆ ค่ะ สะใภ้รองแทบจะเป็นทาสในเรือนเบี้ยให้อยู่แล้ว

ลูกสาวคนนี้ป๊าหวงมากนะคะ แม้แต่ลูกชายคนโตยังไม่สำคัญเท่าเลยค่ะ

ไหหม่า(海馬)