บทที่ 496.5 พี่ชายคนดี

กระบี่จงมา! Sword of Coming

แถบอาณาเขตของภูเขากระจกวิเศษ

คนหนุ่มเสื้อผ้าเก่าปอนขาดวิ่นคนหนึ่งเปี่ยมไปด้วยความฮึกเหิม

เพราะข้างกายของเขาคือเทพหญิงท่านหนึ่งที่เดินออกมาจากภาพวาดขุนนางสวรรค์ของนครปี้ฮว่า

เทพเซียนหญิงที่สูงส่งเหนือผู้ใดกลับไม่อาจเดินเคียงไหล่กับเขาได้ ได้แต่ทิ้งระยะห่างไปทางด้านหลังของเขาหนึ่งก้าว

เพื่อรักษาสถานะสูงต่ำที่แตกต่างกัน!

นางเป็นถึงเทพหญิงโปรยพิรุณเชียวนะ!

ไม่เพียงเท่านี้ นางยังบอกกับเขาว่าชื่อของนางคือซูสื่อ ไม่มีแซ่ ภายในระยะเวลาหกสิบปีจะพยายามสุดความสามารถเพื่อช่วยให้เขาเดินขึ้นสู่ที่สูงได้

บุรุษหนุ่มชอบความรู้สึกที่ได้เป็นจุดรวมสายตาของผู้คนมากมาย นับตั้งแต่เดินออกมาจากนครปี้ฮว่าจนกระทั่งเทพหญิงสิงอวี่บอกกับเขาว่าในหุบเขาผีร้ายมีโชควาสนาอย่างหนึ่งที่เป็นของเขารอคอยอยู่ ตอนที่เดินผ่านซุ้มป้ายหินมา ทุกคนต่างก็กำลังมองเขา อีกทั้งยังเป็นสายตาที่มองด้วยความเลื่อมใสอีกด้วย

ในที่สุดเขาก็ไม่ใช่แมลงน่าสงสารที่แบกรับแค้นเลือดไว้กับตัว แต่กลับเรียกฟ้าฟ้าไม่ขาน เรียกดินดินไม่ตอบอีกต่อไปแล้ว

เขาถึงขั้นรู้สึกด้วยว่าความแค้นนั้น เมื่อมีเทพหญิงสิงอวี่คอยติดตามรับใช้ตนแล้ว ก็ดูเหมือนว่าจะไม่หนักหนาเช่นเดิมอีกต่อไป

เทพหญิงที่เรียกตัวเองว่าซูสื่อผู้นี้บอกกับตนว่า ตบะและพลังการต่อสู้ของนางในตอนนี้เท่ากับโอสถทองของผู้ฝึกลมปราณ แต่หากพูดถึงในด้านการป้องกันและรักษาชีวิตสามารถมองเป็นขอบเขตก่อกำเนิดได้

นี่ทำให้เขาเต็มเปี่ยมไปด้วยความมั่นใจ ดังนั้นต่อให้นางจะบอกกับเขาอย่างชัดเจนว่า โชควาสนาที่ภูเขากระจกวิเศษยากจะคาดการณ์ได้ว่าจะดีหรือร้าย เขาก็ยังมั่นคงไม่คลอนแคลน เพราะตอนนี้สวรรค์อยู่ข้างข้าแล้ว!

ตลอดทางล้วนเป็นเขาที่ถาม นางที่ตอบ ทุกเรื่องที่นางรู้นางล้วนพูดอย่างหมดเปลือก

มีเพียงคำถามที่ว่าหญิงสาวที่ยืนอยู่ใต้ภาพวาดฝาผนังผู้นั้นเป็นใครกันแน่เท่านั้น ที่เทพหญิงเลือกจะปิดปากเงียบไม่เอ่ยอะไรแม้แต่คำเดียว

หลังจากขยับเข้าใกล้ภูเขากระจกวิเศษ เทพหญิงสิงอวี่ก็พลันหยุดฝีเท้า สีหน้าเปลี่ยนมาเป็นเคร่งเครียด เงยหน้ามองไปยังกึ่งกลางภูเขา ก่อนจะใช้เสียงในใจบอกกับเขาอย่างช้าๆ ว่า “โชควาสนาครั้งนี้อาจไม่ใช่เรื่องดีเสมอไป เจี่ยงชวีเจียง หวังว่าเจ้าจะพิจารณาอย่างรอบคอบ”

ความตกตะลึงเสี้ยวหนึ่งวูบผ่านใบหน้าของบุรุษหนุ่มไป เพียงแต่ว่าไม่นานสายตาของเขาก็กลับมาเด็ดเดี่ยว กัดฟันเอ่ยว่า “สวรรค์ติดค้างข้ามากมายถึงเพียงนี้ ก็ควรจะคืนกำไรกลับมาให้ข้าบ้าง!”

ส่วนลึกในใจของเทพหญิงมีเพียงเสียงถอนหายใจเบาๆ

ตอนที่พวกเขาเดินผ่านศาลาผุพังแห่งนั้น จิ้งจอกเฒ่าภูเขาตะวันตกที่ถือไม้เท้าไว้ในมือก็ปรากฏตัวอีกครั้ง

สำหรับบุรุษหนุ่มที่สภาพไม่ต่างจากขอทานหยางสักเท่าไหร่นั้น จิ้งจอกเฒ่ามองเมินไปโดยตรง เขาพยายามเบิกตากว้างมองเทพหญิงที่ล่องลอยดุจเซียนผู้นั้น ใต้หล้านี้มีสิ่งมีชีวิตสมควรตายที่รูปโฉมพอจะงัดข้อกับบุตรสาวของตนได้อยู่ด้วยหรือ? ทำไมไม่ไปตายซะ? ขอให้สตรีผู้นี้รีบไสหัวไปที่ลำธารดูดวิญญาณกึ่งกลางภูเขานั่นซะ แล้วก็หัวทิ่มตกลงไปในน้ำ ตายๆ ไปเสียทีเถิด!

จิ้งจอกเฒ่าภูเขาตะวันตกพลันสังเกตเห็นรายละเอียดอย่างหนึ่ง จึงยิ้มถามนางว่า “เทพธิดาท่านนี้ เจ้ากับคุณชายผู้นี้จะขึ้นไปบนภูเขาหรือ?”

แผนการในใจของจิ้งจอกเฒ่าตนนี้ เทพหญิงสิงอวี่มองเห็นได้อย่างชัดเจน

เจี่ยงชวีเจียงยิ้มบางๆ

จิ้งจอกเฒ่าภูเขาตะวันตกพลันกระจ่างแจ้งอยู่ในใจ

คือปลาอ้วนตัวใหญ่ที่โง่เขลาเบาปัญญาตัวหนึ่งจริงๆ ด้วย เทียบกับบุรุษใจดำสวมงอบก่อนหน้านี้แล้วก็รับมือง่ายกว่ามาก

แต่ในเมื่อเป็นเช่นนี้ก็ถือว่าเจ้าเด็กโง่นี่มีโชคของคนโง่ ผู้ฝึกตนตกอับทั่วไป ไหนเลยจะมีสตรีที่งดงามโดดเด่นถึงเพียงนี้คอยติดตามอยู่ข้างกาย อีกทั้งยังสามารถเดินทางมาถึงภูเขากระจกวิเศษนี่ได้อย่างปลอดภัยด้วย? เอาเถอะ ถ้าอย่างนั้นก็ให้บุตรสาวของตนเป็นภรรยาหลวงของเจ้าเด็กนี่ ให้สตรีผู้นี้เป็นอนุ…เป็นสาวใช้ได้ยิ่งดี!

จิ้งจอกเฒ่าภูเขาตะวันตกยิ้มกล่าว “คุณชายท่านนี้ เจ้าอาจจะไม่รู้ว่าข้าผู้อาวุโสก็คือเทพแห่งผืนดินของภูเขากระจกวิเศษลูกนี้ แต่บุตรสาวของข้ากลับเป็นแม่ย่าลำคลองของธารลึกบนภูเขา คิดจะได้โชควาสนาของที่แห่งนี้ไปครองก็ห้ามขาดพวกเราสองพ่อลูกเด็ดขาด เจ้ารอสักครู่ ข้าผู้อาวุโสไปจะไปเรียกบุตรสาวมาเดี๋ยวนี้ คุณชายเป็นมังกรในกลุ่มคน ก็สมควรได้รับโชควาสนานั้นไป หากโชควาสนามีสติปัญญาก็อาจถึงขั้นกระโดดเข้ามาในอ้อมอกของคุณชายด้วยตัวเอง ไม่อย่างนั้นแม้แต่สวรรค์ก็ไม่อาจทนสิ่งนี้ได้ แม้แต่สวรรค์ก็ไม่อาจทนสิ่งนี้ได้…คุณชายรอสักครู่ ข้าผู้อาวุโสไปแปบเดียวเดี๋ยวก็กลับมา บุตรสาวคนนั้นของข้ารูปโฉมงดงามล่มบ้านล่มเมือง นางเลื่อมใสบุรุษผู้หล่อเหลาดุจต้นไม้หยกรับลมอย่างคุณชายมากที่สุดแล้ว…”

เจี่ยงชวีเจียงอึ้งตะลึงไปเล็กน้อย

เทพหญิงสิงอวี่เอ่ยถาม “จะขึ้นเขาไปหาสมบัติจริงๆ หรือ?”

เจี่ยงชวีเจียงขมวดคิ้ว นี่เป็นการเตือนครั้งที่สามของนางแล้ว?

เจี่ยงชวีเจียงถามเสียงเบา “ซูสื่อ หากโชคดีและพิบัติภัยยากจะแยกแยะจริงๆ ในเมื่อเจ้าเชี่ยวชาญวิชาการอนุมาน จะมีโชคกี่ส่วนและภัยกี่ส่วน?”

เทพหญิงตอบกลับ “ค่อนข้างจะแปลกประหลาด ตอนที่ออกมาจากนครปี้ฮว่า โชคและภัยคือเก้าต่อหนึ่ง พอเดินผ่านซุ้มประตูหินทางเข้าหุบเขาผีร้ายมา โชคและภัยเปลี่ยนเป็นเจ็ดต่อสาม ตอนนี้กลายเป็นว่าห้าต่อห้าเท่ากันแล้ว”

เจี่ยงชวีเจียงมองเทพหญิงสิงอวี่ที่มีท่าทางเย็นชาอยู่ตลอดเวลา เวลานี้พอนางขมวดคิ้วน้อยๆ กลับทำให้จิตวิญญาณของคนแกว่งไกวได้ถึงเพียงนี้ สายตาของเขาเลื่อนลอยไปเล็กน้อย เพียงแต่ว่าตลอดทางที่ต้องระหกระเหิน อุปสรรคที่พบเจอระหว่างการหนีภัยมา ความทุกข์ยากลำบากแสนเข็ญที่ล้วนเผชิญมาทุกรูปแบบ ทำให้เขาสามารถเก็บอารมณ์ได้อย่างรวดเร็ว จึงยิ้มกล่าวว่า “ห้าต่อห้า? ถ้าอย่างนั้นก็ดีมากแล้ว ขึ้นเขา!”

ตอนนั้นเพราะแผ่นหยกสืบทอดจากบรรพบุรุษแผ่นนั้นทำให้ถูกเซียนซือบนภูเขาหมายตาอยากครอบครอง ตระกูลจึงพบเจอกับหายนะและโศกนาฎกรรมที่มาเยือนอย่างเฉียบพลัน ตระกูลที่เดิมทีมีชื่อเสียงมีบรรดาศักดิ์ กลับกลายเป็นว่าเหลือเพียงเขาคนเดียวที่รอดชีวิต เขาหนีหัวซุกหัวซุนลงใต้มาตลอดทาง ต่อให้ตายก็ต้องมาตายอยู่ที่ชายหาดโครงกระดูก นี่เพื่ออะไร ก็เพื่อเดิมพันหนึ่งในหมื่นนั้น แค่หนึ่งในหมื่นเท่านั้น!

เพียงไม่นานจิ้งจอกเฒ่าก็พาสตรีที่กางร่มคันเล็กสีเขียวมรกตอย่างเหวยไท่เจินกลับมา

เด็กสาวภูตจิ้งจอกเห็นบุรุษหนุ่มผู้นั้นแล้วก็เหมือนโดนฟ้าผ่า พวงแก้มขึ้นสีเลือดแดงปลั่ง

แม้แต่ตัวนางเองก็ยังรู้สึกประหลาดใจ

ในใจของจิ้งจอกเฒ่าภูเขาตะวันตกลอบดีใจ มีลุ้นแล้ว!

บุรุษหนุ่มคนนั้นพอเห็นบุตรสาวของตนก็อึ้งตะลึงไปเหมือนกัน

เฮ้อ แต่เจ้าเด็กนี่ออกจะโง่ไปสักหน่อย

ทว่าพอจิ้งจอกเฒ่ามาคิดดูอีกที นี่ก็เป็นเรื่องดีที่ใหญ่เทียมฟ้าเลยนี่นา

บุตรเขยในอนาคตโง่สักหน่อย มีเงินมากอีกหน่อย ถึงอย่างไรก็ดีกว่าเจ้าผีฉลาดสวมงอบผู้นั้นกระมัง?

คนเรามักจะกลัวการเปรียบเทียบเสมอ เมื่อจิ้งจอกเฒ่าภูเขาตะวันตกมองคนหนุ่มผู้นี้อีกครั้งก็รู้สึกสบายตาขึ้นเยอะ

และเวลานี้เอง คนหนุ่มร่างกำยำผู้หนึ่งก็วิ่งตะบึงเข้ามา มือสองข้างของเขาแยกกันจับจิ้งจอกเฒ่าและเหวยไท่เจิน ส่ายหน้าอย่างแรงพลางเอ่ยว่า “อย่าไปนะ ไปไม่ได้! หยางฉงเสวียนอาจจะกำลังรอวันนี้อยู่! คำทำนายเรื่องดวงแต่งงานที่นักพรตซึ่งเดินทางผ่านมามอบให้แก่พี่สาวข้าในปีนั้นอาจไม่ใช่เรื่องดีเสมอไป! ผู้ฝึกตนบนภูเขาเหล่านั้น แต่ละคนล้วนมีอุบายลึกล้ำไม่ด้อยไปกว่ากัน…”

จิ้งจอกเฒ่าภูเขาตะวันตกเดือดดาลอย่างหนัก เขาสะบัดมือสองข้างของอีกฝ่ายทิ้งก่อน จากนั้นก็เตะเจ้าลูกโง่ผู้นี้จนปลิวออกไป “อย่ามาทำตัวขัดเรื่องสำคัญในชีวิตของพี่สาวเจ้าอยู่ตรงนี้”

เหวยเกาอู่ดิ้นรนลุกขึ้นยืน ยังคิดจะขัดขวางไม่ให้พี่สาวขึ้นเขา แต่กลับถูกจิ้งจอกเฒ่าโยนไม้เท้าเข้ากลางหน้าผาก สองตาของเขาเหลือกขึ้น ผงะล้มแล้วลุกไม่ขึ้นอีก มีเพียงเสียงที่ดังแผ่วราวกับเสียงยุง “ขึ้นเขาไม่ได้นะ…”

เทพหญิงสิงอวี่มองจิ้งจอกเฒ่าภูเขาตะวันตกและเด็กสาวถือร่มที่ความรักผลิบานผู้นั้น

ไม่รู้ว่าเหตุใด นางถึงได้รู้สึกว่าเวลาที่มองพวกเขาแล้วเหมือนตัวเองคือคนที่อยู่สูงหลุบตามองต่ำ จิตใจราบเรียบไร้ริ้วคลื่นกระเพื่อมได้ถึงเพียงนี้

ถ้าอย่างนั้นสตรีที่ยืนอยู่ใต้ภาพวาดแล้วชี้นิ้วบงการตน ยามที่นางมองตนก็รู้สึกแบบนี้เหมือนกันใช่หรือไม่?

นางเป็นใครกันแน่?

เหตุใดถึงสามารถทำให้ตนเกิดความเคารพยำเกรงได้ถึงเพียงนี้? ราวกับว่านั่นคือสัญชาตญาณอย่างหนึ่งที่มีมาตั้งแต่เกิด?

คนสองกลุ่มจับมือกันเดินขึ้นเขา

แม้ว่าเจี่ยงชวีเจียงจะพยายามข่มใจไว้แล้ว แต่ก็ยังอดไม่ไหวชำเลืองตามองเด็กสาวผู้นั้นอยู่หลายที

งดงามจนทำให้จิตวิญญาณของคนสั่นคลอนจริงๆ

เทพหญิงโปรยพิรุณนามจริงว่าซูสื่อที่อยู่ด้านหลังทำให้ตนรู้สึกละอายที่สู้ไม่ได้ ทำให้เขาเกิดความรู้สึกว่าได้แต่มองอยู่ไกลๆ ไม่อาจหยอกเล่นอย่างไม่เคารพได้

ทว่าเด็กสาวที่ถือร่มคันเล็กสีเขียวมรกตผู้นี้กลับไม่เหมือนกัน

ทุกเวลาทุกนาทีล้วนทำให้คนรู้สึกรักและทะนุถนอม ทำให้จิตใจของเขาเต้นกระหน่ำ

ทางฝั่งของธารลึก หยางฉงเสวียนลุกขึ้นยืน สายตาฉายประกายเร่าร้อน เอ่ยเนิบช้าว่า “ดีมาก เทพหญิงแห่งนครปี้ฮว่าที่พลังการต่อสู้ธรรมดาคนหนึ่ง สามารถนำมาฝึกปรือฝีมือได้พอดี”

ไม่เหลือสีหน้าผ่อนคลายเกียจคร้านอีกต่อไป กระดูกทั่วร่างของหยางฉงเฉวียนลั่นแตกไปทีละข้อต่อ

พายุลมกรดที่พลานุภาพยิ่งใหญ่ประหนึ่งน้ำตกสายหนึ่งที่พุ่งทะลักออกมาจากทั่วร่าง

นาทีถัดมา ปณิธานหมัดก็ถูกเก็บไปจนเล็กเหมือนเมล็ดงา หยางฉงเสวียนนั่งกลับไปบนหินใหญ่สีขาวหิมะ กลับคืนสู่ท่าทางเฉื่อยชาเกียจคร้านอีกครั้ง

บนร่างของเด็กสาวปีศาจจิ้งจอกคนนั้นมีตราผนึกยาวนานที่ถ่ายทอดสู่ร่างของนางมารุ่นแล้วรุ่นเล่า สอดคล้องกับคำทำนายประโยคหนึ่งที่สืบทอดมาจากบรรพบุรุษ ‘เจอปิ่นเปิดประตู ถือไข่มุกเดินขึ้นสู่ที่สูง’

ขอแค่นางเจอกับคนที่ถูกใจซึ่งบุพเพเชื่อมโยงอยู่ด้วยกัน อารมณ์รักของนางก็จะผลิบาน เมื่อบุรุษพบเจอปิ่น ภูตจิ้งจอกพบเจอเขา ดวงตาข้างหนึ่งของนางจะกลายมาเป็นกุญแจที่ไขบ่อลึกบ่อนี้

ถึงเวลานั้นหยางฉงเสวียนก็จะควักดวงตาข้างนั้นของนางออกมา เดินขึ้นสู่ยอดเขาของภูเขากระจกวิเศษ ในเมื่อเป็นกระจกซานซาน *(สามขุนเขา)*ถ้าอย่างนั้นจุดที่ใช้เปิดประตูก็ไม่ใช่ก้นบึ้งของบ่อลึกอะไร แต่เป็นตำแหน่งหัวมังกรแห่งหนึ่งบนยอดเขาของภูเขากระจกวิเศษ เจ้านครจิงกวานผู้นั้นพบเจอวิธีเอากระจกมาจากใต้น้ำได้อย่างไร? ความลับยิ่งใหญ่เทียมฟ้าข้อนี้ เป็นโชควาสนาที่ตำหนักนภากาศของพวกเขาถ่ายทอดจากพ่อสู่ลูก สืบทอดต่อกันมาเป็นพันปี ทว่าต่อให้เป็นเมื่อหนึ่งพันปีก่อนที่ท่านบรรพบุรุษห้าขอบเขตบนของตระกูลตนยังมีชีวิตอยู่ ก็ได้รู้คำทำนายนี้มาก่อนแล้ว แต่กระนั้นก็ยังได้แค่รอคอย อีกทั้งจนตายโอกาสนั้นก็ยังไม่มาถึง ไม่ใช่ว่ารุ่นบรรพบุรุษจะไม่อยากใช้พละกำลังช่วงชิงเอากระจกวิเศษมา ก็แค่ทำไม่ได้เท่านั้น รวมไปถึงภายหลังที่นครเซียงซื่อเผาผลาญทั้งพลังคนและพลังทรัพย์สินจนหมดสิ้นเพื่อจะย้ายภูเขา นั่นก็มีตำหนักนภากาศคอยบงการอยู่ลับๆ น่าเสียดายที่ก็ไม่ได้ผลเหมือนกัน โชควาสนาใหญ่บางอย่างบนโลกใบนี้ก็มักจะไร้เหตุผลเช่นนี้

เพราะคำทำนายประโยคนั้น และยังมีคำกล่าวที่ว่า ‘ใกล้ชิดภูเขาได้สมบัติ’ ที่เจ้าประมุขสกุลหยางซึ่งเป็นเสนาบดีอวี่อีกันมาทุกยุคทุกสมัยไม่อาจไขปริศนาได้ จนกระทั่งเขาและน้องชายถือกำเนิด เมื่อเขาเผยพรสวรรค์ที่ใกล้ชิดกับภูเขามาตั้งแต่เกิดออกมา ตำหนักนภากาศถึงได้กระจ่างแจ้ง

หยางฉงเสวียนนั่งขัดสมาธิ เอามือข้างหนึ่งเท้าคาง รอคอยที่จะได้พบกับอีกฝ่าย

คนกลุ่มหนึ่งปรากฏตัวเป็นคู่อยู่ฝั่งตรงข้าม

จิ้งจอกเฒ่าภูเขาตะวันตกที่อารมณ์เบิกบาน

เหวยไท่เจินปีศาจจิ้งจอกที่ยังคงไม่รู้ว่าชีวิตตัวเองตกอยู่ในอันตราย ควักดวงตาข้างนั้นออกมาก็เท่ากับว่าควักจิงชี่เสินทั้งหมดของนางไป แล้วจะยังมีเหตุผลที่นางจะรอดชีวิตอีกได้อย่างไร?

เจี่ยงชวีเจียงที่ใบหน้าประดับรอยยิ้ม

เทพหญิงสิงอวี่ผู้มีสีหน้าเครียดขรึม

หยางฉงเสวียนกระตุกยิ้มมุมปาก

ต่อให้เปลี่ยนมาเป็นเทพหญิงกว้าเยี่ยนแห่งนครปี้ฮว่าที่เชี่ยวชาญการต่อสู้ แล้วจะอย่างไร?

ตอนนั้นตนเลื่อนขั้นจากขอบเขตหกที่แข็งแกร่งที่สุดในใต้หล้ามาเป็นผู้ฝึกยุทธขอบเขตร่างทองเชียวนะ

เทพหญิงสิงอวี่ทำท่าจะพูด แต่ก็ไม่พูด

เจี่ยงชวีเจียงยืนอยู่ริมฝั่ง ก้มหน้ามองไปยังธารน้ำกลางภูเขาแห่งนั้น เห็นเพียงว่ามีแสงสีทองเส้นหนึ่งว่ายวนอย่างช้าๆ มันลอยขึ้นสูงมาอย่างต่อเนื่อง ยิ่งนานก็ยิ่งชัดเจน ลักษณะคล้ายกับปิ่นปักผมของสตรีจริง เขาชี้แล้วเอ่ยว่า “คือปิ่นทองชิ้นนั้นหรือ?”

เด็กสาวเหวยไท่เจินยกมือปิดปาก น้ำตาคลอดวงตาเจียนจะหยด คำว่าน่าสงสารน่าทะนุถนอมคงหนีไม่พ้นท่าทางของนางในเวลานี้

เป็นเขาจริงๆ ด้วย!

เขาก็คือสามีที่ถูกลิขิตมาของตน

เด็กสาวพลันรู้สึกเจ็บแปลบ นางกะพริบตาตามจิตใต้สำนึก ดวงตาที่เปี่ยมไปด้วยความมีชีวิตชีวาคู่นั้นของนาง ข้างหนึ่งในนั้นเริ่มดึงรวบเอาแสงสีทองมาจากช่องโพรงแห่งต่างๆ ทั่วทั้งร่าง นางเจ็บปวดจนเกินจะทานทน ยกมือขึ้นปิดใบหน้าครึ่งหนึ่ง เหงื่อเย็นๆ ไหลลงมาเป็นสาย แล้วก็มีเลือดสดหลั่งออกมาจากร่องนิ้วของนาง

เด็กสาวมองดูเหมือนอ่อนแอบอบบาง แต่แท้จริงแล้วนางกลับมีนิสัยดื้อดึง แกร่งกร้าวอย่างถึงที่สุด นางกัดฟันทรุดตัวลงนั่งยอง ต่อให้เจ็บจนเรือนกายสะโอดสะองสั่นเทิ้มเหมือนตะแกรงร่อนก็ยังคงไม่พูดอะไรสักคำ

บนโลกใบนี้จะมีสตรีคนใดที่ยินดีให้บุรุษที่ตัวเองหลงรักตั้งแต่แรกพบได้มาเห็นสภาพน่าสังเวชเช่นนี้ของตน?

หยางฉงเสวียนเหลียวซ้ายแลขวา ไม่เห็นเจ้าโง่ผู้นั้น เขาจึงรู้สึกผิดหวังเล็กน้อย

เมื่อเขาลุกขึ้นยืน

เจี่ยงชวีเจียงและจิ้งจอกเฒ่าภูเขาตะวันตกก็ก้าวถอยหลังแทบจะเวลาเดียวกัน

ประหนึ่งมีขุนเขาสูงตระหง่านลูกหนึ่งกดทับลงมาเหนือศีรษะ

ในที่สุดเทพหญิงสิงอวี่ก็เปิดปากเอ่ยว่า “พวกเราไม่ต้องการโชควาสนานี้ เจ้าเอาไปได้เลย!”

เมื่อหยางฉงเสวียนไม่จงใจระงับลมปราณของตัวเองเอาไว้อีกต่อไป ลำธารทั้งสายก็เริ่มสั่นไหวโยกคลอนตามไปด้วย

หยางฉงเสวียนยืดแขนบิดขี้เกียจแล้วก็จ้องเขม็งไปยังเทพหญิงผู้เป็นขุนนางสวรรค์คนนั้นแล้วหัวเราะหยันเอ่ยว่า “นี่ก็ต้องดูที่อารมณ์ของข้าแล้ว!”

เทพหญิงสิงอวี่จ้องนิ่งไปยังบุรุษฝั่งตรงข้ามที่อันตรายอย่างถึงที่สุดตาไม่กะพริบ พูดเสียงหนักว่า “พวกเจ้าหนีไปก่อน ไม่ต้องลังเล! ยิ่งหนีไปไกลได้เท่าไหร่ก็ยิ่งดี ตรงไปที่เมืองชิงหลู!”

“เชิญหนีได้ตามสบาย”

หยางฉงเสวียนพูดกลั้วหัวเราะ “ข้าก็อยากจะรู้เหมือนกันว่าหมัดของข้าจะเร็ว หรือขาของพวกเจ้าที่เร็วกว่ากันแน่”

เทพหญิงสิงอวี่ยกมือขึ้นเบาๆ น้ำในลำธารตลอดทั้งสายก็เหมือนได้รับคำสั่งจึงสั่นกระเทือนไม่หยุด จากนั้นผิวน้ำก็ทะยานตัวขึ้นสูงพร้อมเสียงดังสนั่น ระหว่างนางกับหยางฉงเฉวียนมีกำแพงน้ำแข็งตั้งตระหง่านสูงหลายสิบจั้งกั้นขวางเอาไว้

โชคดีที่ต่อสู้กันใกล้น้ำ นางจึงได้เปรียบด้านชัยภูมิ

หนึ่งหมัดต่อยให้กำแพงน้ำนั้นปริแตกได้อย่างง่ายดาย

เทพหญิงประกบสองนิ้วปาดเบาๆ ลำธารอันเป็นต้นกำเนิดของธารลึกกลางภูเขาเส้นนี้ก็จำแลงร่างกลายเป็นเจียวน้ำตัวหนึ่งที่กระโจนเข้าใส่หยางฉงเสวียนที่กระโดดลอยตัวอยู่กลางอากาศอย่างดุดัน

หยางฉงเสวียนลอยตัวนิ่ง ยื่นฝ่ามือข้างหนึ่งออกมาง่ายๆ พายุลมกรดพัดกระโชกกระแทกชนเข้ากับเจียวน้ำตัวนั้น ทั้งสองฝ่ายต่างก็แหลกสลายไปตามๆ กัน ภายใต้แสงอาทิตย์สาดส่อง กึ่งกลางภูเขากระจกวิเศษกลับมีสายรุ้งพาดผ่าน

หยางฉงเสวียนก้าวออกไปก่อน หมายจะเดินไปยังฝั่งตรงข้าม เทพหญิงสิงอวี่ถอยหลังหนึ่งก้าว มือทั้งสองบิดหมุน ด้านหน้าก็ปรากฏกระจกน้ำใสกระจ่างขนาดใหญ่เท่าปากบ่อบานหนึ่ง ริมขอบของกระจกมีอักษรโบราณส่องแสงสีทองรายล้อม

หยางฉงเสวียนหัวเราะเสียงดัง กระโจนตัวไปข้างหน้า ปล่อยหนึ่งหมัดส่งออกไป เพียงแต่ว่าเขาต้องขมวดคิ้วน้อยๆ เพราะกระจกน้ำไม่ได้แหลกสลาย กลับกลายเป็นว่าร่างทั้งร่างของเขาเข้ามาอยู่ในแดนมายาที่มีไอน้ำขมุกขมัวแทน

—–