ตอนที่ 796 สามตระกูลใหญ่รวมตัว

คุณหนูสี่ สตรีเปื้อนเลือด

ในเวลานี้ สถานที่ที่ทุกคนรวมตัวกันอยู่ใกล้จุดศูนย์กลางของดินแดนลับและมีอสูรมายาทรงพลังหลายตัวกระจายอยู่ในบริเวณใกล้เคียง

ฉื่อไท่หลางและสหายอีกสี่คนถูกจับมัดไว้บนพื้นรวมกัน พวกเขาไม่มีพลังมายาหลงเหลือและไม่มีแม้แต่เรี่ยวแรงภายในร่างกาย ซ้ำร้ายก่อนหน้านี้ฉื่อไท่หลางก็ถูกเตะอย่างแรงหลายคราจนตอนนี้ใบหน้าของเขาซีดเผือดและดูจะมีอาการไม่ดีนัก

“หวังว่าลูกพี่อวี้โม่และจางเหิงจะไม่ผ่านมาแถวนี้…”

ในขณะที่ทั้งห้าถูกจับไว้ด้วยกัน ฉื่อไท่หลางก็กระซิบกระซาบออกมาเบา ๆ

ด้วยสถานการณ์ที่เลวร้ายในตอนนี้ เขาก็ไม่ต้องการให้ฉินอวี้โม่และจางเหิงต้องเข้ามาเผชิญกับมัน

แม้ทราบดีว่าฉินอวี้โม่ทรงพลังและแข็งแกร่ง อีกทั้งยังมีอสูรมายาคอยช่วยปกป้องจำนวนมาก อย่างไรก็ตาม ยาพิษของเฝิงต้าเป่าก็แปลกประหลาดและมีฤทธิ์ที่รุนแรงจนเกินไป อีกทั้งอีกฝ่ายก็เตรียมความพร้อมไว้รอบด้าน หากฉินอวี้โม่มาที่นี่ในตอนนี้ก็คงไม่ต่างจากการเอาตัวเองเข้ามาติดกับดักของอีกฝ่าย

ภายในคฤหาสน์เฟิงหัว แน่นอนว่าฉินอวี้โม่ก็ได้ยินวาจาของฉื่อไท่หลางอย่างชัดเจนและส่ายศีรษะเบา ๆ ทว่ามีรอยยิ้มบาง ๆ ปรากฏบนใบหน้า คนเหล่านี้ต้องถูกข้าสั่งสอนสักหน่อยแล้ว ข้าพร่ำบอกหลายครั้งหลายคราว่าต้องเชื่อใจซึ่งกันและกัน…

ทันใดนั้น เสียงฝีเท้าหลายชุดก็ดังขึ้นและคณะเดินทางหลายกลุ่มก็มุ่งหน้าเข้ามาจากทิศเหนือและทิศใต้พร้อมกัน

หัวหน้ากลุ่มที่มาจากทางทิศเหนือคือผู้ที่ฉินอวี้โม่เคยพบหน้ามาก่อนแล้ว เขาคือซ่างจู๋มู่—ศิษย์ฝีมือดีที่สุดจากหนึ่งในสามตระกูลใหญ่ซึ่งก็คือตระกูลซ่าง ด้วยวัยเพียงมากกว่าสี่สิบปี ทว่าความแข็งแกร่งของเขากลับบรรลุถึงขอบเขตราชาเซียนขั้นสูง ต่อให้เทียบกับผู้นำตระกูลอื่น ๆ ในเมืองเทียนหยวน เว้นเพียงแต่ผู้นำของสี่ตระกูลใหญ่ เรียกได้ว่าบุรุษผู้นี้ก็ไม่ด้อยกว่าผู้ใด

เมื่อพลังของจอมยุทธ์บรรลุขอบเขตราชาเซียน อายุขัยของจอมยุทธ์ผู้นั้นจะยืนยาวนับพันปี และสำหรับจอมยุทธ์ราชาเซียนขั้นสูงในวัยเพียงสี่สิบปีเช่นนี้ ต่อให้เทียบกับคนทั้งดินแดนมหาเทพ เขาก็ถือว่าเป็นจอมยุทธ์ที่มีพรสวรรค์โดดเด่นเป็นอย่างยิ่ง

ซ่างจู๋มู่เป็นคนอบอุ่นและสดใสร่าเริง ก่อนหน้านี้เขาและฉินอวี้โม่ก็เคยพูดคุยกันเล็กน้อยและทั้งสองฝ่ายก็รู้สึกถูกชะตากันมากพอสมควร

ส่วนกลุ่มที่มาจากทางทิศใต้คือคณะศิษย์ของตระกูลโหรวและตระกูลเฉิน นี่ถือเป็นครั้งแรกที่ฉินอวี้โม่ได้พบศิษย์ตระกูลเฉิน ส่วนหัวหน้าของศิษย์ตระกูลโหรวคือผู้ที่นางเคยพบหน้าและทักทายมาก่อนแล้วเช่นกัน

โหรวฉิงกำชับกับศิษย์ของตนไว้ก่อนหน้านี้แล้วว่าหากพบกับฉินอวี้โม่ระหว่างการคัดเลือก ทุกคนต้องให้ความช่วยเหลืออย่างเต็มที่

“นี่มันเกิดอะไรขึ้น ?”

โหรวรั่ว—ศิษย์ตระกูลโหรวขมวดคิ้วทันทีที่เห็นฉื่อไท่หลางและสหายที่ถูกจับมัดไว้บนพื้นด้วยสภาพที่ไม่ดีนัก

เขาเคยได้ยินโหรวฉิงกล่าวถึงความสัมพันธ์ระหว่างฉินอวี้โม่และคนตระกูลเฝิงมาก่อนหน้านี้ เดิมทีเขาคิดว่าต่อให้ตระกูลเฝิงกล้าหาญเพียงใด ในเมื่อทราบว่าฉินอวี้โม่มีความสัมพันธ์ที่ดีกับทั้งสามตระกูลใหญ่และได้รับความดีความชอบจากเจ้าเมืองเทียนหยวน ตระกูลเฝิงก็คงไม่ทำสิ่งใดบุ่มบ่าม คิดไม่ถึงเลยว่าแท้จริงแล้วคนเหล่านั้นจะไม่หวั่นเกรงต่อผู้ใดและหมายจะจัดการฉินอวี้โม่และพวกอย่างเปิดเผยเช่นนี้

อย่างไรก็ตาม ในเวลานี้ฉินอวี้โม่ก็ไม่ได้ปรากฏตัวอยู่ที่นี่ด้วยและอาจเป็นเพราะนางยังมาไม่ถึงที่นี่

“ฮ่า ๆ ๆ คนพวกนี้ทำให้ข้าไม่พอใจ ข้าจึงสั่งให้คนจัดการพวกเขาเอง ทำไมรึ ? โหรวรั่ว เจ้ามีปัญหาอะไรรึ ?”

เฝิงต้าเป่าแสยะยิ้มโดยไม่ไว้หน้าโหรวรั่วแม้แต่น้อย เขาเพียงมองอีกฝ่ายด้วยแววตาเย้ยหยันราวกับศิษย์อันดับหนึ่งของตระกูลโหรวไม่อยู่ในสายตาของเขาด้วยซ้ำ

“ตระกูลโหรวของเรามีความสัมพันธ์อันดีกับพวกเขาและเคยให้การต้อนรับอย่างดี ทางที่ดีเจ้าควรจะไว้หน้าพวกเราและปล่อยพวกเขาไปจะดีกว่า”

แม้ว่าโหรวรั่วจะไม่สบอารมณ์กับการกระทำของเฝิงต้าเป่าเท่าใดนัก อย่างไรก็ตาม สีหน้าของเขาก็ไม่แสดงความรู้สึกใดและยังดูนิ่งเฉยเช่นเดิมขณะกล่าวด้วยน้ำเสียงที่ไม่วางท่าบีบบังคับหรือข่มขู่ หากแต่เป็นวาจาที่เจือด้วยแรงกดดันเล็กน้อย

“ถูกต้อง ตระกูลซ่างของเราก็มีความสัมพันธ์ที่ดีกับพวกเขาเช่นกัน”

ซ่างจู๋มู่เดินเข้ามาหาโหรวรั่วและพยักศีรษะให้กับอีกฝ่ายเบา ๆ ก่อนสายตาบรรจบลงที่เฝิงต้าเป่า เขาไม่ชอบหน้านายน้อยตระกูลเฝิงแม้แต่น้อยและไม่คิดจะเสียเวลากล่าวทักทาย อย่างไรก็ตาม พวกเขายังต้องหาทางช่วยฉื่อไท่หลางอย่างเต็มที่

“ตลกชะมัด พวกเจ้าเป็นใครกันที่ข้าจะต้องไว้หน้า ?”

เฝิงต้าเป่าไม่คิดที่จะไว้หน้าคนทั้งสองแม้แต่น้อย เขาวางแผนไว้ตั้งแต่ต้นแล้วว่าจะจัดการกับฉินอวี้โม่และทั้งสามตระกูลใหญ่ เพราะเหตุนั้นจึงไม่จำเป็นต้องหวาดหวั่นใจ

“เฝิงต้าเป่า ช่างริอาจนัก อะไรกันที่ทำให้เจ้าถึงขั้นมั่นใจว่าจะเอาชนะพวกเราสามตระกูลใหญ่ได้ ?!”

เฉินหยางชั่ว—ผู้นำของศิษย์ตระกูลเฉินเป็นคนตรงไปตรงมาและไม่อ้อมค้อม เขาจ้องหน้าเฝิงต้าเป่าตาเขม็งและกล่าววาจาเย้ยหยันออกไปทันที

ตระกูลเฝิงเป็นเพียงตระกูลอันดับห้าของเมืองเทียนหยวนและมีความแข็งแกร่งที่ด้อยกว่าพวกเขามากนัก ต่อให้เป็นเฝิงรุ่ยเฉิงที่พบปะกับสมาชิกของสี่ตระกูลใหญ่ในช่วงเวลาปกติ เขาก็ไม่เคยวางท่าโอหังถึงเพียงนี้ ไม่อาจคาดเดาเลยว่าเฝิงต้าเป่าคิดสิ่งใดจึงได้มั่นใจเต็มเปี่ยมและสาดวาจาตอบโต้คนจากสามตระกูลใหญ่เช่นนี้

“เหอะ พวกเจ้าสามตระกูลใหญ่มีดีอะไรกัน ? หากมิใช่เพราะว่าก่อนหน้านี้พวกเรายังไม่ต้องการจัดการกับพวกเจ้า พวกเจ้าคิดรึว่าจะครองตำแหน่งสามตระกูลแรกของเมืองเทียนหยวนได้ ?”

เฝิงต้าเป่าแค่นเสียงและกล่าวอย่างเหยียดหยามอีกครา

“เฉินหยางชั่ว โหรวรั่ว ซ่างจู๋มู่… ข้ารอพวกเจ้ามานานแล้ว ในเมื่อมากันพร้อมหน้าพร้อมตาเช่นนี้ ก็เชิญอยู่ที่นี่ตลอดไปเถอะ !”

หลังจากกล่าวจบ เขาก็ขยิบตาส่งสัญญาณให้กับคนตระกูลเฝิงหลายคนและคนเหล่านั้นหยิบขวดกระเบื้องเล็กๆออกมาโยนลงบนพื้น

กลิ่นประหลาดโชยอบอวลไปทั่วบริเวณทันทีและหลายคนจากตระกูลใหญ่เหล่านั้นเริ่มทรุดล้มลงบนพื้นทีละคน ๆ ด้วยสภาพที่สูญเสียความสามารถในการต่อสู้ไปอย่างสิ้นเชิง

“ทุกคนกลั้นหายใจไว้ !”

ซ่างจู๋มู่ตะโกนเสียงดังพร้อมกับปิดผนึกจุดลมปราณสองจุดของตนทันทีเพื่อยับยั้งมิให้กลิ่นประหลาดที่เข้าสู่ร่างกายกระจายออกไปต่อ เฉินหยางชั่วและโหรวรั่วก็ตอบสนองอย่างรวดเร็วและปิดผนึกจุดลมปราณของตนเองเช่นเดียวกัน

อย่างไรก็ตาม คนอื่น ๆ ก็ตอบสนองได้ช้ากว่ามาก นอกเหนือจากเพียงไม่กี่คนที่มีความแข็งแกร่งในระดับหนึ่ง คนอื่น ๆ ที่เหลือล้วนทรุดล้มลงบนพื้นและไม่เหลือพลังที่จะต่อสู้ได้อีก

แม้ซ่างจู๋มู่และอีกสองคนไม่สูญเสียพลังมายาทั้งหมดไป พวกเขาก็ได้รับผลกระทบมากทีเดียวและไม่สามารถแสดงพลังออกมาได้อย่างเต็มที่

“เหอะ ตอบสนองได้เร็วดีนี่ !”

เมื่อเห็นว่าคนทั้งสามสามารถป้องกันพิษได้ในระดับหนึ่ง เฝิงต้าเป่าก็แค่นเสียงเย็นชาออกมา ต้องกล่าวเลยว่าทั้งสามคนนี้คือศิษย์ฝีมือดีอันดับต้น ๆ ของเมืองเทียนหยวน แม้แต่เขาเองก็นึกชื่นชมในความสามารถของพวกเขาอยู่ในใจลึก ๆ

“เฝิงต้าเป่า ตระกูลเฝิงของเจ้าชั่วช้ายิ่งนัก พวกเจ้าคงจะเตรียมยาพิษนี่ไว้นานแล้วสินะ !”

สีหน้าของโหรวรั่วเย็นชาเล็กน้อย ผู้นำตระกูลเคยกำชับไว้ว่าพวกเขาควรระวังตัวจากคนตระกูลเฝิงให้มาก ทว่าพวกเขาก็ยังประมาทกันเกินไปจริง ๆ

“ฉลาดดีนี่ ! แต่ก็น่าเสียดาย…ตอนนี้มันสายเกินไปเสียแล้ว”

เฝิงต้าเป่าเดินตรงเข้าไปหาทั้งสามอย่างช้า ๆ และกล่าวต่อ “พวกเจ้าคิดอย่างไร..หากว่าข้าจะฆ่าพวกเจ้าเสียที่นี่ และเมื่อกลับออกไป ข้าจะบอกกับท่านเจ้าเมืองว่าพวกเจ้ามีความขัดแย้งกับฉินอวี้โม่และถูกฉินอวี้โม่ปลิดชีวิตไป มันจะน่าสนใจแค่ไหนกัน ? ฮ่า ๆ ๆ”

จู่ ๆ เขาก็เปลี่ยนความคิดและไม่ต้องการสังหารฉินอวี้โม่อีกต่อไป สามตระกูลใหญ่ของเมืองเทียนหยวนมีทั้งพลังอำนาจและอิทธิพล ตราบใดที่เขาสังหารคนของสามตระกูลและโยนความผิดไปให้กับฉินอวี้โม่ มันก็คงจะเป็นเรื่องสนุกไม่น้อย เมื่อถึงตอนนั้น ต่อให้ฉินอวี้โม่รอดชีวิตออกไปจากดินแดนลับแห่งนี้ได้ นางก็ต้องรับมือกับความเดือดดาลของทั้งสามตระกูลใหญ่และไม่มีทางรอดพ้นไปได้อย่างแน่นอน

“เหอะ คิดว่าท่านผู้นำของเราจะเชื่อเรื่องไร้สาระของเจ้างั้นรึ ?”

สีหน้าของโหรวรั่วเปลี่ยนไปเล็กน้อยทว่าเขาควบคุมไว้โดยไม่ปล่อยให้อีกฝ่ายได้เห็น เขากวาดสายตามองไปรอบตัวและเริ่มรู้สึกถึงความอับจนปัญญา

ครานี้ตระกูลเฝิงเตรียมความพร้อมมาอย่างรอบคอบจริง ๆ ต่อให้พวกเขาเตรียมตัวมาแล้วก็ยังตกเข้ามาในหลุมพรางของอีกฝ่าย หากสถานการณ์ยังเป็นต่อไปเช่นนี้ เกรงว่าพวกเขาคงต้องตายอยู่ที่นี่เป็นแน่

“จะเชื่อหรือไม่ก็ไม่สำคัญ พวกข้าเตรียมการมาดีแล้ว ต่อให้ไม่เชื่อ พวกเขาก็ไม่มีทางเลือกนอกจากที่จะต้องเชื่อ”

เฝิงต้าเป่าปรบมือส่งสัญญาณก่อนที่คนหลายคนก้าวออกมาจากกลุ่มของทั้งสามตระกูล

คนเหล่านั้นไม่ได้รับผลกระทบจากยาพิษเมื่อครู่แม้แต่น้อยและยังขยับเขยื้อนได้อย่างอิสระ พวกเขาเดินตรงไปโค้งคำนับตรงหน้าเฝิงต้าเป่าและกล่าวอย่างนอบน้อม “คารวะนายน้อยขอรับ”

เฝิงต้าเป่าก็เพียงโบกมือเบา ๆ เพื่อให้คนเหล่านั้นยืดตัวขึ้น

“เป็นอะไรไป? พวกเจ้าคงจะคาดไม่ถึงสินะ ?”

เขากวาดสายตามองหัวหน้ากลุ่มทั้งสามคนและกล่าวด้วยรอยยิ้มยียวน

“เอาล่ะ เรื่องสนุกจบลงแล้ว เชิญพวกเจ้าลงนรกไปเสียเถอะ สำหรับคนพวกนั้น เมื่อพวกเจ้าตายไป ข้าจะปล่อยพวกเขาไป หลังจากสิ้นสุดการคัดเลือกครานี้ พวกเขาจะถูกทั้งสามตระกูลไล่ล่าและสังหารอย่างไม่ไยดี ชะตากรรมของพวกเขาจะเลวร้ายยิ่งกว่าตอนนี้เสียอีก ฮ่า ๆ ๆ ช่างน่าสนุกจริง ๆ !”

เขาโบกมืออีกครั้งเพื่อส่งสัญญาณให้สมาชิกฝ่ายตระกูลเฝิงของตนตรงเข้าโจมตีซ่างจู๋มู่และคนอื่น ๆ ที่ยังมีพลังเหลือในทันที

“พี่ใหญ่ ทิ้งพวกเราไว้และรีบหนีไปก่อนเถอะ !”

คนจากทั้งสามตระกูลที่สูญเสียพลังและไร้ทางสู้กล่าวเป็นเสียงเดียวเพื่อให้หัวหน้ากลุ่มทั้งสามคนของพวกตนหนีไปก่อน สำหรับตนเองนั้น พวกเขาเพลี่ยงพล้ำพลาดท่าให้กับแผนการของตระกูลเฝิงแล้วและมีความหวังเพียงน้อยนิด ตราบใดที่ซ่างจู๋มู่และอีกสองคนรอดชีวิตกลับออกไปจากดินแดนลับนี้ได้ พวกเขาก็ยังมีโอกาสหาทางล้างแค้นในภายหลัง

“แย่แล้ว สหายซ่าง ป้ายหินนี่ใช้งานไม่ได้ !”

เฉินหยางชั่วหยิบป้ายหินวิญญาณของตนออกมาและพยายามทำลายมันในขณะที่ตอบโต้กับผู้ที่โจมตีตน แม้คาดเดาไว้ก่อนหน้านี้แล้ว พวกเขาก็อดรู้สึกหดหู่ใจไม่ได้ แผนการของตระกูลเฝิงครานี้รอบคอบอย่างแท้จริงและเรียกได้ว่าแทบไม่มีจุดบกพร่องใด

ศิษย์ของทั้งสามตระกูลที่เดินออกไปเมื่อครู่ก็มิใช่ผู้ที่แฝงตัวเข้ามาด้วยซ้ำ หากแต่เป็นคนที่อยู่ในตระกูลทั้งสามมานานหลายปี สำหรับวิธีการที่ตระกูลเฝิงใช้เพื่อซื้อใจพวกเขาหรือพวกเขาร่วมมือกับตระกูลเฝิงได้อย่างไรนั้น เขาก็ไม่อาจคาดเดาได้เลย

“ถ้าเช่นนั้นเราก็ต้องสู้ไปจนถึงที่สุด นอกจากเราก็ยังมีคนอื่นที่ยังมาไม่ถึงที่นี่ เรายังพอมีหวังที่จะพลิกผันสถานการณ์นี้ได้ !”

ในขณะที่ซ่างจู๋มู่กำลังรับมือกับศิษย์ตระกูลเฝิงที่พุ่งเข้าโจมตีเขา ภาพของฉินอวี้โม่ก็ผุดขึ้นในความคิดของเขาอย่างกะทันหัน

การที่สตรีผู้ลึกลับและทรงพลังที่สุดยังมาไม่ถึงที่นี่ พวกเขาก็ยังไม่สิ้นความหวังเสียทีเดียว เขาเชื่อว่าตราบใดที่ถ่วงเวลาให้ได้นานที่สุด เมื่อฉินอวี้โม่มาถึง พวกเขาจะแก้ไขสถานการณ์ตรงหน้านี้ได้

“เหอะ พวกเจ้ากำลังเฝ้ารอฉินอวี้โม่อยู่สินะ !”

เฝิงต้าเป่าคาดเดาได้ว่าเหตุใดทั้งสามจึงพยายามดิ้นรนต่อสู้และไม่รีบหนีออกไป

เขาแสยะยิ้มอย่างเยาะเย้ยและกล่าวต่ออย่างไม่แยแส “จริงอยู่ที่เจ้าฉินอวี้โม่นั่นก็มีฝีมือที่ไม่ธรรมดาเลย ทว่าต่อให้เป็นนาง การที่ต้องการเอาชนะพวกเราจำนวนมากเช่นนี้ก็เป็นได้เพียงเรื่องเพ้อฝัน… ยิ่งไปกว่านั้น ป้ายหินวิญญาณของนางก็ถูกสลับสับเปลี่ยนไปแล้วเช่นกัน นางไม่มีทางออกไปจากที่นี่และตามคนมาช่วยได้แน่ พวกเจ้ายอมรับชะตากรรมและตายไปเสียเถอะ !”

เดิมทีฉินอวี้โม่ก็คือเป้าหมายหลักของแผนการครั้งนี้และไม่มีทางที่พวกเขาจะลืมนางไปได้ ตราบใดที่ฉินอวี้โม่มาที่นี่จริง เฝิงต้าเป่าก็มั่นใจว่าจะจับตัวนางได้อย่างแน่นอน

“โอ้ จริงรึ ?”

จู่ ๆ น้ำเสียงเยือกเย็นจนน่าขนลุกก็ดังขึ้นข้างหูเฝิงต้าเป่าจนเขาตกใจขึ้นมา

ผลัวะ !

พลั่ก !

จากนั้นเขาก็รู้สึกถึงความเจ็บปวดที่หน้าอกเมื่อร่างของตนถูกเตะอย่างแรงจนกระเด็นกระแทกต้นไม้ด้านข้างก่อนร่วงลงบนพื้น

ในจุดที่เขายืนอยู่ก่อนหน้าก็ถูกแทนที่ด้วยฉินอวี้โม่ที่ทรงตัวยืนอย่างสง่างาม นางกวาดสายตามองคนตระกูลเฝิงทั้งหมดที่ยืนตกตะลึงด้วยแววตาที่เต็มไปด้วยจิตสังหารแรงกล้า

“เฝิงต้าเป่า เจ้ามั่นใจนักมิใช่รึว่าจะกำจัดข้าได้ง่าย ๆ !”

ฉินอวี้โม่กล่าวอย่างเสียงดังฟังชัด ก่อนหน้านี้นางเฝ้าสังเกตการณ์อยู่ภายในคฤหาสน์เฟิงหัวเพื่อรอจังหวะเหมาะสม ตอนนี้เมื่อโอกาสมาถึง นางก็แสดงตัวในทันที แม้ตระกูลเฝิงจะมีจำนวนมากกว่า หากไม่มีไพ่ตายที่ทรงพลัง ฉินอวี้โม่ก็ไม่จำเป็นต้องกังวลแม้แต่น้อย

“ฉินอวี้โม่ ในที่สุดก็กล้าโผล่หัวออกมาแล้วสินะ !”

เฝิงต้าเป่าพยายามพยุงตัวยืนขึ้นและปาดเลือดที่มุมปากของตนขณะจ้องหน้าอีกฝ่ายอย่างเย็นชา

“เฝิงเยี่ย โจวหังรุ่ย จับตัวนางมาให้ข้าเดี๋ยวนี้ !”

เขาไม่รอช้าและออกคำสั่งให้ทั้งสองลงมือทันที