บทที่ 802 จอมเวทย์มนุษย์เงือก

เซียนกระบี่มาแล้ว![剑仙在此]

ตอนที่ 802 จอมเวทย์มนุษย์เงือก

หลู่เหวินหยวนเพ่งตามองผู้ติดตามที่ยืนอยู่ด้านหลังหลินเป่ยเฉินและก็อดรู้สึกผิดหวังไม่ได้ที่ไม่เห็นแม่ทัพเฉียนเหมยมาด้วย

เพราะนางถือเป็นแม่ทัพคนดังประจำกำแพงเมืองฝั่งตะวันตก

แต่อย่างไรก็ตาม ในเมื่อคุณชายหลินมาด้วยตนเอง…

เป็นไปได้หรือที่แม่ทัพเฉียนเหมยจะไม่ตามมา?

“ข้าน้อยขอคารวะคุณชายหลิน” หลู่เหวินหยวนและนายทหารระดับสูงคนอื่นๆ พร้อมใจกันประสานมือคำนับหลินเป่ยเฉินด้วยความนอบน้อม

ทุกคนรีบคำนับเด็กหนุ่มโดยไม่ลังเล

เพราะสิ่งที่เกิดขึ้นนอกค่ายที่พักของชาวเมืองหยุนเมิ่งในวันนี้มันน่ากลัวมากเกินไป

ข่าวลือเรื่องที่ว่าหลินเป่ยเฉินมีพลังอยู่ในขั้นเซียนกระจายไปทั่วกองทัพอย่างรวดเร็ว

หลินเป่ยเฉินพยักหน้าทักทายทุกคน ก่อนจะหันหน้ามองไปยังสนามรบที่อยู่ด้านนอก และถามเกาเฉิงฮั่นว่า “เป็นท่านหรือเป็นข้าดีขอรับ?”

เกาเฉิงฮั่นใช้ความคิดอยู่ว่าเล็กน้อยก็ตัดสินใจเก็บหลินเป่ยเฉินเอาไว้เป็นอาวุธลับของตนเอง ข่าวเรื่องที่ว่าเด็กหนุ่มมีพลังอยู่ในขั้นเซียนเพิ่งจะกระจายไปในกองทัพของพวกเขาเท่านั้น พวกชาวทะเลยังไม่รู้เรื่องนี้ ดังนั้นเกาเฉิงฮั่นจึงให้คำตอบว่า “เดี๋ยวข้าออกไปโจมตีก่อน ส่วนเจ้าเฝ้าอยู่ที่นี่คอยระวังหลัง รอจนกระทั่งพวกมันเผยไพ่ตายออกมาเมื่อไหร่ เจ้าค่อยออกไปแสดงฝีมือตอนนั้นก็แล้วกัน”

นี่ใจคอเกาเฉิงฮั่นจะให้เขาออกไปสู้กับพวกตัวหัวหน้าเลยเหรอเนี่ย?

เห็นได้ชัดว่าผู้มีพลังระดับเซียนมีสถานะสูงส่งจริงๆ

เพียงปรากฏตัวอยู่ในสนามรบ ก็สามารถเปลี่ยนแปลงสถานการณ์ได้แล้ว

แต่เมื่อเด็กหนุ่มได้ยินคำพูดของแม่ทัพเกา เขาก็ตอบว่า “ข้าน้อยไม่เห็นด้วยขอรับ”

จะมีโอกาสสำหรับการเก็บเกี่ยวแรงศรัทธาจากทหารแนวหน้าครั้งใดดีงามมากไปกว่าครั้งนี้อีกหรือ?

บัดนี้ โทรศัพท์มือถือของหลินเป่ยเฉินอยู่ระหว่างการอัปเกรดอุปกรณ์ นั่นหมายความว่าสิ่งที่เก็บเอาไว้ในโทรศัพท์มือถือไม่สามารถใช้งานได้ชั่วคราว เช่นเดียวกับแอปพลิเคชันอีกหลายตัว ดังนั้น หลินเป่ยเฉินจึงเตรียมทางออกเอาไว้แล้ว เขาต้องเก็บเกี่ยวพลังศรัทธาจากนายทหารแนวหน้าเหล่านี้ให้ได้เยอะมากที่สุดเมื่อมีโอกาสนั่นเอง

เกาเฉิงฮั่นขมวดคิ้วมองหน้าเด็กหนุ่มด้วยความสงสัย

เดี๋ยวก่อนนะ

หลินเป่ยเฉินตั้งใจจะปั่นหัวเขาหรือไง?

ก็ในเมื่ออยากจะออกไปสู้ก่อนเป็นคนแรก แล้วหลินเป่ยเฉินจะมาถามเขาเพื่ออะไร?

“ฮ่าฮ่าฮ่า… ล้อเล่นน่ะขอรับ ข้าแค่ล้อเล่น”

หลินเป่ยเฉินระเบิดเสียงหัวเราะและรีบพูดต่อ “อีกอย่าง ข้ามีเพียงขวัญกำลังใจแข็งกล้า หาได้มีความชำนาญในการนำทหารออกสู่สนามรบไม่ บัดนี้คงไม่มีใครสามารถทำได้ดีมากไปกว่าพี่ใหญ่อีกแล้วขอรับ ดังนั้น ข้าจึงอยากจะให้ท่านได้มีโอกาสนั่งพัก และคอยดูข้าออกรบเพื่อเก็บเกี่ยวประสบการณ์แทนท่านเอง ข้าจะนำชัยชนะกลับมาให้ได้โดยเร็วที่สุดขอรับ …ไม่ทราบว่าข้าควรจัดการพวกนักรบชาวทะเลก่อน หรือจัดการพวกอสูรทะเลยักษ์เหล่านั้นก่อนดีขอรับ?”

เมื่อเกาเฉิงฮั่นได้ยินดังนั้น เขาก็รู้สึกว่าหลินเป่ยเฉินพูดจาดีมีเหตุผลขึ้นมาทันที

“เจ้าสมควรจัดการอสูรยักษ์พวกนั้นก่อน”

แม่ทัพใหญ่ตอบโดยไม่ลังเล

หากแก้ไขปัญหาอสูรยักษ์โจมตีกำแพงเมืองได้เมื่อไหร่ สถานการณ์ของกำแพงเมืองก็จะกลับมาอยู่ในความมั่นคงอีกครั้งเมื่อนั้น

ส่วนพวกนักรบชาวทะเลที่หลุดเข้ามาอยู่ในพื้นที่ของพวกเขา เมื่อไม่มีกำลังเสริมจากภายนอกคอยช่วยเหลือ พวกมันก็มีสภาพไม่ต่างไปจากตะพาบในไห

“รับทราบขอรับ”

หลินเป่ยเฉินพยักหน้า

เด็กหนุ่มโคจรพลังปราณธาตุทองคำ

เพียงเขายกมือโบกสะบัดเท่านั้น ลูกธนูจำนวนมากก็พุ่งออกไปในอากาศ

ฟิ้ว!

กลุ่มลูกธนูพุ่งทะลวงผ่านอสูรทะเลร่างยักษ์ง่ายดายราวกับเป็นตุ๊กตากระดาษตัวหนึ่ง

ลูกธนูเหล่านั้นทิ้งลำแสงวาบเป็นทางยาวทางด้านหลัง

ไม่ต่างจากลำแสงทองคำ

การโจมตีของลูกธนูที่ผ่านการลงค่ายอาคมกลับมีความรุนแรงมากยิ่งขึ้น

ทุกคนล้วนเห็นม่านโลหิตสาดกระจายออกมาจากร่างกายของอสูรทะเลลึก ซึ่งหมายความว่าลูกธนูที่พุ่งออกไปนั้นเข้าเป้าอย่างแม่นยำ

แต่ที่สำคัญไปกว่านั้นก็คือ เมื่อลูกธนูพุ่งทะลวงผ่านร่างอสูรทะเลไปแล้ว พวกมันก็เบี่ยงทิศทางไปแทงทะลุร่างกายของอสูรทะเลร่างยักษ์ที่ยืนอยู่ใกล้เคียงอีกหกตัวติดๆ กัน ส่งผลให้เพียงพริบตาเดียวเท่านั้น อสูรทะเลลึกที่ชาวทะเลอัญเชิญขึ้นมาจากใต้พื้นดินก็ตกตายเกือบหมดสิ้น

ทุกอย่างเกิดขึ้นในพริบตาเดียว

บัดนี้ อสูรทะเลร่างยักษ์ที่ได้รับบาดเจ็บกำลังระเบิดเสียงคำรามด้วยความเจ็บปวดดังกึกก้องท้องฟ้า ร่างกายของมันค่อยๆ ล้มลงฟาดพื้นดินอย่างหนักหน่วง ไม่ต่างจากต้นไม้ร้อยปีที่ถูกโค่นล้ม

นักรบชาวทะเลจำนวนมากไม่ทันได้ตั้งตัว จึงถูกอสูรทะเลลึกล้มทับตกตายไปนับไม่ถ้วน…

“ยังไม่จบแค่นี้หรอกนะ”

หลินเป่ยเฉินโบกสะบัดทั้งสองมืออีกครั้ง

ทำเช่นเดียวกับครั้งที่แล้ว

ลูกธนูที่ได้รับการลงค่ายอาคมพิเศษพุ่งออกไปโจมตีใส่อสูรทะเลลึกซึ่งยังมีชีวิตอยู่ทีละตัวสองตัว คมธนูทำงานได้ไม่ต่างจากคมเคียวยมทูต บรรดาจอมเวทย์ชาวทะเลแม้พยายามสร้างม่านเวทมนตร์ขึ้นมาคุ้มกันสัตว์อสูรของตนเอง แต่ก็ยังไม่สามารถหยุดยั้งการทะลุทะลวงของลูกธนูได้อยู่ดี!

เมื่อพวกของหลู่เหวินหยวนเห็นเช่นนั้น พวกเขาก็ต้องอ้าปากค้างด้วยความตกตะลึง

ถึงทุกคนในกองทัพจะทราบดีอยู่แล้วว่าหลินเป่ยเฉินมีฝีมือการต่อสู้ไม่ธรรมดา แต่การโจมตีที่รุนแรงหนักหน่วงเช่นนี้ ไม่ว่าใครต่างก็คิดไม่ถึงจริงๆ

หากให้เกาเฉิงฮั่นลงมือเอง และเพิ่มเวลาในการสังหารสัตว์อสูรร่างยักษ์เหล่านี้อีกหลายสิบลมหายใจ เกรงว่าก็ยังไม่เพียงพอด้วยซ้ำ

เสียงโห่ร้องด้วยความดีใจดังขึ้นมาจากหลังกำแพงเมือง

นายทหารที่กำลังสู้รบกับชาวทะเลอย่างดุเดือดนั้นอดระเบิดเสียงคำรามออกมาไม่ได้เมื่อพบว่าสัตว์อสูรที่โจมตีกำแพงเมืองได้ถูกสังหารสิ้นแล้ว

ในเวลาเดียวกันนี้ ณ ค่ายที่พักของกองทัพชาวทะเล ได้ปรากฏมนุษย์ครึ่งปลากลุ่มหนึ่งลอยตัวขึ้นมาในอากาศ

“นั่นมันจอมเวทย์ของเผ่ามนุษย์เงือก”

หลู่เหวินหยวนส่งเสียงอุทานออกมาดังลั่น

ชาวทะเลที่เป็นจอมเวทย์มีพลังสามารถคุกคามมนุษย์ได้มากที่สุดแล้ว

นอกจากพวกมันจะสามารถใช้เวทมนตร์สร้างกำแพงป้องกันคุ้มครองเภทภัยได้แล้วนั้น เหล่าจอมเวทย์จากใต้ทะเลลึกต่างก็สามารถเพิ่มพลังต่อสู้ให้แก่นักรบชาวทะเลได้เช่นกัน แม้ว่าโดยทั่วไปผู้ที่เป็นจอมเวทย์จะมีทักษะการต่อสู้ค่อนข้างธรรมดา แต่พวกมันกลับมีบทบาทสำคัญในการรบเสมอ และอีกสิ่งหนึ่งที่ไม่สามารถมองข้ามได้เลยก็คือ ความเร็วในการใช้เวทมนตร์ของพวกมันก็ไม่แตกต่างไปจากการสร้างค่ายอาคมของมนุษย์แม้แต่น้อย

ตลอดการต่อสู้ที่ดำเนินมาหลายเดือน จอมเวทย์ชาวทะเลสามารถทำให้นายทหารจากกองทัพประจำนครเจาฮุยบาดเจ็บสาหัสเพียงเท่านั้น ไม่มีผู้ใดถูกฆ่าตายถึงชีวิต

แต่จอมเวทย์เผ่าพันธุ์มนุษย์เงือกมีสัญชาตญาณการฆ่ามากที่สุดในกลุ่มจอมเวทย์ด้วยกัน

มีข่าวลือว่าพวกมันเป็นผู้กุมอำนาจใหญ่ในอาณาจักรใต้บาดาล เพราะมนุษย์เงือกมีความสามารถเสกคลื่นลมและเรียกพายุฝนได้รุนแรงมากกว่าชาวทะเลเผ่าอื่นๆ

หลินเป่ยเฉินพบว่าในขณะนี้มีมนุษย์ครึ่งปลาจำนวนแปดตัวลอยขึ้นมาอยู่บนท้องฟ้า แล้วพวกมันก็เริ่มส่งเสียงบริกรรมคาถาอย่างรวดเร็ว แสงสว่างสีฟ้าครามสาดกระจายออกมาจากร่างมนุษย์เงือกเหล่านี้ แสงสว่างนั้นอาบไล้ไปทั่วกายกลุ่มนักรบชาวทะเล หลังจากนั้น กองทัพนักรบชาวทะเลก็ระเบิดเสียงโห่ร้องออกมาด้วยความคุ้มคลั่ง และวิ่งโจมตีเข้าใส่กำแพงเมืองนครเจาฮุยอย่างไม่กลัวตาย

หลินเป่ยเฉินยังคงควบคุมลูกธนูโจมตีฝ่ายตรงข้ามอย่างต่อเนื่อง

ลูกธนูอีกฝูงใหญ่พุ่งตรงเข้าไปยังกลุ่มจอมเวทย์มนุษย์เงือก

เปรี้ยง! เปรี้ยง! เปรี้ยง!

เสียงระเบิดแปลกประหลาดดังขึ้นจากค่ายที่พักชาวทะเล ก่อนที่ลูกธนูเหล่านั้นจะถูกบางสิ่งบางอย่างกระแทกใส่อย่างแม่นยำจนแตกกระจายกลายเป็นผุยผง

เอาละสิ

ผู้มีพลังขั้นเซียนของชาวทะเลแสดงฝีมือแล้วใช่หรือไม่?

ดวงตาของหลินเป่ยเฉินเป็นประกายแวววาว

เขาพยายามโจมตีด้วยลูกธนูอีกหลายครั้ง

แต่ฝูงลูกธนูของเขาก็ถูกบุคคลปริศนาในค่ายที่พักชาวทะเลกำจัดทิ้งทั้งหมด

ส่งผลให้จอมเวทย์มนุษย์เงือกยังสามารถบริกรรมคาถาเสริมสร้างความแข็งแกร่งให้แก่นักรบชาวทะเลได้ต่อไป

คาถาที่พวกมันบริกรรมออกมาซึ่งฟังดูคล้ายกับบทเพลงปลุกใจโบราณนั้น ขณะนี้กำลังดังกังวานไปทั่วนอกเขตกำแพงเมือง

เมื่อนักรบชาวทะเลได้รับฟังบทสวดเหล่านี้ ความสามารถในการต่อสู้ของพวกมันก็เพิ่มขึ้น

สถานการณ์ของนครเจาฮุยเริ่มกลับมาย่ำแย่อีกครั้ง

เหล่าแม่ทัพนายกองต่างมีสีหน้าวิตกกังวลเช่นเดียวกับหลู่เหวินหยวน

ครั้งนี้ ขุมกำลังของชาวทะเลมีความแข็งแกร่งเกินกว่าที่พวกเขาคาดคิดจริงๆ

จอมเวทย์มนุษย์เงือกทั้งแปดตัวที่ลอยอยู่ในอากาศ มีความสำคัญต่อกองทัพชาวทะเลไม่ต่างไปจากผู้มีพลังระดับเซียน

หลินเป่ยเฉินแค่นหัวเราะในลำคอ

โทษทีนะ แต่เขาอยากรู้เหลือเกินว่าพวกมันจะมีระดับพลังอยู่ในขั้นไหนกันแน่?

บัดนี้ หลินเป่ยเฉินจำเป็นต้องแสดงฝีมือเพื่อปกป้องคนทั้งเมือง

เด็กหนุ่มลอยตัวขึ้นไปในอากาศ

เขาเหยียบเท้าอยู่บนกระบี่ ท่าทางองอาจสง่าผ่าเผย ไม่ต่างจากเทพเจ้าที่ลงมาจากสวรรค์

หลินเป่ยเฉินควบคุมกระบี่ให้บินตรงไปยังค่ายที่พักของชาวทะเล

“คุณชาย…” หลู่เหวินหยวนและแม่ทัพนายกองคนอื่นๆ ส่งเสียงอุทานออกมา

ในค่ายที่พักของชาวทะเล มีผู้มีพลังระดับเซียนของพวกมันซ่อนตัวอยู่

ผู้มีพลังระดับเซียนผู้นั้นถือเป็นไพ่ตายใบสุดท้ายของชาวทะเล ฝีมือย่อมร้ายกาจเกินจินตนาการ

เกาเฉิงฮั่นก็เริ่มรู้สึกวิตกกังวลขึ้นมาเช่นกัน

หลินเป่ยเฉินมั่นใจในตัวเองมากเกินไป

สงครามไม่ใช่ว่าจะเอาชนะกันได้ในการพุ่งรบแค่วันเดียวสักหน่อย ต่อให้หลินเป่ยเฉินจะมีพลังระดับเซียนเช่นกัน แต่ถ้าผิดพลาดเพียงนิดเดียว เด็กหนุ่มก็อาจจะต้องเสียใจไปชั่วชีวิต