คำพูดนี้เดิมทีฟังดูแล้วเจ็บช้ำ แต่ว่ายามที่ออกมาจากปากของตู๋กูซิงหลัน กลับฟังดูแง่งอนเหมือนกับว่าเป็นเรื่องตลก 

 

 

แม้ว่าจะดื่มไปถึงครึ่งไหแล้ว แต่ว่าท่านเจ้าสำนักก็ยังคงนั่งหลังตั้งตรงได้อยู่ 

 

 

“หากเจ้าคิดว่าอาจารย์คือจีเฉวียน ก็ถือว่าใช่ก็แล้วกัน” 

 

 

แม้แต่ตัวเขาเองก็ยังไม่มั่นใจ บางทีเขาอาจจะเป็นคนผู้นั้นจริงๆก็เป็นได้? 

 

 

แต่ไหนแต่ไร กับคำถามที่ว่า ‘ตนเองคือใครกันแน่’ท่านเจ้าสำนักก็ยังไม่เคยมีความคิดเฉพาะเจาะจงลงไปสักที 

 

 

ในเมื่อสิ่งนี้ไม่ใช่สิ่งที่จะแย่งชิงหรือวอนขอมาได้ เช่นนั้นก็ตามน้ำไปก็แล้วกัน 

 

 

“อย่างมาก อาจารย์ก็เปลี่ยนแซ่ เรียกว่า จีต้าฉุยก็แล้วกัน” 

 

 

จี! ต้า! ฉุย! (อกใหญ่ ฆ้อนยักษ์) 

 

 

ไม่ใช่ว่าตู๋กูซิงหลันขี้ขลาดตาขาว แต่ว่าหลายตัวอักษรนี้หากเอามาพูดทีละคำ ฟังดูแล้วน่าอายขนาดไหนรู้หรือไม่? 

 

 

หากว่าอยู่ในโลกยุคปัจจุบัน เกิดวันไหนไม่ทันระวัง ถูกคนเรียกไปท้าดวลกันขึ้นมา 

 

 

เจ้าก็ไปประกาศต่อหน้าเขาโต้งๆว่า เจ้าคือ จีต้าฉุย อย่างงี้นะหรือ? 

 

 

น่าอายโคตร! 

 

 

ตู๋กูซิงหลันพิจารณาตนเองอยู่ในใจเงียบๆ นางช่างเป็นมารร้ายจริงๆ เรื่องเช่นนี้ ก็ยังคิดออกมาได้หรือ? 

 

 

ในขณะที่ใบหน้าของนางใกล้จะเป็นตะคริวไปแล้ว ท่านเจ้าสำนักก็เอ่ยออกมาอย่างปลอบโยนคำหนึ่งว่า “ชื่อเสียงเรียงนามก็แค่คำเรียกขาน ฟังฟังไปก็คุ้นกันไปเอง” 

 

 

“จีจีฉุย ต้าฉุยจี จีฉุยฉุย ไม่ว่าจะเป็นแบบไหน ขอเพียงแค่เจ้าชอบ จะเรียกอย่างไรก็ย่อมได้” 

 

 

ตู๋กูซิงหลันอยากจะขอร้องให้เขาหุบปากเถอะ! 

 

 

รู้แล้วว่าจีจี (อก)ของเจ้ามันต้า (ใหญ่) พอใจแล้วไหม? 

 

 

“อ๋อ เจ้าจะเรียกข้าว่าอาจารย์จีจีต้าก็ได้นะ” 

 

 

ตู๋กูซิงหลันแทบจะกระโดดออกมาแล้ว นางยื่นมือไปปิดปากของเขาเอาไว้ ปิดจนแน่นสนิท 

 

 

นางยังเหลือบมองออกไปรอบด้าน จนแน่ใจว่าไม่มีใครแอบฟัง ถึงได้ถอนหายใจออกมา 

 

 

มือที่ปิดปากของเขาเอาไว้ ถึงได้คลายออก 

 

 

นางชักจะสงสัยแล้วว่า เจ้าตัวร้ายผู้นี้มีวิชาอ่านใจผู้คนใช่หรือไม่ โดยเฉพาะสามารถอ่านใจของนางได้ 

 

 

“อาจารย์มีพรสวรรค์สามารถอ่านใจของผู้อื่นได้อยู่แล้ว” 

 

 

เพียงแต่ก่อนหน้านี้เขาไม่เคยใช้กับนางมาก่อนเท่านั้นเอง แต่ว่าคืนนี้ไม่เหมือนกัน เขาหอบสุราและเนื้อมาเพื่อจะพูดคุยเรื่องในใจกับศิษย์น้อย ย้อมต้องอยากจะรู้ความในใจและความคิดที่แท้จริงของนาง 

 

 

ตู๋กูซิงหลัน “ ! ! !” 

 

 

ตอนนี้นางไม่กล้าคิดอะไรเหลวไหลเลอะเทอะอีกแล้ว 

 

 

เมื่อมีคนที่มีความสามารถเช่นนี้อยู่ด้วย ทำเอาผู้อื่นปวดตับจริงๆ 

 

 

ที่ผ่านมาในชีวิตของนางก็เคยเจอคนประหลาดที่สามารถอ่านใจของผู้อื่นได้อยู่เหมือนกัน คนผู้นั้นก็คืออาจารย์ของนางซื่อมั่ว 

 

 

ตอนเป็นเด็ก ความในใจของนางมักจะถูกอาจารย์แอบฟังอยู่เสมอ และเพราะว่านางมักจะแอบกลั่นแกล้งอาจารย์อยู่บ่อยๆ จึงไม่แคล้วถูกอาจารย์ ‘ซ้อมมือ’ อยู่เสมอ 

 

 

ดังนั้นพอพูดถึงเรื่องการอ่านใจขึ้นมา นางก็ลนลานไปหมดแล้ว 

 

 

“ที่แท้อาจารย์เก่าของเจ้าก็รู้จักการอ่านใจผู้คนด้วยหรือ….”ท่านเจ้าสำนักแอบอ่านใจของนางต่อไป 

 

 

ประกายในดวงตาของเขาหลุบลงไปเล็กน้อย 

 

 

ดูท่าอาจารย์คนเก่าของนางคงจะแข็งแกร่งหน้าดู….หากว่าวันหนึ่งพวกเขาบังเอิญได้พบกัน ก็ไม่รู้ว่าใครจะเป็นฝ่ายชนะ? 

 

 

“พี่ชาย พวกเรามาพูดจากันดีๆไม่ได้หรือ? หากจะคุยก็คุยกัน ช่วยปิดความสามารถเหนือมนุษย์ของเจ้าทิ้งไปก่อนได้ไหม?” 

 

 

ตอนนี้ข้าเหมือนไม่เป็นตัวของตัวเองแล้ว คนเหมือนถูกจับตามองดูอยู่ตลอดเวลา ความรู้สึกเช่นนี้ มันไม่ดีเอาเสียเลยจริงๆ 

 

 

“ในเมื่อศิษย์น้อยไม่ชอบ เช่นนั้นก็ไม่ใช้แล้วกัน” ท่านเจ้าสำนักทำตัวพูดง่าย กับศิษย์น้อยแล้ว จะขออะไรก็ได้ทั้งนั้น 

 

 

พอเขาพูดจบ ตู๋กูซิงหลันก็แอบด่าบรรพชนทั้งสิบแปดรุ่นของเขาอยู่นใจ 

 

 

พอเห็นว่าสีหน้าของท่านเจ้าสำนักไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง นางถึงได้รู้สึกวางใจ 

 

 

จากนั้นนางก็เริ่มด่าทอเขาอยู่ในใจอีกชุดใหญ่ คำพูดในใจพวยพุ่งออกมาอย่างพรั่งพรู 

 

 

ที่จริงท่านเจ้าสำนักยังไม่ทันจะได้ปิดการรับรู้ใดเลยทั้งสิ้น อยู่ๆก็ต้องถูกศิษย์น้อยด่าอยู่ในใจชุดใหญ่ แต่ว่าเขาก็แกล้งทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ต่อไป 

 

 

ถูกศิษย์น้อยด่าไปสักหลายประโยค ก็ไม่เห็นจะเป็นอะไร 

 

 

ขอแค่นางสบายใจก็พอ 

 

 

ยามปกติศิษย์น้อยจะพูดจาไพเราะอยู่เสมอ คิดไม่ถึงว่าตอนด่าไปถึงบรรพชนจะจัดมาเป็นร้อยคำ ไม่รู้ว่า ‘ผรุสวาจา’ เหล่านี้นางไปเรียนรู้มาจาผู้ใด 

 

 

เชิงสุราของท่านเจ้าสำนักมิได้สูงส่งสักเท่าใด ดื่มหมดไปไหหนึ่ง ใบหน้าก็แดงก่ำแล้ว ร่างของเขาทาบอยู่บนโต๊ะครึ่งหนึ่ง ในดวงตาหงส์มีประกายทุกข์ใจ 

 

 

“ศิษย์น้อย หากว่าวันหนึ่งอาจารย์ไม่ใช่คนที่เจ้าตามหา แล้วเจ้าจะยัง…” 

 

 

พูดยังไม่ทันจบเขาก็หลับไปเสียแล้ว 

 

 

จอกสุราในมือถูกพลิกคว่ำ จนน้ำสุราหกออกมา ปลายนิ้วเรียวยาวจุ่มลงไปในสุรา เส้นผมยาวสลวยหล่นลงมา แถบผ้าผูกผมสีม่วงบนศีรษะดูโดดเด่นอยู่ใต้แสงเทียน 

 

 

ตู๋กูซิงหลันลุกขึ้นมา มองดูเขาที่เมามายอยู่บนโต๊ะจนหลับไปแล้ว ดวงตาหงส์ปิดลงไป หางตาคล้ายจะมีหยาดน้ำตาอยู่ ไม่รู้ว่าเป็นเพราะฤิทธิ์สุรา หรือว่าเหตุผลใดกัน 

 

 

แต่นางก็ยังคงเดินไปที่ข้างกายเขา ยื่นมือขึ้นมาแกะเสื้อคลุมบนร่างออก คลุมลงไปให้เขา 

 

 

สายลมยามค่ำ หนาวอย่างยิ่ง 

 

 

ตู๋กูซิงหลันยืนอยู่ที่ริมหน้าต่าง มองดูดอกไห่ถางที่ปลิวอยู่ในอากาศด้วยความใจลอยอยู่บ้าง 

 

 

ในห้องของนาง บุปผาวิญญาณที่อยู่ตรงหมอนหนุนเริ่มมีความเคลื่อนไหว เปล่งแสงออกมาจางๆ ขณะที่ตู๋กูซิงหลันยังไม่ทันได้สังเกต ศิลาโลหิตในกระถางดอกไม้ที่อยู่ในถุงเฉียนคุนก็มีความเปลี่ยนแปลงเช่นกัน 

 

 

“น้องเล็ก!” ในตอนนั้นเอง ก็เห็นเงาร่างของคนผู้หนึ่งพุ่งเข้ามา เหาะลงมาที่หน้าต่างของนางอย่างช้าๆ 

 

 

เป็นหนุ่มน้อยในชุดดำตลอดร่าง บนศีรษะยังมีกลีบดอกไม้อยู่หลายกลีบ 

 

 

ตู๋กูซิงหลันตะลึงอยู่ครู่หนึ่ง ค่อยพลิกตัวข้ามหน้าต่างออกไป 

 

 

พี่รองกับท่านเจ้าสำนักไม่ค่อยถูกกัน ท่านเจ้าสำนักแม้ว่าเชิงสุราจะไม่ค่อยดีเท่าไร แต่ว่าอย่างไรก็เป็นผู้แข็งแกร่ง อาจจะตื่นขึ้นมาได้ทุกเมื่อ 

 

 

ดังนั้นนางสมควรออกไปพูดคุยกับพี่รองที่ด้านนอก 

 

 

ขณะเดียวกันก็ถือโอกาสปิดหน้าต่างไปเสียด้วยเลย 

 

 

ตู๋กูเจวี๋ยเองก็เข้าใจดี พอคว้ามือของนางได้ คนก็พุ่งเข้าไปในพุ่มอันหนาทึบของต้นไห่ถาง 

 

 

ทั้งยังสร้างเขตอาคมขึ้นมาครอบคลุมเอาไว้ 

 

 

“น้องเล็ก วันนี้เจ้าทำให้พี่รองต้องตกใจจนแทบกระโดดแล้ว” ยามกลางวันมีผู้คนมากมาย เขาจึงไม่มีโอกาสได้พูดกับน้องเล็กเลยแม้แต่น้อย 

 

 

ตอนนี้จึงอยากจะรู้ความเป็นมาเป็นไปจนทนไม่ไหว  

 

 

ตู๋กูซิงหลันก็รู้จักนิสัยของเขาดี ว่าจะอย่างไรต้องซักไซร้ให้ถึงที่สุดให้จงได้ 

 

 

จึงได้เป็นฝ่ายเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นทั้งหมดออกมารอบหนึ่ง 

 

 

ทำเอาสีหน้าของตู๋กูเจวี๋ยถึงกับมีแต่ความตกตะลึง “พวกเราเป็นหลานๆของเขาจริงๆ?” 

 

 

เขาไม่อาจจะยอมรับความจริงข้อนี้ได้จริงๆ เพราะว่าท่านตาเป็นผู้ที่เลี้ยงดูพวกเขามาตั้งแต่เล็กจนโต 

 

 

ท่านแม่จากไปแต่เนิ่นๆ ท่านพ่อเจ้ามังกรที่ไม่ค่อยจะได้เรื่องผู้นั้นก็หายสาบสูญไป ในใจของตู๋กูเจวี๋ย ท่านตาจึงเป็นบุคคลที่เขาเคารพและรักมากที่สุด 

 

 

อยู่ๆตอนนี้ก็จะมาบอกว่า ท่านตาที่แท้จริงของพวกเขาเป็นคนอื่นน่ะหรือ? 

 

 

“สรุปแล้วเรื่องราวก็เป็นเช่นนี้ พี่รอง ข้าอยากเห็นจิตวิญญาณที่แตกร้าวของชือหลีสักหน่อย” 

 

 

ตู๋กูซิงหลันมิได้บอกความจริงกับเขา เพราะเกรงว่าเขาจะร้อนรนกระวนกระวายจนทำเสียเรื่อง 

 

 

นางอยากจะพบกับชือหลีมาตั้งแต่แรกแล้ว เพียงแต่ว่ายังไม่สบโอกาส 

 

 

ตู๋กูเจวี๋ยรู้ว่านางหาเรื่องเปลี่ยนหัวข้อสนทนา เขาก็ไม่ได้เปิดโปงนาง เพียงเอ่ยว่า “มิว่าจะอย่างไร ท่านตาที่บ้านตระกูลตู๋กูก็เป็นญาติสนิทที่สุดของพวกเรา พี่รองหวังว่าน้องเล็กจะไม่ลืมข้อนี้” 

 

 

ตู๋กูซิงหลันไม่ได้เถียงเขา ท่านตาที่บ้านตระกูลตู๋กู นางยกเอาไว้อยู่ในใจ ให้ทั้งความเคารพและรักใคร่อยู่แล้ว 

 

 

ครู่หนึ่งหลังจากนั้น ตู๋กูเจวี๋ยก็นำกระถางติ่งใบหนึ่งออกมา 

 

 

ในกระถางติ่งมีกลิ่นเลือด ทั้งยังมีอะไรวิบๆวับๆเคลื่อนไหวอยู่ 

 

 

พอตู๋กูซิงหลันกวาดตาลงไป ก็มองเห็นแสงสว่างที่ระยิบระยับอยู่ในกระถางติ่งใบนั้น 

 

 

……………….