นอกเขาพยับคราม
“อวี่หลิงคงตายแล้ว!”
เมื่อข่าวนี้กระจายออกไป ความคิดแรกของผู้ฝึกปราณทุกคนก็คือ ข่าวเท็จ!
คนผู้นั้นเป็นถึงบุคคลแห่งยุคของแดนพิสุทธิ์อมตะในแดนกาฬทักษิณ มีชาติกำเนิดจากตระกูลอริยะ ชื่อเสียงเลื่องลือทั่วแดนกาฬทักษิณนานแล้ว ความสามารถเข้มแข็งโดดเด่นเหนือคนรุ่นเดียวกัน
คนเช่นนี้เหตุใดถึงถูกฆ่าตายได้
แต่ยิ่งข่าวซึ่งเกี่ยวข้องกับการตายของอวี่หลิงคงกระจายออกมามากขึ้นเรื่อยๆ เหล่าผู้ฝึกปราณยิ่งเงียบเชียบ สีหน้าผันแปรไม่ว่างเว้น ในใจมีคลื่นความตระหนกซัดสาดประหนึ่งอสนีบาตสะเทือนเลือนลั่นโครมคราม
แม้แต่เหล่าคนใหญ่คนโตอย่างท่านย่ากระเรียนทอง ตอนนี้ก็สั่นสะท้านอย่างรุนแรง
เทพมารหลินคนนั้น แข็งแกร่งปานนี้จริงหรือ
ถ้าอวี่หลิงคงถูกเขาฆ่าจริง เช่นนั้นในรุ่นเดียวกันพลังปราณของเขาจะถึงขั้นไหนแล้ว
“ตำหนักอมตะก็ไร้ประโยชน์ มันถูกเจดีย์สมบัติลี้ลับองค์หนึ่งในมือเทพมารหลินตรึงไว้ ไม่อาจทำให้อวี่หลิงคงโต้กลับ”
เมื่อได้ข่าวเช่นนี้ ความรู้สึกของเหล่าผู้ฝึกปราณก็ยิ่งซับซ้อนขึ้นเสียแล้ว ในความสั่นสะท้านมีความงุนงงที่ไม่อาจควบคุมได้อยู่ด้วย
เทพมารหลินผู้นั้นครอบครองสมบัติอริยะตามข่าวลือจริงๆ เสียด้วย!
อีกทั้งยังไม่ใช่สมบัติอริยะทั่วไป หาไม่แล้วจะต่อกรกับยอดสมบัติอริยมรรคอย่างตำหนักอมตะได้อย่างไร
เด็กหนุ่มที่มาจากโลกเบื้องล่างผู้หนึ่ง กลับสร้างคลื่นลมผันผวนแก่แดนฐิติประจิม ก้าวหน้าคว้าชัย สะเทือนผู้คนในโลกหล้าครั้งแล้วครั้งเล่าในช่วงเวลาสั้นๆ ไม่ถึงครึ่งปี
เขาไร้ที่พึ่งพิง หัวเดียวกระเทียมลีบ แต่กลับฟันฝ่าการแก่งแย่งในหมู่คนรุ่นเยาว์ได้อย่างเจิดจรัสแข็งกร้าว สิ่งนี้ก็เหมือนเป็นปาฏิหาริย์ สามารถสะท้านโลกได้แล้วอย่างหนึ่ง
จวบจนตอนนี้ มีใครในแดนฐิติประจิมไม่รู้จักชื่อของเทพมารหลินบ้าง
คาดเดาได้เลยว่าหลังจากข่าวที่เขาสังหารอวี่หลิงคงกระจายออกไป เกรงว่าไม่เพียงจะสะเทือนแดนฐิติประจิม ยังถึงขั้นทำให้กิตติศัพท์ของเขาแผ่กระจายไปถึงแดนชัยบูรพา แดนกาฬทักษิณ และแดนดาราอุดร!
ผู้ฝึกปราณมากมายต่างงงงัน เทพมารหลินผู้นี้ผงาดขึ้นไวเกินแล้ว หรือในหมู่คนรุ่นเยาว์ เขาแทบจะไม่มีศัตรูแล้วจริงๆ
ในหมู่คนรุ่นเดียวกันบนโลกนี้ ยังมีใครสามารถต้านทานเทพมารหลินได้หรือไม่
และมีผู้ฝึกปราณหลายคนจิตใจเสียศูนย์ ไม่อาจยอมรับได้ว่าเด็กหนุ่มที่มาจากโลกชั้นล่างอันแห้งแล้งผู้หนึ่ง ขนาดสำนักยังไม่มี แต่กลับโดดเด่นถึงที่สุด ก่อให้เกิดลมพายุในแดนฐิติประจิม นี่จะให้พวกเขายอมรับได้อย่างไร
และในบรรยากาศที่เงียบเชียบและกดดันเช่นนี้ ก็มีข่าวใหม่ล่าสุดกระจายออกมาอีก…
“เทพมารหลินประสบเคราะห์ ถูกตำหนักอมตะโจมตีจนได้รับบาดเจ็บสาหัส กำลังถูกเหล่าผู้กล้าล้อมโจมตี หากไม่เหนือความคาดหมาย เป็นไปได้สูงมากที่เขาจะถูกปลิดชีพ!”
ทันใดนั้นบรรยากาศที่กดดันเงียบสงัดอยู่เดิมก็ถูกทำลายลง ทำให้ทั้งนอกเขาพยับครามฮือฮา เสียงต่างๆ ดังขึ้นเซ็งแซ่ครึกโครม
“ทำชั่วมากนักย่อมฆ่าตัวเอง! คนอย่างเทพมารหลินก็ไม่ควรหลงเหลืออยู่บนโลก!”
มีผู้ฝึกปราณมีความสุขที่เห็นผู้อื่นลำบาก
“เป็นไปไม่ได้ บนโลกนี้ยากนักที่จะมีบุคคลแห่งยุคอย่างเทพมารหลินสักคน ภายหน้าต้องเป็นผู้นำแห่งยุคคนหนึ่ง จะถูกปลิดชีพเช่นนี้ได้อย่างไร”
และมีผู้ฝึกปราณไม่อาจยอมรับได้
ส่วนเหล่าคนใหญ่คนโตกลับล้วนลอบถอนใจโล่งอกโดยมิได้นัดหมาย หลายคนก็เผยรอยยิ้มรางเลือน
ถ้าเทพมารหลินมีชีวิตอยู่ ต้องกำราบจนผู้สืบทอดในสำนักเก่าแก่ของพวกเขาเหล่านั้นไม่อาจชูคอขึ้นมาได้ เหมือนมหาบรรพตที่ทำให้ผู้อื่นหายใจติดขัด
ยังดี ในที่สุดเขาก็ประสบเคราะห์แล้ว!
ท่านย่ากระเรียนทองเสียดายนัก นางเสนอให้เชื้อเชิญหลินสวินมาเป็นศิษย์มาโดยตลอด คิดว่าอัจฉริยะไร้เทียมทานเช่นนี้ควรมีทางข้างหน้าที่ยิ่งใหญ่ยาวไกลยิ่งขึ้นไป แต่ตอนนี้เมื่อรู้ว่าเขาประสบเคราะห์ จิตใจก็แปรเปลี่ยนเป็นซับซ้อนหาใดเทียบในทันใด
เพียงแต่รอมาครู่ใหญ่ก็ไม่เห็นว่ามีข่าวใหม่กระจายออกมา ทำให้เหล่าผู้ฝึกปราณที่อยู่นอกเขาพยับครามต่างร้อนรนจนทนไม่ไหวอยู่บ้างแล้ว
‘ตกลงเทพมารหลินตายไปหรือยัง’
ผู้ฝึกปราณทุกคนล้วนเกิดความสงสัยขึ้นในใจ
และก็ในตอนนี้เอง ข่าวใหม่ล่าสุดก็กระจายออกมา… เทพมารหลินไม่ได้ถูกสังหาร แต่กลับเป็นเหล่าผู้กล้าแห่งยุคที่ล้อมโจมตีเขาเหล่านั้นถูกฆ่าตายคาที่ ส่วนผู้ที่ทำทุกอย่างนี้ เป็นเด็กสาวลึกลับที่ปรากฏตัวขึ้นกะทันหันผู้หนึ่ง!
“น่ากลัวเกินไปแล้ว โจมตีด้วยทวนครั้งเดียวก็ฆ่าตายไปคนหนึ่ง ไม่มีทางรอดไปได้ บุคคลแห่งยุคเหล่านั้นล้วนตายด้วยน้ำมือของนางประหนึ่งเศษกระดาษอ่อนแอที่รับไม่ได้แม้แต่การโจมตีเดียว!”
เมื่อข่าวนี้กระจายออกมา แรกเริ่มในที่นั้นเงียบสงัดอย่างประหลาด จากนั้นก็แปรเปลี่ยนเป็นเสียงดังอื้ออึงเดือดพล่าน
มีคนตื่นเต้นฮึกเหิม และมีคนอกสั่นขวัญหาย
ท่ามกลางเสียงอึกทึกครึกโครมนี้ ยังมีเสียงคำรามดาลเดือดราวจะฉีกทึ้งหัวใจและปอดระลอกแล้วระลอกเล่าดังขึ้น
“กล้าฆ่ามู่เจี้ยนถิงผู้สืบทอดอารามพรางมรกตของข้า ไม่ว่าเจ้าจะมีความสามารถมากมายขนาดไหน ก็ต้องชดใช้ด้วยชีวิต!”
“เป็นไปไม่ได้ ซางเจี่ยหลานของข้าคนนั้นครอบครองลายมรรคลี้ลับแต่กำเนิด เหตุใดถึงมาประสบเคราะห์เอาตอนนี้ได้ เทพมารหลิน เจ้าอย่าหวังจะได้ตายดีเลย!”
“ตั้งแต่วันนี้ไป สำนักยุทธ์สมุทรครามของข้าจะสังหารเทพมาหลินเพื่อแก้แค้นให้หลี่ชิงฮวนโดยไม่สนว่าจะต้องจ่ายค่าตอบแทนใดๆ!”
คนใหญ่คนโตเหล่านั้นล้วนสีหน้าคล้ำเขียว ไฟโทสะแผดเผา ท่าทางแทบคลุ้มคลั่ง ฟ้าดินเต็มไปด้วยไอสังหารน่าหวาดหวั่น ทำให้บริเวณนี้แปรเปลี่ยนเป็นเหี้ยมเกรียมหาใดเทียบ
ทันใดนั้นเสียงฮือฮานอกเขาพยับครามก็ถูกกดทับ
ทุกคนต่างรับรู้ได้ว่า คราวนี้ต่อให้เทพมารหลินรอดชีวิตเดินออกมา ก็ต้องเผชิญหน้ากับไฟโทสะของคนใหญ่คนโตมากมาย!
เหตุใดถึงเป็นเช่นนี้
ง่ายดาย แม้เทพมารหลินจะแข็งแกร่ง แต่ไม่มีขุมอำนาจใหญ่ที่สามารถคุ้มครองเขาได้ ทำให้คนใหญ่คนโตเหล่านี้กล้าเหิมเกริมไม่หวั่นเกรง พุ่งเป้าไปที่เขาเช่นนี้!
ไม่ต้องคิดมากมายเลย เรื่องที่เกิดขึ้นวันนี้รุนแรงเกินไป ต้องกลายเป็นพายุคลั่งเฉียดฟ้าลูกหนึ่งแน่ ในวันคืนต่อจากนี้ไปจะสะเทือนสำนักเก่าแก่ใหญ่โตต่างๆ ในแดนฐิติประจิม และจะทำให้ชื่อของเด็กหนุ่มเทพมารหลินกระจายไปทั้งใต้หล้าอีกครั้ง กลายเป็นผู้มีอิทธิพลสมคำร่ำลือ
แน่นอนว่ายังมีเงื่อนไขข้อหนึ่ง นั่นก็คือ ยามเทพมารหลินเดินออกมาจากเขาพยับคราม จะตั้งรับไฟโทสะและไอสังหารจากคนใหญ่คนโตเหล่านั้นไว้ได้หรือไม่
ขณะเดียวกัน ยังมีความสงสัยข้อหนึ่งวนเวียนอยู่ในใจของผู้ฝึกปราณทุกคน เด็กสาวลึกลับที่ถือร่มดำกำทวนม่วงผู้นั้นเป็นใครกัน
……
ในประตูที่แทบเหมือนไม่มีอยู่จริงนั้น เป็นทางเดินมิติเส้นหนึ่ง เส้นแสงกาลเวลาหลากสีบิดงอรวมกัน งดงามน่าหวาดผวา
เมื่อเข้าไปในนั้นประหนึ่งเข้าไปในห้วงความว่างเปล่าอันสวยงาม โดยรอบปราฏไอหมอกสลัว สิ่งเหล่านั้นแปรสภาพมาจากพลังกฎเกณฑ์ มีเพียงอริยะถึงสามารถมองทะลุความลี้ลับสูงส่งที่บรรจุอยู่ภายในนั้นได้
ซ่า!
ราวกับชั่วพริบตา พวกหลินสวินต่างไม่ทันได้ตอบโต้ก็ถูกพลังแห่งมิติผลักออกไป
มายังโลกภายนอก
ภูเขาไกลลิบเขียวชอุ่ม ครามเข้มราวควัน ที่นี่เป็นหุบเขากลางภูเขาแห่งหนึ่ง เงยหน้าขึ้นไปมอง ภูเขาน้อยใหญ่ราวมารวมตัวกันที่นี่ หมู่คีรีทบซ้อนเขียวขจี ฟ้าดินสูงไกล มีบรรยากาศดึกดำบรรพ์ดั่งทุ่งหญ้าเวิ้งว้าง
ตู้ม…!
น้ำตกสายหนึ่งเทลงมาจากยอดเขาสูงใหญ่ราวกับมังกรขาวห้อยหัว ส่งเสียงครึกโครมดั่งอสนีบาต ไอน้ำอบอวล ฟองคลื่นราวหิมะ
ที่นี่คือที่ไหนกัน และห่างจากเขาพยับครามแค่ไหน
พวกหลินสวินมืดแปดด้าน แต่ที่มั่นใจได้ก็คือที่นี่ไม่ใช่นอกเขาพยับคราม อย่างน้อยก็เรียกว่าเป็นที่ปลอดภัยได้ชั่วคราว
“หลินสวิน ข้าอยากนอนแล้ว” จู่ๆ ซย่าจื้อที่อยู่ข้างๆ ก็เอ่ยปาก นางถือร่มดำคันหนึ่ง สีสันราวราตรีนิรันดร์ บดบังแสงสว่างของท้องฟ้า
“จะฝึกปราณจุติอีกแล้วหรือ” หัวใจหลินสวินบีบรัด
“ไม่ใช่” ซย่าจื้อส่ายหัว “วิชาที่ข้าฝึก รุ่งเรืองเสื่อมถอยเวียนวน เมื่อรุ่งโรจน์ถึงที่สุดก็จะร่วงโรย เมื่อร่วงโรยถึงที่สุดก็จะรุ่งโรจน์ วนเวียนซ้ำไปซ้ำมา น่าหงุดหงิดยิ่ง มีเพียงทลายสิ่งกีดขวางที่จำกัด บรรลุขอบเขตไร้ขีดจำกัด ถึงจะขจัดข้อบกพร่องนี้ได้”
พูดจนจบ คิ้วงามหมดจดของนางก็ขมวดขึ้น
“พูดแบบนี้ ตอนนี้เจ้า…” หลินสวินนัยน์ตาหดรัด
“ไม่สามารถต่อสู้ได้” ซย่าจื้อไม่ปิดบังสักนิด
หลินสวินตกตะลึง วิชาจุตินพชาตินี้แปลกประหลาดเสียจริง เขาไม่กล้าอ้อยอิ่ง ให้ซย่าจื้อเข้าไปพักผ่อนในเจดีย์สมบัติไร้อักษร
“เจ้ากับนาง… มีความสัมพันธ์เช่นไรกันแน่” ไป๋หลิงซีนิ่งเงียบมาโดยตลอด ในที่สุดตอนนี้ก็อดไม่ได้ถามออกมาแล้ว
“เก็บกลับมาจากป่าเขาเมื่อหลายปีก่อน” หลินสวินยิ้มขึ้นมา “ตั้งแต่ตอนนั้น พวกเราสองคนก็แทบจะเรียกได้ว่ามีชีวิตพึ่งพากันและกัน”
ไป๋หลิงซีประหลาดใจ รู้สึกขบขันนัก เก็บเด็กสาวผู้มีเอกลักษณ์และแข็งแกร่งเช่นนี้คนหนึ่งกลับมาง่ายๆ หรือ
จากนั้นนางก็ปล่อยวาง คิดว่าหลินสวินล้อเล่น เพราะไม่ต้องการพูดเรื่องที่เกี่ยวข้องกับซย่าจื้อมาก
“แล้วต่อไปเจ้าคิดจะทำอย่างไร” ไป๋หลิงซีเอ่ยถาม
“รีบรักษาอาการบาดเจ็บ” หลินสวินตอบโดยไม่ลังเล
“ยังไม่ไปตอนนี้หรือ”
“ข้าสงสัยว่าไม่นานจะมีคนมาหาถึงที่”
ดวงตาสีดำของหลินสวินลุ่มลึก ก่อนออกจากเขาพยับคราม อันธพาลเฒ่าได้เคยเตือนอย่างจริงจังว่า แม้จะมาถึงโลกภายนอก ในเวลาอันสั้นก็จะไม่ปลอดภัย
หลินสวินตัดสินใจ แล้วมอบแก่นแท้โอสถราชันหยดหนึ่งให้ไป๋หลิงซี “ใช้สิ่งนี้รักษาอาการบาดเจ็บ จะฟื้นตัวได้เร็วขึ้น”
สิ่งนี้คือแก่นแท้แหล่งกำเนิดที่นำออกมาจากร่างของอันธพาลเฒ่าหยดหนึ่ง เรียกได้ว่าเป็นสมบัติล้ำค่า มีสรรพคุณวิเศษสามารถฟื้นคืนชีวิตได้
หลินสวินใช้ทุกวิถีทาง ก็ยังขู่เข็ญเอามาจากมือตาแก่นั่นได้สามหยดเท่านั้น
“นี่… จะไม่ล้ำค่าเกินไปหรือ” ไป๋หลิงซีหน้าเปลี่ยนสี ใบหน้าพริ้งเพราผ่องแผ้วปรากฏแววประหลาด
นางมองปราดเดียวก็ดูความอัศจรรย์ของโอสถนี้ออก เพียงแค่หนึ่งหยดเท่านั้น แต่กลับอบอวลไปด้วยแสงมรรคเทวา รัศมีศักดิ์สิทธิ์เจิดจ้าสายแล้วสายเล่าแผ่พุ่งออกมา ประหนึ่ง ‘น้ำค้างเซียน’ ในตำนาน
“ให้เจ้าเอาไปก็เอาไปเถอะน่า” หลินสวินพูดพลางยิ้มแล้วยัดเยียดให้นาง
ตอนอยู่บนยอดแท่นมรรคนั้น ไป๋หลิงซีตั้งรับการสังหารแทนตนโดยไม่สนความเป็นตาย เพราะเรื่องนี้ถึงทำให้นางได้รับบาดเจ็บมากมาย
นี่เป็นถึงมิตรภาพร่วมเป็นร่วมตาย เพียงแค่แก่นแท้โอสถราชันหยดหนึ่งเท่านั้น หลินสวินจะเสียดายได้อย่างไร
“รีบฝึกปราณเถอะ”
หลินสวินนั่งขัดสมาธิบนหินที่อยู่ด้านหนึ่งของน้ำตก เริ่มกำหนดลมหายใจเต็มกำลัง
คราวนี้เขาได้รับบาดเจ็บสาหัสยิ่งนัก ถูกพลังกฎเกณฑ์ของสมบัติอริยะเล่นงานอย่างหนักจนแทบจะสิ้นชีพ ที่สามารถฝืนทนมาได้ถึงตอนนี้ ก็เพราะได้รากเส้นหนึ่งกับใบไม้เขียวขจีใบหนึ่งที่อันธพาลเฒ่านั่นมอบให้
สมบัติสองอย่างนี้แม้สู้แก่นแท้โอสถราชันไม่ได้ แต่ก็มีสรรพคุณวิเศษน่าตื่นตะลึง สามารถรักษาอาการบาดเจ็บทั่วร่างเขาได้ ตอนนี้สิ่งที่เขาขาดเพียงอย่างเดียวก็คือเวลาฟื้นตัว
ไป๋หลิงซียืนนิ่งอยู่เช่นนั้น อาภรณ์สีขาวเปื้อนเลือด ใบหน้างามซีดขาว แต่ท่าทางยังคงปราดเปรียวและงดงาม ดุจดั่งเดินออกมาจากภาพเขียน
นางมองดูหลินสวินที่กำลังนั่งขัดสมาธิฝึกปราณอย่างอึ้งงันอยู่ครู่ใหญ่ ริมฝีปากเปล่งปลั่งปรากฏรอยยิ้มเข้าใจยากขึ้น
‘ถ้าเลือกคู่บำเพ็ญ หมอนี่ก็ไม่เลวหรอก…’
เพียงแต่ไม่นานนางก็นึกถึงซย่าจื้อขึ้นมาอีก ในใจพลันยิ้มหยันขึ้นครั้งหนึ่ง ใครคิดจะเป็นคู่บำเพ็ญกับหลินสวิน ต้องผ่านด่านซย่าจื้อให้ได้เป็นด่านแรก
เด็กสาวคนนี้ประหนึ่งเทพ เมื่อนึกถึงฝีมือแก่กล้าจนทำให้ทุกคนสิ้นหวังเช่นนั้นของซย่าจื้อ ความคิดที่เกิดขึ้นโดยไม่รู้ตัวเมื่อครู่นั้นของไป๋หลิงซีก็มลายหายไปในทันใด
‘ภายหน้าข้าอยากเห็นเสียจริงว่าผู้หญิงคนไหนจะกล้าเย้าแหย่หลินสวิน…’ ไป๋หลิงซีคิดขึ้นอย่างล้อเลียนอยู่บ้าง
——