ตอนที่ 1926 โยนไข่ใส่หิน

Unrivaled Medicine God – จอมเทพโอสถ

ทุกสายตาต่างจับจ้องมาที่ร่างของชายหนุ่มผู้นี้

และไม่นานสายตาทั้งหลายก็เปลี่ยนเป็นความเย้ยหยัน

เมื่อมู่เต้าเฉิงได้เห็นเย่หยวนเขาก็หัวเราะลั่นออกมา “ฮ่าๆ เจ้าหนู เจ้าคงยังไม่คุ้นที่ทางสินะ! ที่นี่มันสังเวียนเงิน เจ้าคงไม่ได้เดินขึ้นมาผิดสังเวียนหรอกใช่ไหม?”

แม้ว่าเหล่านักหลอมโอสถสวรรค์เงินนั้นจะมีจำนวนไม่น้อยแต่พวกเขาทั้งหลายนั้นก็ต่างคุ้นชินเคยเห็นหน้าตาของกันมาก่อนสิ้น ทำให้ทุกผู้คนต่างรู้ว่าใครเป็นใคร

ไม่เพียงแค่เย่หยวนจะหน้าไม่คุ้นแล้วแต่เขายังเป็นแค่เด็กหนุ่มแน่นอนว่าทุกผู้คนต่างคิดว่าเขานั้นเดินขึ้นมาผิดสังเวียน

มีหรือที่เด็กหนุ่มอย่างนี้จะเป็นนักหลอมโอสถสวรรค์เงินไปได้?

ที่ด้านข้างทางกรรมการเองก็มองดูด้วยใบหน้าเหนื่อยใจ “เจ้าหนุ่ม ที่นี่คือสังเวียนเงิน ผู้ที่คิดจะขึ้นท้าประลองต้องมีเหรียญเงินก่อนจึงจะสามารถประลองได้”

ดูท่าแล้วเขาเองก็คงไม่เชื่อเช่นกันว่าเย่หยวนนั้นจะเป็นนักหลอมโอสถสวรรค์เงินไปได้

เย่หยวนยิ้มและค่อยๆ ยื่นเหรียญนั้นที่ผู้อาวุโสผิงมอบให้นั้นออกมามอบแก่กรรมการ “นี่น่าจะเป็นเหรียญเงินใช่หรือไม่? ท่านผู้อาวุโสโปรดตรวจสอบ”

นั่นทำให้คำดูถูกเหยียดหยามทั้งหลายเงียบเบาลงเหลือไว้เพียงความเงียบงัน

นักหลอมโอสถสวรรค์เงินที่อายุน้อยขนาดนี้มันไม่เคยปรากฏขึ้นมาก่อน!

กรรมการผู้นั้นรับเหรียญไปและส่งจิตของตนลงไปภายใน และแน่นอนว่าไม่นานเขาก็ได้ทราบว่าเย่หยวนเป็นนักหลอมโอสถสวรรค์เงินที่เพิ่งถูกเลื่อนขั้นขึ้นมาจริงๆ

ชายแก่หันไปมองเย่หยวนอย่างตื่นตกใจ “เหรียญเงินของเจ้านี้เพิ่งถูกออกมาใหม่ แต่ข้าไม่เคยได้ยินชื่อหรือเห็นหน้าเจ้ามาก่อนเลย หรือว่า…”

ชายหนุ่มที่มีความสามารถถึงขั้นนักหลอมโอสถสวรรค์เงินเช่นนี้ต่อให้เขาจะถูกเลื่อนขึ้นมาจากระดับทองแดง มันก็ย่อมต้องมีชื่อเสียงผ่านหูเขามาบ้าง

เพราะฉะนั้นเหรียญนี้ของเย่หยวนจึงมีความเป็นไปได้สูงมากที่จะไม่ใช่การเลื่อนขั้นแต่เป็นการออกใหม่

เย่หยวนยิ้มพร้อมกล่าว “ผู้เยาว์เพิ่งจะผ่านการทดสอบของศาลาโอสถสวรรค์และได้เป็นนักหลอมโอสถสวรรค์เมื่อสักครู่นี้”

‘หืม!’

“เลื่อนขึ้นมาถึงนักหลอมโอสถสวรรค์เงินในคราเดียว! เด็กคนนี้มันทำให้เกิดเก้าปะทุได้!”

“ไม่มีทางหรอกใช่ไหม? ครั้งสุดท้ายที่เกิดเก้าปะทุขึ้นมันก็ผ่านมาตั้งหลายร้อยปีแล้วนา?”

“ใช่ แต่เหล่าคนที่สามารถจะทำเก้าปะทุได้มันล้วนแล้วแต่เป็นเหล่าจอมเทพโอสถหกดาวมากชื่อที่เพิ่งมาถึงศาลาโอสถสวรรค์ ไม่เคยมีจอมเทพโอสถห้าดาวคนไหนทำได้มาก่อน!”

การผ่านทดสอบของศาลาโอสถสวรรค์และขึ้นมาถึงระดับเงินได้ในทันทีนั้นมันเป็นเรื่องที่หาได้ยากยิ่ง

สายตาที่ทุกผู้คนมองมายังเย่หยวนมันจึงเปลี่ยนไปในทันที

นี่คือเด็กหนุ่มที่จะเป็นดาวดวงใหม่ของศาลาโอสถสวรรค์อย่างไม่ต้องสงสัยเลย

ทางกรรมการผู้นั้นเองก็แสดงสีหน้าตื่นตะลึงออกมาก่อนจะคืนเหรียญให้แก่เย่หยวนและบอก “คนหนุ่มสมัยนี้ประมาทไม่ได้เลยๆ!”

เย่หยวนกล่าวตอบ “ตอนนี้ข้ามีคุณสมบัติพอจะท้าทายเขาแล้วใช่หรือไม่?” พูดไปเย่หยวนก็หันหน้าไปหามู่เต้าเฉิง

กรรมการคนนั้นยิ้มขึ้นมาเมื่อได้ยิน “หึๆ เจ้าหนุ่ม เจ้านั้นมีช่องให้พัฒนาอีกมากมาย แต่เจ้าจะดูถูกสังเวียนเงินมากจนเกินไปแล้ว! การประลองกับเขาในตอนนี้มันไม่ได้ให้ประโยชน์ใดๆ กับเจ้าหรอก”

“อย่าสิ ผู้อาวุโสซิน! เขานั้นอุตส่าห์มอบตัวมาถึงหน้าประตูเช่นนี้แล้วผู้เฒ่าอย่างท่านก็อย่าได้มายุ่ง! เด็กคนนี้มันจะทำให้ข้าได้เหรียญทองมาอย่างแน่นอน!” เมื่อมู่เต้าเฉิงได้ยินคำของกรรมการผู้นั้นเขาก็ร้องห้ามทันที

เพราะในวินาทีที่เขาเห็นเหรียญเงินของเย่หยวน นอกจากความตื่นตะลึงแล้วเขายังดีใจมากด้วย

เพราะตราบที่เขาสามารถชนะศึกต่อไปนี้ได้ เขาก็จะสามารถผ่านขึ้นไปถึงสังเวียนทองได้

การได้เป็นนักหลอมโอสถสวรรค์ทองนั้นมันย่อมจะทำให้ชื่อเสียงของเขาลื่อลั่นไปกว่าเดิมมาก เป็นเรื่องที่เขาฝันถึงมาหลายต่อหลายปี

ในสังเวียนเงินนี้การจะชนะให้ได้ถึงสิบครั้งมันมิใช่เรื่องง่ายๆ

และเมื่อเด็กใหม่เดินเข้ามามอบตัวต่อหน้าเขานี้เขาย่อมไม่คิดจะปล่อยโอกาสให้หลุดมือ

ในสังเวียนเงินนี้ตราบเท่าที่ไม่ได้คิดจะยอมแพ้โดยการล้มมวยแล้วไม่ว่าจะเป็นใครก็สามารถขึ้นท้าทายได้

เย่หยวนยิ้มตอบกลับไป “ท่านอย่าได้กังวลไปเลย ถือเสียว่าเป็นการฝึกฝน”

ได้ยินคำของเย่หยวนมู่เต้าเฉิงก็รีบพูดเสริมขึ้นทันที “ผู้อาวุโสซิน เห็นไหมว่าเขาเองก็ยอมรับแล้ว ดำเนินการต่อไปเช่นนี้เถอะ!”

ผู้อาวุโสซินหันไปมองเย่หยวนก่อนจะถอนหายใจยาว “เอาล่ะ เช่นนั้นพวกเจ้าก็ประลองกันได้”

เมื่อมู่เต้าเฉิงได้ยินเขาก็แทบจะลุกขึ้นเต้น “ฮ่าๆ เจ้าหนู ข้าต้องขอบคุณเจ้าเป็นอย่างมาก! เมื่อชนะศึกนี้ได้ข้าก็จะกลายเป็นนักหลอมโอสถสวรรค์ทองแล้ว”

เย่หยวนยิ้มตอบ “อย่าได้เกรงใจไปเลย แต่หากท่านคิดจะชนะข้านั้นมันคงมิใช่เรื่องง่ายนัก”

มู่เต้าเฉิงหัวเราะลั่นออกมา “เจ้าหนู เจ้าคิดว่าแค่ได้เหรียญเงินมาแล้วตัวเองจะเก่งกาจเหนือสวรรค์หรือ? ข้าขอบอกเลยว่าทุกผู้คนในที่นี้ต่างสามารถทำเก้าปะทุได้สิ้น! นักหลอมโอสถสวรรค์นั้นมีพลังฝีมือมากกว่าที่เจ้าคาดคิดนัก เจ้านั้นยังห่างชั้นไปมาก!”

เย่หยวนยิ้มออกมา “เช่นนั้นหรือ? อย่างนั้นเรามาเริ่มกันเถอะ”

ผู้อาวุโสซินร้องบอก “โอสถที่พวกเจ้าจะใช้ประลองหลอมกันคือโอสถพิรุณหวานชื่น”

ที่ด้านล่างสังเวียนคนทั้งหลายต่างมองดูภาพตรงหน้าอย่างอิจฉาริษยา

ไม่มีใครนึกใครฝันว่ามู่เต้าเฉิงจะเจอกับคู่ต่อสู้คนสุดท้ายที่โง่เง่าไม่รู้จักตนเช่นนี้

เท่านี้การได้เหรียญทองของมู่เต้าเฉิงก็เป็นอันเสร็จเรียบร้อยอย่างง่ายดาย

การประลองนี้มันไม่ไม่มีอะไรให้ต้องลุ้นแม้แต่น้อย

นักหลอมโอสถที่เพิ่งขึ้นสังเวียนเงินมา พวกเขานั้นย่อมมีพลังฝีมือที่ต่ำต้อย

มีเพียงแค่ต้องพ่ายแพ้และเก็บเกี่ยวประสบการณ์ความสามารถไปเรื่อยๆ เขาจึงจะสามารถเก่งกาจขึ้นมาได้

เย่หยวนที่เพิ่งมาถึงนี้ย่อมไม่มีใครคิดว่าเขาจะเก่งกาจไปกว่ามู่เต้าเฉิงที่เป็นเจ้าสังเวียนมานานไปได้

เพราะไม่ว่าอย่างไรเสียมู่เต้าเฉิงคนนี้ก็มีความสามารถในระดับของนักหลอมโอสถสวรรค์ทองแล้ว

เมื่อเริ่มการประลองขึ้นเมฆฟ้าดินก็เริ่มเปลี่ยนสี!

พลังของมู่เต้าเฉิงนั้นพุ่งทะยานขึ้นฟ้ากดดันเย่หยวนลงอย่างบ้าคลั่ง

บนสังเวียนในตอนนี้มันเปี่ยมไปด้วยคลื่นพลังจิตที่หนาแน่นจนแทบเรียกได้ว่าบ้าคลั่ง

‘ปัง!’

ในวินาทีแรกพลังจิตของคนทั้งสองก็ได้เข้าปะทะกันอย่างรุนแรง

เว้นเสียแต่ว่าทางมู่เต้าเฉิงนั้นมีความรุนแรงที่เหนือกว่าส่วนทางเย่หยวนนั้นกลับดูเบาบางไร้แรงผลัก

“หึๆ เจ้าหนู ข้าจะสอนเจ้าเอง! ข้าจะทำให้เจ้าได้รู้ว่าสังเวียนเงินนี้มันไม่ง่ายดาย!” มู่เต้าเฉิงร้องบอกพร้อมเสียงหัวเราะลั่นก่อนจะกระแทกพลังคลื่นจิตเข้าไป

การประลองเช่นนี้เมื่อมีฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งมีพลังเหนือกว่ามากจนเกินไปมันมักจะทำให้รู้ผลได้ตั้งแต่รอบแรกที่เริ่ม

ทุกคนต่างคิดว่าเย่หยวนต้องแพ้แล้ว

‘อึก!’

แต่จู่ๆ กลับเป็นฝ่ายมู่เต้าเฉิงที่ร้องออกมาพร้อมด้วยเลือดที่ไหลนองปาก

ส่วนโอสถในหม้อหลอมตรงหน้าเขานั้นก็ส่งเสียงดังลั่นขึ้นก่อนจะส่งกลิ่นไหม้เหม็นไปทั่วสังเวียน

ดูท่าแล้วโอสถในหม้อหลอมของเขาคงไม่อาจใช้การได้แล้ว

ผู้อาวุโสซินเบิกตากว้างทันทีด้วยความตื่นตะลึง

“นี่มัน…เกิดอะไรขึ้นกัน?”

“มู่เต้าเฉิง…แพ้?”

“ไม่มีทางหรอกใช่ไหม? เจ้าหนูนี่มันใช้เวทมนตร์ใด? มู่เต้าเฉิงได้เปรียบอย่างชัดเจน! เหตุใดเขาจึงแพ้ลงด้วยการปะทะเดียวเล่า?”

ที่ด้านล่างคนทั้งหลายต่างแสดงความเห็นออกมากันอย่างต่อเนื่อง

เพราะผลนั้นไม่ได้เกินความคาดหมาย เป็นชัยชนะที่ตัดสินกันตั้งแต่ครั้งแรกที่ปะทะ

เพียงแค่ว่าผู้ชนะมันกลับมิใช่มู่เต้าเฉิง แต่เป็นเย่หยวน!

บนสังเวียนตอนนี้เย่หยวนกำลังใช้เวลาหลอมโอสถไปอย่างใจเย็นราวกับว่าไม่ได้รู้เลยว่ารอบข้างเกิดอะไรขึ้นบ้าง

มู่เต้าเฉิงมองดูเย่หยวนอย่างไม่อยากเชื่อสายตา “ข้า… ข้าแพ้?”

ไม่กี่อึดใจก่อนเขายังบอกออกมาอย่างอวดดี คิดว่าตัวเองได้รับเหรียญมาอย่างแน่นอนแล้ว

ใครจะไปคิดว่าเขากลับแพ้ลงตั้งแต่การปะทะแรก!

เขาเองก็เหมือนกับคนดูอื่นๆ คิดว่าตัวเองต้องชนะอย่างแน่นอน

แต่เมื่อพลังจิตของเขาปะทะเข้ากับพลังจิตของเย่หยวนเขากลับรู้สึกว่าเย่หยวนนั้นเป็นเหมือนขุนเขาใหญ่ ส่วนตัวเขานั้นเป็นแค่ไข่ไก่ใบน้อย

และเมื่อเอาไข่ไก่ไปปะทะกับขุนเขา แน่นอนว่าผลมันต้องออกมาเป็นเช่นนี้

นี่หรือคือความหมายที่โบราณว่าไว้ว่าโยนไข่ใส่หิน?

…………………………