บทที่ 497.3 นับแต่โบราณมาเซียนกระบี่ล้วนต้องดื่มสุรา

กระบี่จงมา! Sword of Coming

มาถึงริมตลิ่งลำคลองเฮยเหอ เฉินผิงอันก็ปลดงอบ รวมไปถึงเจี้ยนเซียนและน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ หันมาสวมหน้ากากของผู้เฒ่า แล้วยังบอกให้บัณฑิตเปลี่ยนการแต่งกายเสียใหม่ ก่อนจะโยนหน้ากากเด็กหนุ่มที่จูเหลี่ยนเป็นคนทำขึ้นให้กับอีกฝ่าย

บัณฑิตไม่มีความลังเลใดๆ ไม่มีท่าทีต่อต้าน กลับกันยังรู้สึกว่าน่าสนใจอย่างถึงที่สุด

ลำคลองเฮยเหอยาวสองร้อยกว่าลี้ ไม่ถือว่าเป็นแม่น้ำลำคลองสายใหญ่อะไร เพียงแต่ว่าเมื่ออยู่ในหุบเขาผีร้ายที่ภูเขาเยอะสายน้ำน้อยก็ถือว่าไม่เลวแล้ว

ตะพาบสองตัวที่มีชาติกำเนิดมาจากวัดหยวนเยว่ใหญ่ยึดครองลำคลองสายนี้วางอำนาจบารมีมาเนิ่นนาน

กระแสน้ำในลำคลองเฮยเหอเชี่ยวกราก

ตอนบนของลำน้ำยังสร้างศาลเจ้าแม่แห่งหนึ่งตั้งเอาไว้ แน่นอนว่าต้องเป็นศาลเทพวารีของฟู่ไห่หยวนจวินผู้นั้น เพียงแต่ว่าศาลแห่งนั้นไม่เพียงแต่เป็นศาลเถื่อนอย่างจริงแท้แน่นอน ตะพาบน้อยก็ยิ่งไม่ได้สร้างร่างทอง แค่แกะสลักเทวรูปของตัวเองเอาไว้องค์หนึ่งให้พอเป็นพิธี แต่คาดว่าต่อให้มันได้กลายเป็นเทพวารีที่สร้างร่างทองได้สำเร็จจริงๆ ก็ไม่กล้าเอาเทวรูปร่างทองนี้ตั้งไว้ในศาล เพราะแค่วิญญาณหยินก่อกำเนิดสักตนที่เดินทางผ่านมาโจมตีอย่างง่ายๆ หนึ่งที ไม่ว่าเรื่องอะไรก็อย่าได้วาดฝันอีก หากร่างทองแหลกสลาย สภาพการณ์จะน่าอนาถยิ่งกว่ารากฐานมหามรรคาของผู้ฝึกตนได้รับความเสียหายเสียอีก ในความเป็นจริงแล้วเมื่อร่างทองปรากฎรอยปริแตกตามธรรมชาติเส้นแรกก็คือช่วงเวลาที่สิ่งศักดิ์สิทธิ์แห่งภูเขาสายน้ำทั้งหมดบนโลกหัวใจเหน็บหนาว เพราะนั่นหมายความว่าคำว่าอมตะมิเสื่อมสลายได้เกิดลางว่าจะเสื่อมโทรมแล้ว ไม่ใช่สิ่งที่แก่นควันธูปกี่จินกี่สิบจินในโลกมนุษย์จะสามารถชดเชยได้แล้ว ส่วนอรหันต์ร่างทองของพระพุทธศาสนานั้น หากเจอกับหายนะเช่นนี้ก็จะเรียกว่า  ‘ความเสื่อมแห่งธรรม’ และจะยิ่งหวาดกลัวดุจเจอกับพยัคฆ์

ก็เหมือนกับเทพเซียนลัทธิเต๋าที่ผ่านความทุกข์ยากนับพันนับหมื่นกว่าจะฝึกตนบรรลุร่างแก้วใสไร้มลทินได้ ผลกลับกลายเป็นว่าถึงท้ายที่สุด ความไร้มลทินกลับมีจุดด่างพร้อย ไม่ว่าจะเช็ดถูสภาพจิตใจอย่างไรก็ไม่อาจเช็ดออก แล้วจะไม่กลัวได้อย่างไร?

สำหรับเรื่องนี้บัณฑิตเข้าใจอย่างลึกซึ้ง

ท่านทั้งหลายในประวัติศาสตร์ของหน่วยฉงเสวียนก็ลาลับจากโลกนี้ไปด้วยเหตุนี้ หาใช่ได้หลุดพ้นอย่างแท้จริงไม่

ท่ามกลางม่านราตรี คนทั้งสองเดินเข้าไปในศาลแห่งนั้น

ในศาลกลับไม่มีใครอยู่สักคน ไม่มีใครมาคอยขัดขวาง

บัณฑิตเอาสองมือไพล่หลัง กวาดตามองไปรอบด้านแล้วยิ้มกล่าวว่า “ดีนักนะ ทำตัวเป็นเต่าหดหัวอย่างแท้จริงแล้ว แบบนี้จะทำอย่างไรกันดี?”

เฉินผิงอันถาม “เจ้าไม่มีวิชาคาถาแหวกน้ำผ่าคลื่นสักนิดเลยหรือ?”

บัณฑิตพยักหน้ารับ “มีก็มีอยู่หรอก ปีนั้นเก็บไข่มุกหลบน้ำที่ปริแตกไปเกินครึ่งมาได้ลูกหนึ่งระหว่างทาง เพียงแต่ว่าอยู่ไกลเกินกว่าจะเทียบกับกงฟู่ (ลูกมังกรลำดับที่ 6 เป็นมังกรในตำนานที่มีเอกลักษณ์โดดเด่น เพราะมันคือมังกรแห่งสายน้ำ มีความผูกพันอยู่กับน้ำและชอบน้ำเป็นชีวิตจิตใจ) แหวกน้ำที่ศิษย์น้องหญิงคนนั้นของข้าเลี้ยงเอาไว้ได้ หากมีกงฟู่ตัวนี้ ต่อให้เป็นวังมังกรที่ซ่อนอยู่ในส่วนที่ลึกที่สุดของแม่น้ำลำคลองสายใหญ่ก็ยังสามารถหาเจอได้อย่างง่ายดาย ตัวมันใหญ่แค่เท่าก้น เขาคู่นั้นก็ยาวแค่หนึ่งนิ้วเท่านั้น แต่แค่ส่ายหัวทีเดียวก็สามารถก่อให้เกิดคลื่นยักษ์สูงร้อยจั้งได้แล้ว ช่างน่าอิจฉาจริงๆ”

เฉินผิงอันร้องอ้อหนึ่งที “ถ้าอย่างนั้นข้าจะอยู่ที่นี่รอให้เจ้าเรียกศิษย์น้องหญิงของเจ้ามา?”

บัณฑิตหัวเราะฮ่าๆ เสียงดัง เขาสะบัดชายแขนเสื้อ กลางฝ่ามือก็ถือประคองไข่มุกใสแวววาวเหมือนเกล็ดหิมะเม็ดหนึ่ง ตบไข่มุกลูกนั้นเข้าปาก จากนั้นก็กลายร่างเป็นควันดำกลุ่มหนึ่งที่พุ่งไปทางผิวน้ำของลำคลอง ไม่ได้ทำให้สะเก็ดน้ำแตกกระจายเลยแม้แต่น้อย

เฉินผิงอันเดินเตร็ดเตร่อยู่ในศาลแห่งนี้ต่อไป ลักษณะและขนาดไม่ต่างจากศาลเทพวารีที่ได้เสวยสุขอยู่กับควันธูปของราชวงศ์ในโลกมนุษย์สักเท่าไหร่ ถือว่าไม่ได้ทำอะไรที่เกินขอบเขตของตัวเอง

ไปถึงตำหนักหลักที่อยู่กลางศาล ข้ามผ่านธรณีประตูเข้าไป แหงนหน้าไปมองก็เห็นเทวรูปของฟู่ไห่หยวนจวินที่ตั้งอยู่บนแท่นบูชา ไม่สูงมาก สร้างขึ้นตามหลักพิธีการที่เทพลำคลองระดับกลางสมควรมี

เทวรูปของสตรีมีเรือนกายบึกบึน ในมือถือขวานด้ามใหญ่ รูปโฉมของนางไม่ถือว่าน่ามองเท่าไหร่จริงๆ

เฉินผิงอันเดินออกมาจากตำหนักหลัก ไปเดินเที่ยวที่ตำหนักหลัง ไม่มีความผิดปกติใดๆ จึงย้อนกลับไปยังประตูใหญ่ของศาล นั่งลงบนขั้นบันได รอคอยให้บัณฑิตผู้นั้นกลับมาด้วยความอดทน

ทว่าสิ่งที่คิดในใจกลับเป็นบันทึกในตำราที่เกี่ยวข้องกับตำหนักนภากาศแห่งหน่วยฉงเสวียนของราชวงศ์ต้าหยวน

ก็เหมือนกับศาลซานหลางที่ต่างก็เป็นจวนตระกูลเซียนที่มีชื่อเสียงอยู่ในอุตรกุรุทวีปมาอย่างยาวนาน เพียงแต่ว่าตำหนักนภากาศยังได้มีชื่อเป็นหน่วยฉงเสวียน ดังนั้นจึงเกี่ยวข้องกับเรื่องทางโลกลึกซึ้งยิ่งกว่า

ลัทธิพุทธในอุตรกุรุทวีปเจริญรุ่งเรือง อีกทั้งราชวงศ์ต้าหยวนยังเป็นราชวงศ์ใหญ่เพียงหนึ่งเดียวในภาคกลางของทวีป การช่วงชิงของลัทธิพุทธย่อมดุเดือดมากอยู่แล้ว

แต่ในเมื่อราชวงศ์ต้าหยวนเลื่อมใสลัทธิพุทธศรัทธาลัทธิเต๋าจนถึงขั้นที่ต้องจัดตั้งหน่วยฉงเสวียนขึ้นมาเพื่อให้ดูแลวัดวาอารามในพื้นที่โดยเฉพาะ นอกจากฮ่องเต้สกุลหลูแห่งต้าหยวนจะมีใจศรัทธาในลัทธิเต๋ามาโดยตลอดแล้ว รากฐานที่ลึกล้ำของตำหนักนภากาศก็เป็นกุญแจสำคัญเช่นกัน

ในเขตการปกครองหลงเฉวียน เว่ยป้อมักจะคอยต้อนรับขับสู้แขกทั้งหลายที่ท่าเรือตระกูลเซียนบนภูเขาหนิวเจี่ยวเป็นประจำ อีกทั้งยังรู้ว่าเฉินผิงอันจะเดินทางมาท่องเที่ยวที่อุตรกุรุทวีป ดังนั้นจึงจัดเตรียมตำรา เอกสารคดีความที่เกี่ยวข้องกับกลุ่มอิทธิพลตระกูลเซียนของอุตรกุรุทวีปเอาไว้ไม่น้อย ตำหนักนภากาศก็คือหนึ่งในกองกำลังใหญ่หลายแห่งที่ต้องให้ความสำคัญ เพราะเฉินผิงอันยังเคยพูดถึงว่าจะต้องเดินทางไปเยือนแม่น้ำใหญ่ที่ไหลลงสู่ทะเลสักครั้ง และราชวงศ์ต้าหยวนก็เป็นทางผ่านของแม่น้ำใหญ่สายนั้นพอดี ไม่เพียงเท่านี้ ราชวงศ์ต้าหยวนยังให้ความสำคัญกับแม่น้ำใหญ่สายนี้เป็นอย่างยิ่ง เป็นเหตุให้ในอาณาเขตของหลายแคว้นที่แม่น้ำสายใหญ่ไหลผ่านซึ่งไม่ได้มีแค่แคว้นใต้อาณัติของตัวเองเท่านั้น แต่ในอาณาเขตของทุกแคว้น ราชวงศ์ต้าหยวนต่างก็ไปจัดตั้งหน่วยตรวจตราสายน้ำ หน่วยขุนนางทางน้ำขึ้นมาโดยเฉพาะ ตำแหน่งขุนนางค่อนข้างสูง เทียบเท่าได้กับรองเจ้ากรมของหกกรมและแม่ทัพบู๊ระดับสาม ในประวัติศาสตร์ใช่ว่าจะไม่มีราชสำนักของแคว้นที่ความสัมพันธ์ห่างเหินกับราชวงศ์ต้าหยวนพยายามคัดค้านสุดกำลัง ปล่อยให้ขุนนางของแคว้นอื่นมาอยู่บนแผ่นดินของแคว้นตนเอง นี่ถือเป็นความอัปยศอย่างใหญ่หลวง ทว่าราชวงศ์ต้าหยวนเคยยกทัพมาปราบปรามอยู่สามครั้ง ยอมให้คนตลอดทั้งเหนือและใต้ด่าว่าทุ่มกำลังทัพจับศึกพร่ำเพื่อ อีกทั้งยังขัดเคืองกับสำนักศึกษาลัทธิขงจื๊อก็ด้วยสาเหตุนี้

ระหว่างที่หน่วยฉงเสวียนของตำหนักนภากาศถูกก่อตั้งก็เรียกได้ว่าเป็นประวัติศาสตร์ช่วงหนึ่งที่กองกำลังของลัทธิพุทธและระบบเต๋าสายอื่นของราชวงศ์ต้าหยวนเสื่อมถอย

รื้อถอนตำหนักชิ่งซิน ตำหนักเทียนกวานก็เพื่อสร้างตำหนักเทียนหยวนของหน่วยฉงเสวียน นำต้นไม้ยักษ์วัสดุของอารามเจียหลิงมาสร้างเป็นโถงเหล่าจวินของตำหนักนภากาศ ทุบเอาวัสดุของตำหนักเป่าหัวในวัดทะเลเมฆมาสร้างเป็นซุ้มป้ายของหน่วยฉงเสวียน แล้วก็รื้อถอนเอาวัสดุของวัดน้ำค้างหวานมาทำเป็นศาลตระกูลของตำหนักนภากาศ มากมายหหลายอย่าง ช่วงก่อนหน้าที่ราชวงศ์ต้าหยวนจะก่อตั้งแคว้น ทุกยุคทุกสมัยล้วนมีเรื่องของการใช้อำนาจบาตรใหญ่มาข่มขู่ทำนองนี้เกิดขึ้น ทว่าหลังจากนั้นฮ่องเต้สกุลหลูของราชวงศ์ต้าหยวนทุกท่านก็ยังคงรังเกียจคิดว่าหน่วยฉงเสวียนมอซอเกินไป ในประวัติศาสตร์จึงมีการออกคำสั่งให้ชินอ๋องเชื้อพระวงศ์หลายท่านเป็นผู้ดูแลงานก่อสร้างด้วยตัวเอง เพื่อขยับขยายอาณาเขตให้กับหน่วยฉงเสวียนและตำหนักนภากาศครั้งแล้วครั้งเล่า ในเมืองหลวง ไม่ว่าสิ่งปลูกสร้างใดที่ขัดขวางฮวงจุ้ยของหน่วยฉงเสวียนล้วนถูกรื้อถอนทั้งหมด และบนซากปรักทั้งหลายก็จะกระจายกันสร้างอารามสายรองของตำหนักนภากาศ เพื่อใช้สยบโชคชะตา ชื่อเรียกของอารามเต๋าล้วนเป็นชื่อรัชศกที่ราชวงศ์ต้าหยวนเคยใช้ในประวัติศาสตร์ ล้วนมอบให้นักพรตเต๋าของตำหนักนภากาศเป็นผู้ดูแลหลัก ไม่ว่าในอารามน้อยใหญ่จะมีความขัดแย้งใดๆ ที่ว่าการของทางราชสำนักก็จะไม่มีทางยื่นมือเข้าแทรกเด็ดขาด

ตำหนักนภากาศของหน่วยฉงเสวียนราชวงศ์ต้าหยวนนี้จึงเรียกได้ว่าเป็นผู้นำสายลัทธิเต๋าของทวีป

แต่ในความเป็นจริงแล้ว เทียนจวินเซี่ยสือที่เดินทางลงใต้ไปอยู่ที่แจกันสมบัติทวีปมานานหลายปีแล้วต่างหากที่ถึงจะเป็นผู้นำของระบบเต๋าในหนึ่งทวีปอย่างแท้จริง

เฉินผิงอันใคร่รู้เล็กน้อยว่าความสัมพันธ์ของทั้งสองฝ่ายคือต่างฝ่ายต่างรังเกียจกัน เพียงแต่ว่ากองกำลังทัดเทียมกัน ดังนั้นต่อให้ตายก็ไม่คิดจะไปมาหาสู่กัน? หรือว่าต่างมองอีกฝ่ายเป็นตะปูที่ทิ่มอยู่ในเนื้อ จะต้องกำจัดทิ้งให้ได้จึงจะสบายใจ?

เฉินผิงอันเงยหน้ามองไป น้ำในลำคลองยังคงไหลซัดตลบ เสียงน้ำดังมาก

บัณฑิตผู้นั้นยังคงไม่กลับมา

แต่จู่ๆ เฉินผิงอันก็ลุกขึ้นยืน พุ่งตัวไปยังริมลำคลอง

กระแสน้ำเริ่มเปลี่ยนมาเป็นใกล้เคียงกับคำว่าอันตราย เพราะมีน้ำขึ้นล้ำมาบนริมฝั่ง

กลิ่นคาวเลือดช่างเข้มข้นยิ่งนัก

ครู่หนึ่งต่อมา บัณฑิตก็กระโดดพ้นผิวน้ำมาจากจุดที่ห่างไปไกล มือหนึ่งกระชากลำคอของสตรีร่างกำยำคนหนึ่งมาด้วย สตรีผู้นั้นเส้นผมกระเซอะกระเซิง เกราะเหล็กที่สวมอยู่บนร่างแตกพังไม่เหลือชิ้นดี

บัณฑิตเดินเหยียบมาบนน้ำเหมือนเดินอยู่บนพื้นเรียบ พอเห็นเฉินผิงอันก็ยกมือขึ้นโบก “พี่ชายคนดี ปล่อยให้เจ้ารอนานแล้ว”

พอขยับเข้ามาใกล้ศาลแล้ว บัณฑิตก็โยนสตรีที่หายใจรวยรินอยู่ในมือขึ้นไปบนฝั่ง อีกฝ่ายกลิ้งตลบอยู่พักหนึ่ง ก่อนที่สตรีผู้นั้นจะนอนหงายแหงนหน้า เผยให้เห็นใบหน้าที่เต็มไปด้วยคราบเลือด

บัณฑิตเดินมาอยู่ข้างกายเฉินผิงอันแล้วยิ้มเอ่ยว่า “ตามหาอยู่ตั้งนาน เมื่อครู่เปิดศึกใต้น้ำไปรอบหนึ่ง อันตรายรายล้อมอยู่รอบด้าน โชคดีที่ข้าท่องประโยคว่าขอให้พี่ชายคนดีช่วยคุ้มครองอยู่หลายครั้ง ถึงได้เปลี่ยนเรื่องร้ายให้กลายเป็นดี ไม่อย่างนั้นอีกนิดเดียวข้าก็เกือบจะถูกสตรีผู้นี้ลักพาตัวไปเป็นฮูหยินรังโจรแล้ว”

เฉินผิงอันชำเลืองตามองฟู่ไห่หยวนจวินที่หลับตาแกล้งตายผู้นั้น

บัณฑิตโบกชายแขนเสื้อออกไป ตบให้ตะพาบน้อยตัวนั้นหล่นลงไปในหลุมใหญ่โดยตรง

บัณฑิตจุ๊ปากพูด “เจ้าแม่เทพวารีผู้นี้ช่างมีอารมณ์สุนทรียิ่งนัก ด้านหน้าถ้ำสถิตใต้น้ำได้สร้างสถานที่อย่างแท่นบูชารักที่สมชื่อเอาไว้ ด้านบนวางโครงกระดูกขาวไว้หลายโครง ล้วนเป็นพวกแมลงน่าสงสารที่โชคดีเคยเป็นสามีของนาง ข้างกายโครงกระดูกทุกโครงล้วนจุดตะเกียงวิญญาณไว้ดวงหนึ่ง ช่างเป็นภาพบรรยากาศยิ่งใหญ่ที่แสงไฟสว่างโชติช่วง ช่างเป็นชายรักหญิงมีใจที่ยาวนานไปได้ร้อยปีพันปี หากไม่เป็นเพราะข้ายืนอยู่ด้านนอกถ้ำสถิต พูดขู่ว่าจะทุบแท่นสูงนี้ให้แหลก ก็คงไม่แน่เสมอไปว่าเจ้าแม่เทพวารีผู้นี้จะออกมาพบข้า ในความเป็นจริงแล้ว ต่อให้ข้าบุกเข้าไปข้างใน แล้วนางตัดสินใจเด็ดขาดว่าจะหลบซ่อนตัว ข้าก็อาจจะหาตัวนางไม่เจอจริงๆ”

เฉินผิงอันถาม “ตะเกียงวิญญาณแห่งชะตาชีวิตเหล่านั้น เจ้าดับไปแล้วหรือยัง?”

บัณฑิตพยักหน้าพลางตอบด้วยรอยยิ้ม “แน่นอน นี่ก็ถือเป็นการทำบุญกุศลที่ไม่เล็กครั้งหนึ่ง เมื่อเทียบกับการสังหารปี้สู่เหนียงเนียงผู้นั้นแล้ว ก็ถือว่าดีกว่ามาก พี่ชายคนดี เจ้าช่างเป็นดาวนำโชคของข้าจริงๆ”

เฉินผิงอันนั่งยองอยู่ข้างหลุมใหญ่ สตรีที่อยู่ด้านในลุกขึ้นมานั่งแล้ว นางเงยหน้ากรีดร้องเสียงแหลม “นภากาศแบกรับดวงตะวันจันทราและดวงดารา ปฐพีแบกรับน้ำและฝุ่นดิน สรรพชีวิตที่มีอารมณ์ความรู้สึกย่อมต้องแบกรับความทุกข์ยาก! นี่ก็คือเคราะห์กรรมที่ควรมีอยู่ในชะตาของบุรุษ!”

บัณฑิตได้ยินแล้วก็หัวเราะเสียงดังลั่น เขายกนิ้วโป้งให้นาง “พูดคล่องน่าฟังเสียจริง ทำเอาข้าเกือบจะเชื่อซะแล้ว”

เฉินผิงอันมองสตรีคนนั้นแล้วถามว่า “แล้วเคราะห์กรรมของตัวเจ้าเองเล่า เคยคิดถึงหรือไม่?”

สตรีพูดเสียงกร้าว “พวกเราสองพ่อลูกมีความสัมพันธ์กับวัดหยวนเยว่ใหญ่ พวกเจ้ากล้าฆ่าข้าหรือ?!”

เฉินผิงอันเงียบงันไม่เอ่ยคำใด

บัณฑิตใช้เสียงในใจบอกกล่าว “ไม่ต้องรีบร้อนลงมือ พวกเราเอานางมาล่อตัวใหญ่กว่า เจ้าแม่เทพวารีผู้นี้ยังนับว่าหาได้ง่าย โพรงมังกรเฒ่าแห่งนั้น เล่าลือกันว่าวกวนอ้อมค้อม ยากเกินกว่าจะเจอร่องรอยของตะพาบเฒ่า”

เฉินผิงอันพยักหน้ารับเบาๆ รวมเสียงให้เป็นเส้นถามว่า “ได้กวาดค้นรังของนางแล้วหรือยัง?”

บัณฑิตยังคงใช้ริ้วคลื่นในใจพูดคุยกับเฉินผิงอัน เขาเอ่ยด้วยน้ำเสียงเสียดายว่า “สตรีผู้นี้ก็อำมหิตพอตัว พอเห็นว่าท่าไม่ดี ก่อนจะถูกข้าจับตัวก็โคจรวิชาอภินิหารปิดประตูใหญ่ของถ้ำสถิตโดยตรง คิดจะบุกทลายเข้าไปก็ได้อยู่ เพียงแต่ว่าจะเสียเวลาเกินไป หากมีเวลาไม่ถึงหนึ่งชั่วยามก็ยากที่จะเปิดออกได้ แต่ไหนแต่ไรมาวังมังกรน้อยใหญ่ใต้น้ำ หายากแล้วก็เปิดได้ยาก ผู้ฝึกตนกลัวในเรื่องนี้มากที่สุด นั่นเป็นเพราะเกี่ยวพันกับโชคชะตาน้ำและรากภูเขาลึกล้ำเกินไป ง่ายมากที่จะเอาสมบัติมาไม่สำเร็จแล้วไม่ทันระวังฟ้าถล่มดินทลายลงมา หากโชคชะตาน้ำระเบิด น้ำในแม่น้ำซัดตลบ กลับจะกลายเป็นการหาหายนะใส่ตัว หากเป็นสถานที่ที่มีคนอยู่เยอะ นั่นก็จะก่อให้เกิดโศกนาฎกรรมที่ผู้คนเรือนพันเรือนหมื่นต้องจมน้ำตาย ที่นี่แน่นอนว่าไม่ต้องกังวลในเรื่องนี้ รออีกเดี๋ยวหากล่อตะพาบเฒ่าตัวนั้นออกมาได้ พวกเราสองพี่น้องค่อยลงน้ำไปหาสมบัติกันใหม่ มีศาสตราวุธเทพชิ้นนั้นของพี่ชายคนดี ก็มีแต่จะเปิดประตูได้เร็วขึ้น”

เฉินผิงอันจ้องนิ่งไปยังภูตของลำคลองเฮยเหอตนนั้นอยู่ตลอดเวลา แต่ปากก็ยิ้มเอ่ยไปว่า “ข้าอยู่ใต้น้ำได้ไม่นานเท่าไหร่ ไม่เหมือนเจ้าที่มีสมบัติหลบน้ำอยู่ติดกาย ปราณวิญญาณของข้าจะเผาผลาญอย่างรวดเร็ว หากออกแรงเต็มกำลังเงื้อกระบี่ฟันประตูถ้ำสถิต แล้วเจ้าแอบใช้กระบี่บินจื่อจือลอบแทงข้าสองสามที ขว้างตราประทับทองแดงเข้าใส่อีกสองครั้ง จากนั้นก็เรียกยันต์พิฆาตของตำหนักนภากาศออกมาอีกหลายๆ แผ่น จะไม่กลายเป็นว่าข้าต้องพาตัวไปตายอยู่ในท้องปลาหรอกหรือ พี่มู่เม่า เจ้าว่าถูกหรือไม่?”

บัณฑิตกล่าวด้วยสีหน้าจริงจัง “พี่ชายคนดีอย่าได้ใช้ความคิดของคนถ่อยมาวัดใจของวิญญูชน!”

เฉินผิงอันกล่าว “อีกเดี๋ยวเชิญเจ้าไปค้นหาสมบัติในจวนใต้น้ำได้ตามสบาย ในเมื่อข้าไม่ได้ออกแรงแม้สักเสี้ยว ถ้าอย่างนั้นก็สามต่อเจ็ด เจ้าเจ็ดข้าสาม”

บัณฑิตพึมพำ “ยังจะแบ่งไปสามส่วนอีกหรือ?”

เฉินผิงอันยิ้มบางๆ ตอบกลับ “ข้าจะช่วยดูต้นทางให้เจ้าที่ผิวน้ำ เจ้าไม่ต้องคอยพะวงหลังก็จะค้นหาสมบัติได้อย่างสบายใจ แต่บอกไว้ก่อนว่า เจ้ามีวัตถุจื่อชื่ออยู่กับตัว ข้าไม่อาจรู้ได้ว่าเจ้าเจอสมบัติและเงินทองกี่มากน้อย การแบ่งสินทรัพย์หลังจากนั้นก็ล้วนต้องขึ้นอยู่กับมโนธรรมในใจเจ้าแล้ว”

บัณฑิตถาม “ถ้าอย่างนั้นก็แบ่งกันแปดต่อสอง ตกลงไหม?”

เฉินผิงอันตอบรับ “ได้สิ”

เห็นว่าเฉินผิงอันตอบรับอย่างรวดเร็วฉับไวเช่นนี้ กลับกลายเป็นว่าทำให้บัณฑิตรู้สึกสงสัยแทน จึงถามหยั่งเชิงว่า “คงไม่ใช่ว่าพอเจ้าเอาทรัพย์สมบัติของถ้ำสถิตใต้น้ำไปเปรียบเทียบกับคลังใต้ดินของตำหนักกว่างหานคร่าวๆ ถึงเวลานั้นกลับรู้สึกว่าของที่ได้มาน้อยเกินไป เจ้าก็จะโมโห ทำอะไรไม่คิดหน้าคิดหลัง แตกหักกับข้าขึ้นมาหรอกนะ?”

เฉินผิงอันยิ้มอย่างเข้าใจ “นี่เจ้าเป็นคนพูดเองนะ”

บัณฑิตทรุดตัวนั่งยองอยู่บนพื้น ทอดถอนใจเฮือกๆ

สตรีผู้นั้นเห็นว่าบุรุษทั้งสองคล้ายจะสื่อสารกันด้วยเสียงในใจ มองดูแล้วไม่เหมือนว่าจะฆ่านางทันทีก็ยิ่งเกิดความโอหัง พูดอย่างเดือดดาล “ยังไม่รีบปล่อยข้าไปอีก แล้วข้าจะเว้นชีวิตพวกเจ้า! ไม่อย่างนั้นรอให้ท่านพ่อของข้ามาถึง ก็จะทำให้พวกเจ้ารู้ว่าอะไรคือตายโดยไร้ที่ฝัง! แท่นบูชารักของข้าที่ถูกเจ้าทำลายไป วันใดที่ถูกสร้างขึ้นมาใหม่ก็จะจับเอาพวกเจ้ามาแทงพันครั้ง แล้วนำมาจุดตะเกียงน้ำ!”

เฉินผิงอันมองไปยังบัณฑิตที่อารมณ์ดีสุดขีดแล้วเปิดปากเอ่ยว่า “เจ้าหลอกคนประเภทนี้ให้ออกมาจากบ้านได้ก็ไม่น่าจะมีอะไรให้ภาคภูมิใจหรอกกระมัง?”

บัณฑิตโบกมือ “ข้าไม่ได้ภาคภูมิใจอะไรหรอก ก็แค่รู้สึกสนุกเท่านั้น หากเปลี่ยนมาเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์แห่งภูเขาแม่น้ำที่แท้จริง ต่อให้ระดับขั้นจะต่ำแค่ไหน แต่ขอแค่มีชีวิตอยู่มาจนปูนนี้ ไม่ว่าอย่างไรก็ไม่มีทางพูดจาน่าขันเช่นนี้ ใช้ชีวิตอยู่ในหุบเขาผีร้ายอย่างไม่เอาไหน ให้ตายอย่างไรก็ออกไปข้างนอกไม่ได้ เพราะถูกสำนักพีหมาที่มีคนน้อยนิดแค่นั้นข่มกำราบให้อยู่ในเปลือกหอยเล็กๆ แห่งนี้ ไม่เคยได้เห็นเดือนเห็นตะวัน ดูท่าแล้วก็น่าจะมีเหตุผลอยู่จริงๆ”

เฉินผิงอันกับบัณฑิตหันไปมองจุดหนึ่งบนผิวลำคลองแทบจะเวลาเดียวกัน

บัณฑิตยิ้มกล่าวว “มีแขกมาแล้ว”

—–