ตอนที่ 800 สุสานแห่งเทพมังกร

คุณหนูสี่ สตรีเปื้อนเลือด

ในเวลานี้ แสงสว่างก็เพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ และฉินอวี้โม่เริ่มมองเห็นทางออกของถ้ำได้จากระยะไกล

ภายในมิติเชื่อมอสูร ความคุ้นเคยที่หานอวี้รู้สึกนั้นก็รุนแรงมากขึ้นเรื่อย ๆ ราวกับว่าสิ่งที่ทำให้มันรู้สึกคุ้นเคยและกำลังร้องเรียกหาจะอยู่ข้างนอกถ้ำนี่เอง…

“ท่านแม่ ดูเหมือนว่ามันจะเป็นกลิ่นอายของเผ่ามังกร !”

หานอวี้กล่าวด้วยน้ำเสียงตื่นเต้นทันทีที่ค้นพบกลิ่นอายของเผ่าพันธุ์เดียวกัน ยิ่งไปกว่านั้น กลิ่นอายนี้ก็เหมือนจะมาจากสายเลือดที่ใกล้ชิดกับมันอย่างมากจนทำให้คลื่นพลังภายในร่างของมันผันผวนแปรปรวนไปเล็กน้อย

เมื่อได้ยินเช่นนั้น ฉินอวี้โม่ก็เร่งฝีเท้าทันทีและพุ่งตัวผ่านทางออกไปอย่างรวดเร็ว

สิ่งที่ปรากฏตรงหน้าสามารถบรรยายได้ด้วยคำเดียวเท่านั้น…สวรรค์บนดิน

กลุ่มเมฆหมอกกระจายตัวไปทั่วและมีสภาวะพลังที่หนาแน่นอุดมสมบูรณ์จนน่าอัศจรรย์ สมุนไพรวิญญาณหลากหลายชนิดเติบโตปกคลุมไปทั่วพื้นดินจนกลายเป็นภาพที่เขียวขจี หินผลึกเกลื่อนกลาดอยู่ตามพื้นซึ่งถูกแสงแดดส่องสะท้อนและเกิดเป็นประกายแวววับดูตื่นตาขึ้นมา

วิหคบินโฉบไปมาและบุปผานานาพรรณส่งกลิ่นหอมอบอวล อีกทั้งยังมีสัตว์อสูรตัวเล็กตัวน้อยวิ่งไปมาทั่วพื้นดิน

หากมิใช่เพราะไม่มีผู้ใดอยู่ที่นี่ ฉินอวี้โม่คงเชื่อไปแล้วว่ามันคือสรวงสวรรค์อย่างแท้จริง

“นี่มันสุสานมังกร !”

เสียงของหานอวี้ดังขึ้นขณะร่างของมันปรากฏตัวตรงหน้าฉินอวี้โม่ เมื่อออกจากถ้ำดังกล่าว พลังที่จำกัดมันก่อนหน้านี้ก็หายไปอย่างไร้ร่องรอยและมันสามารถปรากฏตัวออกมาอยู่ข้างกายฉินอวี้โม่ได้ทันที อย่างไรก็ตาม คฤหาสน์เฟิงหัวยังคงถูกปิดกั้นไว้และอสูรมายาอื่น ๆ ยังออกมาไม่ได้เช่นเดิม

“สุสานมังกรงั้นรึ ?”

ฉินอวี้โม่ชะงักไปเล็กน้อย ในความทรงจำทั้งหมดของนางไม่เคยมีข้อมูลใด ๆ เกี่ยวกับสุสานมังกร เพราะถึงอย่างไร สุสานมังกรก็เป็นสิ่งลึกลับอย่างที่สุดซึ่งมีคนทราบเกี่ยวกับมันเพียงน้อยนิดเท่านั้น

“ใช่แล้ว มันคือสุสานมังกร ที่นี่น่าจะเป็นจุดที่บรรพชนมังกรของเราล่วงลับไป”

ในที่สุดหานอวี้ก็เข้าใจว่าเหตุใดมันจึงรู้สึกคุ้นเคยกับที่นี่อย่างประหลาด ไม่น่าเชื่อเลยว่าสุสานมังกรจะอยู่ในดินแดนลับแห่งนี้ หากมันจำไม่ผิด บรรพบุรุษของเผ่ามังกรเดินทางออกไปจากเผ่าก่อนที่จะตายไป จนกระทั่งปัจจุบันนี้ก็ยังไม่เคยมีผู้ใดค้นพบสุสานหรือมรดกตกทอดของมัน ไม่คิดเลยว่ามันจะเป็นผู้ค้นพบด้วยตัวเอง

“ท่านแม่ รอประเดี๋ยว”

หานอวี้มองไปรอบ ๆ และสายตาหยุดลงที่จุดศูนย์กลางของภาพเบื้องหน้า ปกติแล้วพวกมันสายพันธุ์มังกรทองห้าเล็บจะต้องทิ้งมรดกบางอย่างไว้ก่อนดับสลายไปและมันคือสิ่งที่ล้ำค่าที่สุดในสุสานมังกร แม้ที่แห่งนี้ดูจะไม่มีสิ่งใดซับซ้อนเกินไปกว่าความสวยงามดั่งฝัน มันก็จะต้องมีกลไกบางอย่างซ่อนไว้ ตราบใดที่หามันพบก็จะสามารถเปิดสุสานมังกรและได้รับมรดกสืบทอดเหล่านั้นไป

เวลานี้ความแข็งแกร่งของหานอวี้ติดอยู่ในสภาวะติดขัดพอดิบพอดี การได้รับมรดกสืบทอดจากบรรพบุรุษจะมีส่วนช่วยที่ยิ่งใหญ่ต่อการพัฒนาของมันอย่างแน่นอน

ฉินอวี้โม่มองดูหานอวี้เดินไปหยุดตรงจุดหนึ่งและออกแรงกระทืบลงพื้นอย่างแรง จากนั้นมันก็กรีดนิ้วเล็กน้อยและปล่อยให้เลือดหยดลงบนพื้นดิน

ครืนนน !

เสียงหนึ่งดังขึ้นพร้อมกับพื้นดินที่สั่นสะเทือนอย่างกะทันหัน และตรงหน้าฉินอวี้โม่ในตอนนี้ก็เกิดรอยแยกที่กว้างขึ้นเรื่อย ๆ จนเผยให้เห็นโลงหยกน้ำแข็งสีฟ้าคราม

ฝาของโลงศพดังกล่าวโปร่งแสงและสามารถมองเห็นสิ่งที่อยู่ภายในนั้นได้อย่างชัดเจน

ภายในโลงหยกงดงามตรงหน้ามีเกล็ดมังกรจำนวนหนึ่งกระจัดกระจายอยู่ รวมถึงมีกล่องสีดำเงาและม้วนกระดาษที่ดูเก่าแก่อย่างมาก

“ลูกหลานของข้า ในที่สุดข้าก็ได้พบเจ้าเสียที !”

เสียงหนึ่งดังขึ้นในหูของฉินอวี้โม่และหานอวี้ ทว่ามันเป็นเสียงที่ราวกับดังมาจากทุกทิศทางรอบตัวซึ่งทำให้ฉินอวี้โม่ตกตะลึงเล็กน้อย

บรรพบุรุษของเผ่ามังกรก็ดูจะทรงพลังเกินไป เกรงว่าพลังของมันมิได้ใกล้เคียงกับระดับราชาเซียนเลย หากแต่เป็นระดับที่แม้แต่ตัวนางในตอนนี้ยังไม่สามารถจินตนาการได้ด้วยซ้ำ

“คารวะท่านบรรพชน”

หานอวี้คุกเข่าลงข้างหนึ่งตรงหน้าโลงหยกพร้อมกล่าวแสดงความเคารพต่อบรรพบุรุษอย่างนอบน้อม

“ข้ารอมานานนับพันนับหมื่นปี ในที่สุดเจ้าก็มาถึงเสียที”

พลังบางอย่างประคองให้หานอวี้ลุกขึ้นตามเดิม

“ท่านบรรพชน เหตุใดท่านจึงล่มสลายอยู่ที่นี่ ? พวกเราเผ่ามังกรพยายามตามหาเบาะแสของท่านมาตลอดเวลามากกว่าพันปี”

หานอวี้เอ่ยถามด้วยความสงสัยใคร่รู้ กล่าวกันว่าความแข็งแกร่งของบรรพบุรุษเผ่ามังกรบรรลุขอบเขตที่เหนือจินตนาการและการที่มันล่วงลับไปก็ควรที่จะเป็นบั้นปลายของชีวิต อย่างไรก็ตาม ในเมื่อมันสามารถดำรงตำแหน่งอยู่ในเผ่ามังกรได้ เหตุใดจะต้องมาที่ดินแดนลับประหลาดแห่งนี้ ?

“ฮ่า ๆ ๆ ทุกอย่างถูกลิขิตไว้แล้ว เจ้าไม่จำเป็นต้องถามให้มากความหรอก”

บรรพบุรุษมังกรหัวเราะเบา ๆ ทว่ากล่าวด้วยวาจาที่ฟังดูน่าสับสนยิ่งกว่าเดิม

“เจ้าตัวน้อยเอ๋ย นายของเจ้าเป็นเมล็ดพันธุ์ที่ดีทีเดียว”

หลังจากสำรวจฉินอวี้โม่อย่างพินิจพิจารณา บรรพบุรุษเผ่ามังกรก็กล่าวพร้อมถอนหายใจเบา ๆ

ฉินอวี้โม่มองไม่เห็นร่างใดรอบตัวทว่ารับรู้ได้ถึงสายตาที่มองมาที่ตน นางเพียงพยักศีรษะเบา ๆ ให้กับเสียงนั้นและกล่าวทักทายบรรพบุรุษของเผ่ามังกรเช่นกัน

“แม่สาวน้อย เหตุใดเจ้าจึงมีกลิ่นอายที่ข้ารู้สึกคุ้นเคยยิ่งนัก ?”

เมื่อเห็นสีหน้าท่าทางใจเย็นของฉินอวี้โม่ บรรพบุรุษมังกรก็สงสัยใคร่รู้ยิ่งกว่าเดิม หลังจากสำรวจอย่างละเอียด มันก็พบกับสิ่งที่น่าสนใจบางอย่าง

ร่างของฉินอวี้โม่มีกลิ่นอายบางอย่างที่ทำให้มันรู้สึกคุ้นเคยอย่างประหลาด เพียงแต่มีพลังบางอย่างที่ยับยั้งกลิ่นอายนั้นไว้จนแทบไม่อาจสัมผัสได้และยากจะระบุว่ามันคือสิ่งใด

“ท่านผู้เฒ่าน่าจะหมายถึงพลังลึกลับที่ถูกปิดผนึกอยู่ในร่างของข้า”

ฉินอวี้โม่ไม่แปลกใจแม้แต่น้อยเนื่องจากตระหนักดีว่าพลังที่ปิดผนึกไว้ในร่างของตนทั้งประหลาดลึกลับและทรงพลังยิ่งนัก นางมีลางสังหรณ์มาเสมอว่าหากได้ปลดผนึกพลังดังกล่าวออกมา ความแข็งแกร่งของตนจะพัฒนาขึ้นไปอย่างฉุดไม่อยู่

“ใช่ เป็นพลังนั้นจริง ๆ”

บรรพบุรุษมังกรไม่ปฏิเสธทว่าไม่คิดกล่าวสิ่งใดต่อไป

“เจ้าตัวน้อย ในเมื่อเจ้ามาถึงที่นี่…เจ้าก็มีโอกาสได้รับสืบทอดมรดกจากข้าผู้นี้ไป อย่างไรก็ตาม หากเจ้ารับมรดกนี้ไป นั่นก็หมายถึงความรับผิดชอบที่ต้องเติมเต็มเช่นกัน เจ้าลองไตร่ตรองและตัดสินใจดูก่อนเถอะว่าเจ้าอยากจะรับมันหรือไม่”

มันเปลี่ยนประเด็นทันทีและไม่ต้องการกล่าวถึง ‘พลัง’ ของฉินอวี้โม่อีกต่อไป

บรรพบุรุษมังกรมองหานอวี้อย่างพินิจพิจารณาและรู้สึกพึงพอใจอย่างมาก ต้องกล่าวเลยว่าพรสวรรค์ของมังกรน้อยตรงหน้าแกร่งกล้ากว่ามันในอดีตเสียอีก อีกทั้งยังมีจิตใจที่สงบนิ่งมากกว่า หากได้สืบทอดมรดกของบรรพบุรุษมังกร ความแข็งแกร่งของหานอวี้จะพัฒนาไปถึงระดับต่อไปได้อย่างแน่นอนและการที่จะกลายเป็นมังกรที่ยิ่งใหญ่ของดินแดนก็จะอยู่ไม่ไกลออกไป

อย่างไรก็ตาม ในฐานะที่มีสายเลือดสูงส่งของเผ่ามังกร มันจะต้องแบกรับหน้าที่ความรับผิดชอบที่หนักหนาเช่นกัน หากหานอวี้เลือกที่จะรับมรดก นั่นก็หมายถึงการยอมรับความรับผิดชอบเหล่านั้นและอาจนำพาปัญหามาสู่ตัวมันในอนาคตได้

“ท่านบรรพชน ต่อให้ข้าไม่ยอมรับมรดกจากท่าน ในฐานะมังกรทองห้าเล็บ ข้าก็มิอาจหลีกเลี่ยงความรับผิดชอบของเผ่ามังกรไปได้ การรับมรดกจากท่านมีแต่จะช่วยให้ข้าแข็งแกร่งขึ้นและรับผิดชอบหน้าที่ได้ดีขึ้น ข้าไม่มีเหตุผลที่จะต้องปฏิเสธ”

หานอวี้ไม่ลังเลแม้แต่น้อยและเลือกยอมรับมรดกสืบทอดจากบรรพบุรุษมังกรโดยตรง

อย่างไรก็ตาม กล่าวได้ว่าในดินแดนมหาเทพแห่งนี้ก็มีร่องรอยของเผ่ามังกรอยู่เช่นกัน หลังจากผ่านไประยะหนึ่ง เมื่อความแข็งแกร่งของหานอวี้พัฒนาจนแกร่งกล้า มันจะต้องเดินทางไปตรวจดูสถานการณ์ที่เผ่ามังกรเช่นกัน

สายเลือดมังกรทองห้าเล็บถือว่าเป็นสายเลือดขุนนางของเผ่ามังกรมาเสมอและหานอวี้ควรจะเป็นราชันของเผ่ามังกรในปัจจุบัน เพียงแต่เกิดเหตุบางอย่างที่ดลบันดาลให้มันปรากฏตัวในดินแดนระดับต่ำและกลายเป็นอสูรพันธสัญญาของฉินอวี้โม่ไป

“ฉลาดเฉลียวดีจริง ๆ เช่นนั้นหลังจากนี้ไป…ภาระอันใหญ่หลวงของเผ่ามังกรจะตกอยู่ในมือของเจ้า”

บรรพบุรุษมังกรกล่าวด้วยน้ำเสียงพึงพอใจอย่างชัดเจน ทันใดนั้น พลังมหาศาลและทรงพลังบางอย่างก็ลอยตรงเข้าสู่ร่างของหานอวี้และจมหายไป

“ท่านแม่ ข้าคงต้องเก็บตัวจำศีลสักระยะ”

เมื่อได้รับพลังดังกล่าว หานอวี้ก็เพียงกล่าวทิ้งท้ายและตรงเข้าไปในมิติเชื่อมอสูรของฉินอวี้โม่อย่างรวดเร็ว

ฉินอวี้โม่ก็สัมผัสได้ว่าร่างของหานอวี้ในตอนนี้ถูกปกคลุมไปด้วยพลังงานสีทองบางอย่าง ซึ่งดูราวกับเป็นรังไหมสีทองขนาดใหญ่ก็ว่าได้

“มนุษย์เอ๋ย เจ้ามีมิติที่สองอยู่ใช่รึไม่ ?”

เสียงของบรรพบุรุษมังกรฟังดูเลือนรางมากขึ้นเรื่อย ๆ หลังจากมอบมรดกสืบทอดให้กับหานอวี้ ห้วงจิตที่มันทิ้งไว้ก็กำลังจะสลายหายไป

“เจ้าค่ะ”

ฉินอวี้โม่ไม่ปฏิเสธใด ๆ ต้องยอมรับเลยว่าพลังของบรรพบุรุษมังกรแกร่งกล้ายิ่งนักและไม่มีทางที่นางจะปิดบังความจริงไปจากมันได้

“ในที่สุดข้าก็เข้าใจว่าเหตุใดกลิ่นอายจากเจ้าจึงทำให้ข้ารู้สึกคุ้นเคยนัก…”

จู่ ๆ บรรพบุรุษมังกรนึกถึงบางอย่างขึ้นได้และน้ำเสียงที่กล่าวออกมาเจือด้วยความโหยหาอาวรณ์

“แม่สาวน้อย เจ้าเก็บทุกอย่างที่นี่ไปได้เลย รวมถึงสิ่งที่อยู่ในโลงหยกของข้าด้วย ม้วนกระดาษนั่นคือจารึกบันทึกสงครามครั้งประวัติศาสตร์เมื่อนับหมื่นปีก่อน ส่วนสิ่งที่อยู่ในกล่องก็น่าจะช่วยเจ้าได้ไม่น้อย เกล็ดมังกรเหล่านั้นก็มีเศษเสี้ยวจิตของของข้าอยู่ด้วยและมันสามารถอัญเชิญจิตของข้าที่มีความแข็งแกร่งถึงหนึ่งในสิบส่วน เก็บไว้ติดตัวเจ้าและมันอาจช่วยได้ในช่วงเวลาวิกฤต”

ที่นี่คือจุดที่มันล่มสลายไปและทั้งบุปผาพืชพรรณทั้งหมดล้วนเป็นของจริง สมุนไพรวิญญาณ แร่และเครื่องประดับมากมายนับไม่ถ้วนล้วนเป็นสมบัติเดิมที่มันรวบรวมไว้ หากเป็นใครอื่น บรรพบุรุษมังกรคงไม่ยอมให้หยิบฉวยเอาไปแม้แต่ชิ้นเดียว ทว่ากับฉินอวี้โม่ มันตัดสินใจยกทุกอย่างให้อย่างไม่ลังเล

ถึงอย่างไรสิ่งเหล่านี้ทั้งหมดก็กล่าวได้ว่าเป็นของนางมาตั้งแต่แรก พวกมันเพียงกลับคืนสู่เจ้าของเดิมก็เท่านั้น…

“ท่านผู้เฒ่า ท่านช่วยไขปริศนาความสงสัยของข้าได้รึไม่ ?”

ฉินอวี้โม่สับสนงุนงงมากขึ้นเรื่อย ๆ ความลับที่ซ่อนอยู่ในร่างกายของนางคือสิ่งใดกันแน่ ? พลังลึกลับนั่นคืออะไรกัน ?

“แม่สาวน้อย…บางสิ่งบางอย่างก็มิใช่สิ่งที่ควรจะรู้ในตอนนี้ เมื่อพลังของเจ้าเพิ่มขึ้นถึงระดับหนึ่ง เจ้าก็จะไขปริศนาทั้งหมดได้ด้วยตัวเอง”

บรรพบุรุษมังกรกล่าวเพียงแค่นั้นและเป็นความหมายที่เหมือนกับสิ่งที่บุปผาแห่งแสงเคยกล่าวไว้ก่อนหน้านี้เช่นกัน

“ความลับของสวรรค์มิใช่สิ่งที่จะเปิดเผยได้ สักวันเจ้าก็จะเข้าใจได้เอง !”

บรรพบุรุษมังกรกล่าวทิ้งท้ายและเสียงของมันค่อย ๆ เบาบางลง

“แม่สาวน้อย เจ้ามีเวลาอยู่ที่นี่อีกสามวัน เก็บของทุกอย่างไปโดยเร็วที่สุด หลังจากครบกำหนดสามวัน พลังธรรมชาติของที่นี่จะส่งตัวเจ้าออกไป”

หลังจากกล่าวกำชับ เสียงของมันก็ค่อย ๆ จางลงเรื่อย ๆ

“บางทีในสักวัน…เราอาจได้พบกันอีกครั้ง…”

ประโยคที่ฟังดูเลือนรางดังขึ้น ทว่าทำให้ความสงสัยในหัวใจของฉินอวี้โม่พรั่งพรูขึ้นมาทันที

ในเมื่อกล่าวเช่นนี้ แสดงว่าบรรพบุรุษมังกรยังไม่ดับสลายไป ทว่าด้วยพลังอำนาจของมัน หากยังอยู่บนโลกนี้…มันจะไปอยู่ที่ใดกัน ?

ยิ่งไปกว่านั้น แม้แต่ฉินเฟยเหยียนก็เหมือนจะไม่อยู่ในดินแดนมหาเทพแห่งนี้เช่นกัน หรือว่าจะยังมีดินแดนอื่นที่มีระดับสูงกว่านี้…

….

ในเวลาเดียวกันนี้ ภายในพระราชวังใหญ่โตโอ่อ่าแห่งหนึ่ง ฉินเฟยเหยียนกำลังนั่งจิบชาอย่างใจเย็น

ราวกับรับรู้ถึงบางสิ่งบางอย่าง จู่ ๆ สายตาของนางก็เลื่อนไปหยุดในทิศทางของฉินอวี้โม่

“ชิงเหอ…เจ้าพบบางอย่างอีกแล้วสินะ”

สีหน้าของนางบ่งบอกถึงความรู้สึกที่ซับซ้อนอย่างชัดเจน การที่ฉินอวี้โม่แข็งแกร่งมากขึ้นเรื่อย ๆ แน่นอนว่านางมีความสุขและยินดีกับสหาย แต่ทว่า…นางไม่อาจสลัดความกังวลไปได้เช่นกัน

“หากความแข็งแกร่งของชิงเหอพัฒนาไปมากกว่านี้ เกรงว่าคนพวกนั้นก็คงจะสัมผัสได้เช่นกัน”

เสียงหนึ่งดังขึ้นจากมุมมืดโดยที่ไม่มีผู้ใดปรากฏให้เห็น

“ไม่ช้าก็เร็ว ชิงเหอก็จะต้องเผชิญหน้ากับสิ่งเหล่านั้นเมื่อนางกลับมา”

ฉินเฟยเหยียนถอนหายใจเบา ๆ และกล่าวต่อ “สิ่งที่เราพอทำได้ในตอนนี้มีเพียงการช่วยถ่วงเวลาให้กับชิงเหอต่อไป เพื่อที่นางจะได้มีโอกาสพัฒนาตนเองและไม่เผชิญกับอันตรายในตอนนี้…”