ตอนที่ 586 ไอ้เลวนั่นมันชั่วจริงๆ

ยอดไทเฮาเขย่าวังหลัง

เลือดนั้นกระอักออกมาอย่างน่าตกใจ สาดลงไปบนกระถางติ่ง ทั้งยังเปรอะเปื้อนลงไปที่ร่างของตู๋กูซิงหลัน 

 

 

เสื้อผ้าที่เดิมทีก็เป็นสีแดงอยู่แล้ว ตอนนี้ถูกเลือดสดๆของเขาย้อมจนแดงฉานกว่าเดิม 

 

 

เลือดที่ร้อนจนระอุเหล่านั้นซึมผ่านเสื้อผ้าเข้าสู่หัวใจของตู๋กูซิงหลัน ร้อนลวกจนปวดใจ 

 

 

ยามนี้ ตู๋กูเจวี๋ยเหมือนสูญสิ้นเรี่ยวแรงทั่วทั้งร่าง ร่างกายของเขาโคลงเคลง ฝีเท้าอ่อนแรง คล้ายจะล้มลงได้ทุกเมื่อ 

 

 

แต่ถึงกระนั้นมือก็ยังคงประคองกระถางติ่งของชือหลีเอาไว้ไม่ยอมปล่อย  

 

 

ยังดีที่ตู๋กูซิงหลันยื่นมือออกไปอย่างว่องไว คว้าตัวเขาเอาไว้ได้ทัน 

 

 

“พี่รอง!” ดวงตาของนางเบิกกว้าง มือก็คว้าข้อมือของเขาขึ้นมาอย่างรวดเร็ว 

 

 

ถึงแม้ว่านางจะไม่ใช่ผู้ปรุงโอสถหรือผู้ฝึกวิชาหลอมยาตันทั้งหลาย แต่ว่าเรื่องเกี่ยวกับยาทั่วๆไปนับว่ายังพอมีความรู้อยู่บ้าง 

 

 

ทันทีที่สัมผัสข้อมือ ก็รู้ได้เลยว่าเส้นชีพจรของเขากำลังสับสนอย่างรุนแรง ทั้งยังปราศจากเรี่ยวแรงอย่างสิ้นเชิง 

 

 

สายตาของตู๋กูซิงหลันถึงกับหมองคล้ำลงไป 

 

 

“ท่านถูกพิษ” 

 

 

นางเอ่ยอย่างมั่นใจ 

 

 

คนที่เมื่อครู่ยังดีๆอยู่แท้ๆ ตอนนี้อยู่ๆก็กระอักเลือดออกมา 

 

 

ตู๋กูเจวี๋ยไม่มีโอกาศจะตอบคำถามนาง เขาได้แต่กระอักเลือดออกมาเรื่อยๆ คราวนี้ ใบหน้าถึงกับซีดขาวจนปราศจากสีเลือด 

 

 

ผ่านไปพักใหญ่เขาค่อยสามารถผ่อนลมหายใจได้ ยื่นมือมาปาดเช็ดเลือดที่มุมปาก กระทั่งดวงตาก็มีแต่เส้นเลือดขึ้นเต็มไปหมด 

 

 

“ไม่เป็นไร แค่กระอักเลือดเฉยๆ” 

 

 

ที่จริงตอนนี้เขาเจ็บปวดจนเหมือนมีพันดาบแทงหัวใจแล้ว แต่ว่าเมื่ออยู่ต่อหน้าน้องเล็กที่เป็นเหมือนสมบัติล้ำค่าบนฝ่ามือ จึงได้แต่อดกลั้นเอาไว้ ไม่อยากให้นางต้องมาลำบากไปด้วย 

 

 

“เวลาเช่นนี้แล้ว ท่านยังจะมาโกหกข้าอีก พี่รอง ท่านดูถูกข้า หรือว่ายกย่องตนเองว่าสูงส่งกว่ากันแน่?” 

 

 

หากมิใช่เป็นเพราะว่าเห็นเขากระอักเลือดอย่างรุนแรง ตู๋กูซิงหลันยังคิดจะซ้อมเขาสักรอบหนึ่ง 

 

 

นางกุมมือของตู๋กูเจวี๋ยเอาไว้แน่นอย่างไม่ยอมคลาย “บอกความจริงกับข้ามา ท่านไม่มีเวลาจะสิ้นเปลืองอีกแล้ว” 

 

 

อย่างน้อยๆก็ต้องให้นางได้รู้ต้นสายปลายเหตุ ว่าเขาได้รับพิษอะไร จะได้หาทางช่วยเขาสลายพิษได้ถูก 

 

 

ยามนี้ผิวกายทั่วร่างของตู๋กูเจวี๋ยเหมือนถูกเข็มมากมายทิ่มแทง 

 

 

อวัยวะภายในทั้งหมดเหมือนถูกคนใช้มีดเฉือนออกมาเป็นชิ้นๆ ทั้งยังบดขยี้จนคล้ายจะเป็นเนื้อสับ 

 

 

เขาเงยหน้าขึ้นมา มองดูแววตาที่ห่วงใยอย่างสุดซึ้งของน้องเล็ก ในที่สุดค่อยยอมประนีประนอม 

 

 

“ต้า…ซือมิ่ง….” 

 

 

หัวคิ้วของตู๋กูซิงหลันขมวดมุ่น “เขาเอายาพิษให้ท่าน?” 

 

 

นางคาดเดาถูกแล้วจริงๆ ในนิยายก็ชอบมีเรื่องโหดเ**้ยมแบบนี้ พี่รองเข้าร่วมกับตำหนักซิวหลัวเตี้ยน อย่างแรกเลยก็ต้องรับบทถูกพิษควบคุมเอาไว้สินะ? 

 

 

ตู๋กูเจวี๋ยพยักหน้า ตอนนี้เขาไม่เหลือแม้แต่เรี่ยวแรงจะพูดจาอีกแล้ว 

 

 

“ไอ้ชาติสุนัข หน้าตาอัปลักษณ์แล้วจิตใจยังชั่วร้ายอีก!” ตู๋กูซิงหลันโมโหขึ้นมาในทันที ก่อนหน้านี้ที่นางเคยถูกต้าซือมิ่งก่อกวนอยู่หลายครั้งหลายหนก็ยังไม่ทำให้นางโมโหเท่านี้ 

 

 

ตอนนี้พอรู้ว่าคนที่วางยาพิษพี่รองก็คือต้าซือมิ่ง นางก็ถึงกับอยากจะสะบั้นหัวคนขึ้นมา 

 

 

นางไม่ได้พกดาบยักษ์ของพี่ใหญ่มาด้วย หากว่าเอามา ตอนนี้ต้าซือมิ่งผู้นั้นต้องเละเป็นเนื้อบดแน่ 

 

 

“อย่าได้วู่วาม….” ตู๋กูเจวี๋ยรู้ดีว่า เดี๋ยวนี้น้องเล็กของตนอารมณ์ร้ายเพียงใด พอเขาสารภาพออกไปเช่นนี้ นางจะต้องไปหาเรื่องต้าซือมิ่งอย่างแน่นอน ถึงตอนนั้นไม่แน่ว่าแม้แต่ตำหนักซิวหลัวเตี้ยนก็อย่าได้หวังจะสงบสุขอีกเลย 

 

 

ความเมตตาที่ท่านเจ้าตำหนักมีต่อนางจะจริงหรือเท็จเพียงใดก็ยังไม่รู้แน่ ตอนนี้หากนางอาละวาดขึ้นมา ก็ไม่รู้ว่าจะเกิดผลลัพธ์เช่นใดบ้าง ดังนั้นเขาจึงไม่กล้าบอกเรื่องที่ถูกพิษกับนางมาโดยตลอด 

 

 

เดิมทีทุกๆเดือนพอได้รับยาบรรเทาพิษก็จะไม่เป็นอะไร ตามเหตุผลแล้วก็ยังไม่ถึงช่วงเวลาที่พิษจะออกฤทธิ์ อยู่ดีๆทำไมถึงกำเริบขึ้นมาได้ ทั้งยังกำเริบอย่างรุนแรงถึงเพียงนี้? 

 

 

ตู๋กูเจวี๋ยคิดอย่างไรก็ไม่เข้าใจข้อนี้จริงๆ 

 

 

“พี่รอง ในเมื่อไอ้เลวนั่นกล้าแตะต้องท่าน มันก็อย่าได้หวังว่าจะอยู่สุขสบายได้อีกเลย” แววตาของตู๋กูซิงหลันมีแต่ประกายเย็นยะเยือก 

 

 

ทั่วทั้งร่างของนางมีแต่ไอสังหารท่วมท้น 

 

 

นางไม่คิดจะพูดกับตู๋กูเจวี๋ยอีก ใช้มือข้างหนึ่งสกัดการไหลเวียนของเลือดในร่างกายเขาเอาไว้ มืออีกข้างหนึ่งก็หยิบยันต์สีเหลืองออกมา โบกเพียงพริบตาก็เขวี้ยงออกไป ยันต์แผ่นนั้นก็กลายร่างเป็นนกกระเรียนกระดาษ ขยับปีกบินออกไปในทันที 

 

 

ยันต์ติดตาม เป็นยันต์ที่ใช้เสาะหาคน ตู๋กูซิงหลันระวังตัวอยู่แต่แรกแล้ว จึงได้แอบเอาเส้นผมบนร่างของต้าซือมิ่งมาเก็บเอาไว้สองเส้น 

 

 

ในเมื่อมีเส้นผมของเขา พอผนึกลงไปบนยันต์ก็สามารถติดตามเสาะหาตัวคนได้อย่างรวดเร็ว 

 

 

ทันทีที่ ยันต์ติดตามบินออกไป ตู๋กูซิงหลันก็แบกตู๋กูเจวี๋ยเอาไว้บนบ่า สะกิดปลายเท้าเพียงนิดเดียวก็เหาะตามนกกระเรียนกระดาษขึ้นไป 

 

 

เดิมทีพละกำลังของนางก็มากอยู่แล้ว ตอนที่ได้เป็นไทเฮาน้อยใหม่ๆ แล้วลงไปในสุสานของเย่วฮูหยิน นางยังเคยแบกจีเฉวียนเอาไว้และอุ้มจีเย่ไปด้วย 

 

 

พี่รองนับว่าตัวเบากว่าสองคนนั้นมากนัก แบกเอาไว้ก็ไม่รู้สึกกินแรงเลยสักนิดเดียว 

 

 

ชุดของนางเป็นสีแดงราวเปลวเพลิง คนเหาะเหินอยู่ในอากาศดั่งผีเสื้อใต้แสงจันทร์ เจิดจ้างดงาม 

 

 

เพียงครู่เดียว นกกระเรียนกระดาษก็บินมาจนถึงหอชมจันทรา 

 

 

ตู๋กูซิงหลันชะงักไปเล็กน้อย ในใจคิดไปว่าดึกมากแล้วไอ้คนเลวนั่นยังมาหาฟ่านอิงอีกหรือ? 

 

 

ดูท่าคงจะไม่มีเรื่องดีเสียแล้ว 

 

 

ในใจของนางยังคงมีข้อกังวล แต่พอพี่รองที่อยู่บนหลังกระอักเลือดออกมาไม่มีหยุด ตู๋กูซิงหลันก็ไม่สนใจให้มากความอีกต่อไป นางแบกพี่รองบุกเข้าไปภายใน 

 

 

พึ่งเข้าไปได้ครึ่งก้าว เบื้องหน้าก็มีแต่หมอกสีดำ หอชมจันทราเยือกเย็นอย่างที่สุด แค่ก้าวเข้าไปเพียงก้าวเดียว ก็เหมือนกับเข้าไปอยู่ในสุสานที่ลึกลับและมืดมิดแห่งหนึ่ง 

 

 

“หลันหลัน” 

 

 

นางพึ่งจะเข้าไป ก็ถูกฟ่านอิงเรียกเอาไว้ บนร่างของนางมีแต่กลิ่นคาวเลือด จนทำให้เขาแปลกใจ 

 

 

“ท่านตา!” ตู๋กูซิงหลันเห็นเขา ก็รีบเรียกออกมาในทันที “ช่วยด้วยเจ้าค่ะ” 

 

 

พี่รอง “…..” ไม่นะ น้องเล็ก คนผู้นี้ไม่ใช่ท่านตาแท้ๆของพวกเรา จะมาเรียกอย่างสนิทสนมกว่าท่านตาแท้ๆได้อย่างไร? 

 

 

ตู๋กูซิงหลันไหนเลยจะสนใจให้มากความ นางแบกเขาเดินดุ่มๆเข้าไปจนถึงเบื้องหน้าฟ่านอิง จากนั้นค่อยอุ้มเขาลงมาจากบนบ่าด้วยความระมัดระวัง อุ้มเอาไว้ในท่าอุ้มเจ้าหญิง นางกวาดตามองดูในห้องหนึ่งรอบ ค่อยวางตู๋กูเจวี๋ยลงบนเก้าอี้ตัวหนึ่ง 

 

 

ตั้งแต่ต้นจนถึงตอนนี้ฟ่านอิงเอาแต่ยืนดูอยู่ที่ด้านข้าง สายตาของเขาหยุดอยู่ที่ตู๋กูเจวี๋ย อย่างเน้นหนักขึ้นมา 

 

 

วันนี้เมื่อตอนกลางวัน เขาก็ได้เห็นหนุ่มน้อยผู้นี้อยู่เหมือนกัน 

 

 

ตอนที่เห็นก็รู้สึกเพียงว่าหัวคิ้วหางตาดูคุ้นเคย แต่ไม่ได้มองดูให้ละเอียด เพียงแค่ไม่นาน กลายเป็นเลือดโชกไปทั้งร่างเสียแล้ว? 

 

 

“ท่านตา เขาโดนพิษของตำหนักซิวหลัวเตี้ยน อยู่ๆพิษก็กำเริบขึ้นมาอย่างรุนแรง ขอท่านตาโปรดช่วยชีวิตด้วยเจ้าค่ะ!” วิธีอ้อนวอนผู้คนของตู๋กูซิงหลัน ไม่เคยผิดพลาดมาก่อน 

 

 

ว่าตามจริงแล้ว ตอนนี้นางคิดถึงเลือดจากก้น….ของวิญญาณทมิฬเอามากๆเลย 

 

 

อย่างน้อยๆเลือดนั่นก็สามารถสลายร้อยพิษได้ 

 

 

“พิษของตำหนักซิวหลัวเตี้ยน” ฟ่านอิงหรี่ดวงตาลง เดินไปข้างหน้าอีกสองก้าว เขายืนตัวตรงดุจพู่กัน ดวงตาที่อยู่หลังม่านหมอกคู่นั้นจดจ้องไปที่ตู๋กูเจวี๋ย 

 

 

“ต้าซือมิ่งเอาให้เขากิน ท่านตาเป็นเจ้าตำหนัก จะต้องมีวิธีสลายพิษใช่หรือไม่เจ้าคะ?” 

 

 

ในตอนแรกของตู๋กูซิงหลันคิดจะหาตัวต้าซือมิ่ง บีบให้เขาเอายาถอนพิษออกมา จากนั้นก็ค่อยสับคนให้กลายเป็นเนื้อบด แต่ใครจะไปรู้ว่าพอไล่ตามนกกระเรียนกระดาษมาเรื่อยๆ มันจะพานางมาถึงหอชมจันทรา 

 

 

แล้วต้าซือมิ่งละ….ตู๋กูซิงหลันอดไม่ได้ที่จะมองออกไปรอบๆตรงอื่นบ้าง 

 

 

นางถึงได้เห็นว่าที่ด้านหลังของฟ่านอิง มีศพของบุรุษที่ไร้ศีรษะอยู่ศพหนึ่ง 

 

 

………………………