บทที่ 806 สถานการณ์เริ่มคลี่คลาย

เซียนกระบี่มาแล้ว![剑仙在此]

ตอนที่ 806 สถานการณ์เริ่มคลี่คลาย

“คุณชาย… ไม่ได้รับบาดเจ็บตรงไหนใช่ไหมขอรับ?”

บนกำแพงเมือง เมื่อเห็นว่าหลินเป่ยเฉินกลับมาอย่างปลอดภัย พวกของเกาเฉิงฮั่นก็ถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอก

ก่อนหน้านี้ตอนที่เห็นว่าค่ายที่พักของชาวทะเลมีฝุ่นควันปกคลุมโกลาหล ทุกคนก็ใจคอไม่อยู่กับเนื้อกับตัว เกรงว่าถ้าไม่ได้มีเกาเฉิงฮั่นคอยอยู่ควบคุมสถานการณ์ หลายคนคงต้องบุกตะลุยเข้าไปช่วยเหลือเด็กหนุ่มออกมาแน่นอน

“ข้ายังหล่อเหลาถึงขนาดนี้ จะบาดเจ็บได้อย่างไร?”

หลินเป่ยเฉินก้มมองเสื้อผ้าที่ฉีกขาดของตัวเองด้วยใบหน้าเจ็บปวดและพูดต่อ “เฮ้อ สู้กันทีไรเสื้อผ้าฉีกขาดทุกที ต้องเปลี่ยนชุดใหม่อีกแล้วสินะ ช่วงนี้ข้ายิ่งไม่ค่อยมีเงินอยู่ด้วย”

ทุกคนถึงกับพูดอะไรไม่ออกเมื่อได้ยินเช่นนั้น

หากคุณชายหลินบอกว่าตนเองไม่ค่อยมีเงิน พวกเขาที่เหลือก็คงเป็นขอทานแล้วกระมัง?

แต่แน่นอนว่านี่คงเป็นมุกตลกของหลินเป่ยเฉินเพื่อพยายามผ่อนคลายบรรยากาศที่ตึงเครียด และเมื่อเห็นเด็กหนุ่มหัวเราะออกมาด้วยความชอบใจ กลุ่มนายทหารก็สามารถเบาใจได้แล้วว่าเขาไม่เป็นอะไรจริงๆ

ยังคงมีดวงตานับจำนวนไม่ถ้วนจ้องมองอยู่ที่หลินเป่ยเฉิน

นับตั้งแต่ที่เกิดการปิดล้อมของชาวทะเล นี่คือครั้งแรกที่ยอดฝีมือระดับเซียนต้องรีบรุดออกมาช่วยเหลือพวกเขาที่กำแพงเมือง และเมื่อยอดฝีมือเหล่านั้นสามารถขับไล่ชาวทะเลให้ถอยทัพกลับไปได้ จิตใจของนายทหารแนวหน้าก็ยิ่งฮึกเหิมมากกว่าเดิม…

เสียงย่ำกลองรบยังคงดังสนั่นกำแพงเมือง

นายทหารประจำนครเจาฮุยหยิบจับอาวุธด้วยจิตใจห้าวหาญ

การต่อสู้ดำเนินต่อไป

สีหน้าของเกาเฉิงฮั่นยามจ้องมองการพุ่งรบมีความผ่อนคลายมากขึ้นแล้ว

ส่วนหลินเป่ยเฉินเอาแต่มีสีหน้าเจ็บปวดไม่เลิกรา

เขารู้สึกเสียใจจริงๆ ที่ทำให้เสื้อผ้าฉีกขาด

โทรศัพท์มือถือยังคงอยู่ระหว่างอัปเกรดอุปกรณ์

สิ่งของที่เก็บอยู่ในแอปไป่ตู้ เน็ตดิสก์ไม่สามารถนำออกมาใช้งานได้ชั่วคราว

สถานการณ์ของเด็กหนุ่มในขณะนี้ไม่ต่างจากคนที่ฝากเงินไว้กับธนาคาร เมื่อธนาคารประกาศปิดทำการอย่างกะทันหัน หลินเป่ยเฉินจึงไม่สามารถทำการถอนเงินได้ชั่วคราว แต่ที่แตกต่างไปในครั้งนี้ก็คือ เขาไม่รู้เลยว่าธนาคารจะกลับมาเปิดทำการอีกครั้งเมื่อไหร่

ในอนาคตข้างหน้า สงสัยต้องเก็บเงินแยกเอาไว้ข้างนอกบ้างแล้วสิ

“หลินเป่ยเฉิน ในค่ายทหารของชาวทะเล มียอดฝีมือระดับเซียนอยู่อีกคนใช่หรือไม่?”

เกาเฉิงฮั่นถามในสิ่งที่ทุกคนสงสัย

การพยักหน้าตอบรับของเด็กหนุ่มยิ่งทำให้หัวใจของพวกเขาร้อนรนมากกว่าเดิม

เพราะมันหมายความว่าชาวทะเลมียอดฝีมือระดับเซียนอยู่ถึงสองคนเลยไม่ใช่หรือ?

บรรดาแม่ทัพนายกองคนสำคัญรู้สึกหัวใจหนักอึ้ง

พวกเขาเข้าใจดีว่าการที่ชาวทะเลมียอดฝีมือระดับเซียนเพิ่มขึ้นมาอีกคนนั้น มันหมายความว่าอย่างไร

หลังจากนั้น หลินเป่ยเฉินก็บอกเล่าถึงเรื่องราวการเผชิญหน้าระหว่างเขากับเด็กสาวผู้อยู่บนรถเข็น สิ่งเดียวที่เขาปิดบังก็คือตัวตนที่แท้จริงของนาง ตราบใดที่เขายังไม่ได้รับคำยืนยันจากปากอาจารย์ของตนเอง หลินเป่ยเฉินในฐานะลูกศิษย์จึงไม่สมควรป่าวประกาศเรื่องราวส่วนตัวของท่านให้ผู้ใดรับทราบ

“เด็กสาวผู้นั่งอยู่บนรถเข็นผู้นั้น ข้าไม่รู้ว่านางพิการจริงๆ หรือไม่ แต่นางสวมใส่ถุงมือสีขาวอยู่ตลอดเวลา และบนนิ้วมือของนางก็สวมใส่แหวนอัญมณีสองวง วงหนึ่งเป็นแหวนสีน้ำเงิน ดูเหมือนจะเอาไว้ใช้ปกป้องคุ้มครองตนเอง ส่วนอีกวงเป็นสีแดง คล้ายกับว่าเป็นสิ่งที่สามารถปล่อยพิษระดับสูงที่สามารถทำร้ายได้แม้แต่ผู้มีพลังขั้นเซียน… อย่างน้อยนางก็มีของวิเศษติดตัวอยู่ถึงสองชิ้น น่าจะเป็นสมาชิกระดับสูงของวังบาดาล เพราะฉะนั้น ข้าจึงมั่นใจว่าผู้มีพลังระดับเซียนอีกคนหนึ่งของพวกชาวทะเลในครั้งนี้ก็คือนางนี่เอง”

หลินเป่ยเฉินบอกเล่าถึงความร้ายกาจของเด็กสาวด้วยความกระตือรือร้น

โชคร้ายที่โทรศัพท์อยู่ระหว่างการอัปเกรด

ไม่งั้นเขาคงอัดคลิปวิดีโอมาให้ทุกคนดูแล้ว

เด็กหนุ่มหวังว่าด้วยสายข่าวที่ยอดเยี่ยมของเกาเฉิงฮั่น พวกเขาก็น่าจะได้รับทราบข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับเด็กสาวบนรถเข็นผู้นี้มากขึ้น

บอกตามตรงเลยก็คือ หลินเป่ยเฉินไม่อยากจะต่อสู้กับเด็กสาวผู้นี้อีกแล้ว

ยังไม่ต้องพูดถึงเรื่องที่ว่านางอาจจะเป็นบุตรสาวของอาจารย์ติง เอาเป็นว่าแค่รูปโฉมความงดงามของเด็กสาวเพียงอย่างเดียว ก็ทำให้จิตใจของหลินเป่ยเฉินอ่อนไหวยิ่งกว่าอะไรดี มิหนำซ้ำ นางยังต้องนั่งอยู่บนรถเข็น แล้วเขาจะใจจืดใจดำทำร้ายคนพิการได้อย่างไร?

แต่ดูเหมือนว่าความสัมพันธ์ระหว่างอาจารย์ติงกับบุตรสาวคงไม่ดีสักเท่าไหร่กระมัง?

เห็นได้ชัดว่านางเกลียดบิดาของตนเอง

นางถูกเลี้ยงดูปลูกฝังให้เป็นเช่นนั้นหรือไม่?

หรือว่าการฝึกฝนของนางจะทำให้ธาตุไฟเข้าแทรกจนจิตใจไม่ปกติ?

หลินเป่ยเฉินได้แต่คิดแล้วก็สงสัย

เด็กหนุ่มยังคงขุ่นเคืองใจไม่หาย

เขาทั้งหล่อเหลาและเก่งกาจขนาดนี้ ทำไมนางจึงมองหน้าเขาด้วยความเหยียดหยามขนาดนั้น?

เมื่อได้รับฟังคำอธิบายของหลินเป่ยเฉิน ทุกคนก็ถึงกับเงียบงัน

ดูเหมือนสถานการณ์จะย่ำแย่กว่าที่คิดแล้วสิ

ฟังๆ ดู เด็กสาวบนรถเข็นผู้นั้นคงไม่ใช่ยอดฝีมือระดับเซียนธรรมดา

บางคนหันกลับมามองหน้าเกาเฉิงฮั่นโดยไม่รู้ตัว

ณ ขณะนี้ เกาเฉิงฮั่นมีสถานะเป็นเสาหลักค้ำจุนนครเจาฮุย

เกาเฉิงฮั่นชะงักไปเล็กน้อย ก่อนจะยิ้มออกมา และหันกลับมามองหน้าหลินเป่ยเฉินพร้อมพูดว่า “รู้เขารู้เรา รบร้อยครั้งชนะร้อยครั้ง การแสดงฝีมือของคุณชายหลินในครั้งนี้ เกือบจะสามารถลอบสังหารผู้บัญชาการรบของชาวทะเลได้สำเร็จ ถือเป็นเรื่องที่น่าชื่นชมเป็นอย่างยิ่ง”

หลินเป่ยเฉินได้ยินดังนั้น ดวงตาก็ลุกวาว สอบถามออกมาว่า “อย่าบอกนะว่าท่านมีของรางวัลจะให้ข้า?”

เกาเฉิงฮั่นคุ้นเคยกับความหน้าเงินของเด็กหนุ่มดีแล้วจึงตอบ “ย่อมมี แต่นี่คือความดีความชอบที่ยิ่งใหญ่เกินไป ข้าต้องรายงานเรื่องนี้กลับไปที่วังหลวงก่อน แล้วองค์จักรพรรดิจะเป็นผู้ตัดสินใจเองว่าจะประทานรางวัลให้เจ้าอย่างไรดี…”

หลินเป่ยเฉินรู้สึกเหมือนตนเองถูกหลอกให้ดีใจเก้อ

แบบนี้หลอกกันนี่หว่า

เกาเฉิงฮั่นชำเลืองมองไปยังหลู่เหวินหยวนและแม่ทัพนายกองคนอื่นๆ ก่อนพูดด้วยน้ำเสียงสบายใจว่า “ชาวทะเลมียอดฝีมือระดับเซียนสองคน นครเจาฮุยก็มียอดฝีมือระดับเซียนสองคนเช่นกัน พวกเรายังไม่ถือว่าเสียเปรียบแต่อย่างใด ผู้บัญชาการรบของชาวทะเลมีอัญมณีวิเศษอยู่สองชิ้นแล้วจะทำไม? ทุกท่านก็คงเห็นแล้วว่าคุณชายหลินสามารถใช้งานพลังปราณธาตุได้ถึงสามชนิด และทักษะการต่อสู้ของเขาก็สูงส่งถึงเพียงนี้ ยังจะมีสิ่งใดให้พวกเราเป็นกังวลอีกหรือ?”

ดวงตาของทุกคนหันกลับมาจ้องมองที่หลินเป่ยเฉินทันที

เกาเฉิงฮั่นกล่าวออกมาได้ถูกต้อง

ยังไม่ต้องพูดถึงข่าวลือเรื่องการต่อสู้ก่อนหน้านี้ในเขตเมืองผู้อพยพ เอาเป็นว่าเมื่อสักครู่ พวกเขาได้พบเห็นกับตาของตนเองแล้วว่าหลินเป่ยเฉินสามารถหลบหนีเข้าออกค่ายทหารของชาวทะเลได้ง่ายดายยิ่งกว่าพลิกฝ่ามือเสียอีก

อย่างน้อย มันก็เป็นเรื่องจริงที่ยอดฝีมือระดับเซียนของชาวทะเลไม่สามารถเอาชนะหลินเป่ยเฉินได้

บรรยากาศเหนือกำแพงเมืองจึงกลับมาผ่อนคลายอีกครั้ง

ถึงจะยังไม่มีความหวังที่จะยุติสงคราม แต่เมืองใหญ่อย่างนครเจาฮุยมียอดฝีมือระดับเซียนคอยคุ้มครองถึงสองคน มันก็เป็นหลักประกันว่าพวกเขาคงสามารถต้านทานการโจมตีของฝ่ายตรงข้ามได้อีกพักใหญ่

เมื่อสถานการณ์ดำเนินมาถึงจุดนี้ กองทัพทั้งสองฝ่ายก็เหมือนกับกำลังแข่งขันกันว่าใครจะสามารถอดทนได้นานมากกว่ากัน

ในประวัติศาสตร์ของโลกแห่งวรยุทธ์ เคยมีหลายครั้งที่เมืองซึ่งถูกปิดล้อมสามารถดำรงชีพอยู่ต่อไปได้อีกหลายสิบปี

ขณะนี้ หลินเป่ยเฉินไม่สามารถใช้งานโทรศัพท์มือถือได้ชั่วคราว เขาจึงทำอะไรไม่ได้มากนัก

มิเช่นนั้น เขาคงใช้งานปืนยิงจรวด Type 69 ขอยิงจังๆ เพียงไม่กี่นัดเท่านั้น รับรองว่ากองทัพของชาวทะเลต้องแตกกระเจิงแน่นอน

ดังนั้น ตอนนี้หลินเป่ยเฉินจึงต้องแก้ปัญหาเฉพาะหน้าไปก่อน

หลินเป่ยเฉินไม่ได้คิดมากอย่างเกาเฉิงฮั่น เขาสนใจเพียงเหรียญทองคำและการรับของรางวัลจากวีรกรรมอันกล้าหาญ เด็กหนุ่มไม่ชำนาญการวางกลยุทธ์แผนการรบ เขาถนัดเพียงการกระโดดลงสู่สนามรบและสังหารชาวทะเลที่บุกโจมตีกำแพงเมืองให้ได้มากที่สุด และเมื่อขณะนี้ม่านพลังของกำแพงเมืองได้รับการซ่อมแซมแทบครบถ้วนแล้ว ก็ไม่มีสิ่งใดให้น่าเป็นห่วงอีกต่อไป…

ขุมกำลังที่ทำหน้าที่ปกป้องกำแพงเมือง ล้วนแต่เป็นนายทหารที่มีประสบการณ์ต่อสู้โชกโชน

โลหิตของชาวทะเลเนืองนองเต็มพื้นดิน

กำแพงเมืองกลับมาแข็งแกร่งอีกครั้ง

ไม่ว่าหลินเป่ยเฉินเดินผ่านบริเวณใด ก็จะมีเสียงโห่ร้องต้อนรับดังขึ้นแต่ไกล

เด็กหนุ่มใช้วงแหวนวารีรักษาอาการบาดเจ็บให้แก่นายทหารจำนวนมาก

“เหนื่อยหน่อยนะทุกคน”

หลินเป่ยเฉินพูดออกมาเสียงดัง

โบกไม้โบกมือทักทายนายทหารผู้ใสซื่อบริสุทธิ์

ช่องว่างจุดสุดท้ายของม่านพลังบนกำแพงเมืองอยู่ที่กำแพงเมืองฝั่งตะวันออก

ที่นี่มีการต่อสู้ดุเดือด

หลินเป่ยเฉินลอยตัวเข้าไปกำลังจะแสดงฝีมือ

แต่แล้วดวงตาของเขาก็หรี่ลง

เพราะเงาร่างเพรียวบางที่กำลังสังหารศัตรูอย่างบ้าคลั่งอยู่นี้ดูคุ้นตาเขาชอบกลนัก

เคล้ง!

คมกระบี่ปะทะกัน

แม้ทหารผู้นี้จะสามารถสังหารนักรบชาวทะเลผู้เป็นคู่ต่อสู้ได้สำเร็จ แต่แรงปะทะที่เกิดขึ้น ก็ทำให้หมวกเหล็กบนศีรษะของนางแตกกระจาย เปิดเผยให้เห็นถึงใบหน้าอันงดงามราวกับอัญมณีเลอค่า…