บทที่ 1200 จัดตั้งขุมกำลังใหม่

หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler

หนึ่งในใต้หล้า 大主宰

บทที่ 1200 จัดตั้งขุมกำลังใหม่

เมื่อทุกคนกลับจากวังสวรรค์บรรพกาล

เรื่องราวต่างๆ ที่เกิดขึ้นก็แพร่กระจายไปทั่วทุกหนแห่ง ทำให้เกิดการสั่นสะเทือนเลือนลั่นไปทั่วทวีปเทียนหลัว ทั้งเรื่องการฟื้นคืนของจอมปีศาจทุนเทียนหรือการปรากฏตัวของเทพจักรพรรดิอัคคีและเทพจักรพรรดิสงคราม ข่าวทั้งหมดนี้น่าตกใจอย่างยิ่ง

ไม่มีใครคิดว่าวังสวรรค์บรรพกาลจะเกิดหายนะ หากไม่ได้เป็นเพราะเทพจักรพรรดิอัคคีและเทพจักรพรรดิสงคราม ทวีปเทียนหลัวคงเป็นสถานที่แรกที่ต้องทนทุกข์ทรมานเมื่อจอมปีศาจหนีไปได้

หากการดำรงอยู่นั้นที่เทียบได้กับจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนต้องการเริ่มต้นการสังหารหมู่ ทวีปเทียนหลัวจะกลายเป็นนรกในทันที

แต่โชคดีที่สิ่งนี้ไม่ได้เกิดขึ้น

เทพจักรพรรดิอัคคีและเทพจักรพรรดิสงครามจัดการปีศาจได้สิ้นซาก ทำให้ทวีปเทียนหลัวรอดพ้นจากภัยพิบัติซึ่งทำให้ชื่อเสียงของพวกเขายิ่งสูงส่งขึ้นไปอีก

แน่นอนว่าขณะที่พวกเขารู้สึกขอบคุณต่อเทพจักรพรรดิอัคคีและเทพจักรพรรดิสงคราม สำหรับตำหนักเทพปีศาจกลับกลายเป็นเป้าหมายโดนรุมทึ้ง สมาชิกของที่นี่ต้องซ่อนตัว ไม่มีใครกล้าพูดเกี่ยวกับความสัมพันธ์ที่พวกเขามีต่อสำนักที่เคยยิ่งใหญ่อีกแล้ว

การสมรู้ร่วมคิดกับเผ่าปีศาจต่างมิติเป็นมหันตภัยร้ายที่ทุกคนในมหาพันภพรับไม่ได้ ไม่เพียงแต่ลู่หยวนทรยศ เขายังพยายามที่จะชุบชีวิตจอมปีศาจด้วย

ดังนั้นตำหนักเทพปีศาจถูกลบออกในเวลาไม่กี่วัน ขั้วอำนาจใกล้เคียงทั้งหมดแสดงให้เห็นถึงเขี้ยวเล็บของพวกเขา จากนั้นก็ตัดแบ่งทรัพยากรและดินแดนกันอย่างรวดเร็ว ทำให้สำนักที่อยู่จุดบนสุดเลือนหายไปจากหน้าประวัติศาสตร์

ดังนั้นตอนที่มู่เฉิน มั่นถัวหลัวและจิ่วโยวออกมาจากวัง ตำหนักเทพปีศาจก็ถูกกลืนกินไปอย่างสมบูรณ์ พวกเขารู้สึกเสียดายอยู่บ้าง เนื่องจากหากพวกเขาสามารถกลืนกินรากฐานทั้งหมดของตำหนักเทพปีศาจได้ก็จะเป็นการเก็บเกี่ยวครั้งใหญ่สำหรับพันธมิตรภูมิภาคทางเหนือเลยทีเดียว

ทว่าความคิดนี้ก็คงอยู่ในใจชั่วครู่เท่านั้น เพราะตอนนี้พวกเขาได้รับวังโบราณ ซึ่งเป็นสมบัติแท้จริงที่จะเสริมอำนาจให้กับอาณาเขตกงเวทสวรรค์

เมื่อกลับมาถึง มั่นถัวหลัวก็ไม่ได้ให้มู่เฉินจัดการสิ่งอื่น นางให้เขาไปที่สงบเงียบเพื่อเข้าสมาธิทันที เพราะแม้ว่าครั้งนี้เขาจะบรรลุขุมพลังตี้จื้อจุน แต่เวลายังน้อยไป ทำให้ไม่สามารถควบคุมพลังตี้จื้อจุนได้อย่างแท้จริง เขาจึงต้องคงพลังให้เสถียรก่อนเพื่อไม่ให้เกิดปัญหาในอนาคต

มู่เฉินไม่ได้คัดค้านอะไร เนื่องจากเขารู้ว่าต่อให้โอกาสครั้งนี้จะยิ่งใหญ่ แต่ก็ทำให้พัฒนาเร็วไป หากไม่ใช่ว่าเขาสร้างรากฐานที่มั่นคงไว้ในอดีต ความก้าวหน้าของเขาอาจเป็นอันตรายในระยะยาวแทน

ดังนั้นสิ่งแรกต้องทำคือสร้างความมั่นคงให้กับพลังและควบคุมให้สมบูรณ์

ในหนึ่งเดือนต่อมา มู่เฉินจึงใช้เวลาทั้งหมดอยู่ในสมาธิ

ทว่านอกจากฝึกสมาธิมู่เฉินยังได้ยืมพลังกระบี่เกล็ดจักรพรรดิเพื่อเข้าสู่วังสวรรค์บรรพกาลหลายครั้ง ยามนี้เขามีตำแหน่งเทียบเท่ากับเจ้าวัง ดังนั้นค่ายกลที่เหลือจึงไม่เป็นอันตรายกับเขาอีกต่อไป เขาสามารถเดินทางไปมาได้ทุกครั้งที่ต้องการ

ในการเดินทางเข้าวังก็ทำให้เขาได้ค้นพบสมบัติที่ไม่คาดคิดหลายอย่าง

อย่างแรกก็คือเขาพบชิ้นส่วนม้วนคัมภีร์ค่ายกล ซึ่งมีชื่อว่าค่ายกลเก้าเทพมังกรประหาร

มู่เฉินเคยฝึกฝนค่ายกลนี้มาแล้ว ทว่าแต่ก่อนเขาได้รับเพียงส่วนหนึ่งของม้วนคัมภีร์ ซึ่งทำให้เขาพอสร้างค่ายกลเก้าเทพมังกรประหารได้ แต่พลังยังจำกัดอยู่เพียงมังกรสามตัว ซึ่งเป็นพลังหนึ่งในสามส่วนของทั้งหมดเท่านั้น

อย่างไรก็ตามนี่ก็เพียงพอที่จะเผชิญหน้ากับจอมยุมธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นต้นได้ เนื่องจากค่ายกลนี้อยู่ในจุดสุดยอดของค่ายกลระดับจงซือ ถ้าเป็นค่ายกลฉบับสมบูรณ์กระทั่งจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นปลายก็ยังไม่สามารถหนีหากถูกคุมขัง

ช่างเป็นเรื่องยินดีอย่างคาดไม่ถึง เพราะเขาคาดหวังกับภาพค่ายกลเก้าเทพมังกรประหารเต็มรูปแบบมานานแล้ว เพียงแต่ว่ายังไม่สามารถหาภาพที่สมบูรณ์ได้ ดังนั้นเขาจึงได้แต่เสียใจ ค่ายกลระดับดังกล่าวไม่ใช่สิ่งที่สามารถพบได้ตามท้องถนน แม้จะได้รับความช่วยเหลือจากมั่นถัวหลัวก็ตาม

แต่สมบัติดังกล่าวกลับถูกค้นพบโดยมู่เฉิน ซึ่งเป็นเหตุผลว่าทำไมเขาถึงดีใจ ดังนั้นระหว่างสมาธิเขาก็ได้แบ่งเวลาศึกษาภาพด้วยความหวังว่าจะเข้าใจอย่างเต็มที่

แน่นอนว่าด้วยพลังของเขาในตอนนี้ยังต้องฝึกฝนอีกช่วงหนึ่งก่อนจะสร้างแบบสมบูรณ์ได้ แต่อย่างน้อยเมื่อมีภาพเต็มรูปแบบพลังค่ายกลเก้าเทพมังกรประหารก็มีพลังขึ้นมากกว่าในอดีต

หลังจากชิมรางวัลที่ได้มา มู่เฉินก็ไม่เต็มอิ่ม ดังนั้นเขาจึงสำรวจวังโบราณอย่างถี่ถ้วน ค้นพบกับสิ่งที่คาดไม่ถึงอีก

พูดตรงประเด็นก็คือเขาพบกองทัพชั้นยอด

กองทัพนี้อยู่ภายใต้คำสั่งของจอมพลหนึ่ง กองทัพดับปีศาจที่เหนือยิ่งกว่ากองทัพสังหารวิญญาณ

ว่ากันว่าตอนที่จักรวรรดิปีศาจต่างมิติโจมตีวังสวรรค์บรรพกาลก็ถูกจู่โจมไม่ยั้งจากกองทัพนี้

แน่นอนว่ากองทัพนี้ถูกทำลายจนหมดสิ้น แต่ก็มีนักรบบางส่วนใช้วิธีพิเศษตอนเสียชีวิตทำให้ร่างคนกลายเป็นหุ่นเงา

มู่เฉินพบนักรบเหล่านี้ในมหาสมุทรที่จอมพลหนึ่งอาศัยอยู่ จากนั้นเขาก็นำรูปปั้นสีดำเกือบพันตัวออกมา

โดยทั่วไปจะต้องใช้ป้ายบัญชาการเพื่อควบคุมกองทัพนี้ แต่สิ่งนั้นถูกทำลายไปแล้ว จึงไม่อาจหามาได้

แต่โชคดีที่เขามีบางสิ่งที่ดียิ่งกว่า นั่นก็คือกระบี่เกล็ดจักรพรรดิ

แม้ว่ากองทัพดับปีศาจจะอยู่ภายใต้คำสั่งของจอมพลหนึ่ง แต่จักรพรรดิฟ้าเป็นผู้นำสูงสุด ดังนั้นเมื่อมู่เฉินหยิบกระบี่ออกมา แรงต้านทานของกองทัพดับปีศาจก็หายวับไป ถูกเขาเก็บไปโดยดี

ในการเก็บกวาดครั้งนี้ไม่เพียงแต่เขาจะพบภาพที่สมบูรณ์ของค่ายกลเก้าเทพมังกรประหาร เขายังได้รับกองทัพดับปีศาจซึ่งแข็งแกร่งยิ่งกว่ากองทัพสังหารวิญญาณ ดังนั้นแม้แต่คนอย่างมู่เฉินก็รู้สึกวิงเวียนด้วยความสุข

ทว่าในไม่ช้าเขาก็ตระหนักว่านี่เป็นเรื่องบังเอิญมากเกินไปที่เขาหาพบ แต่ละอย่างถูกปกปิดไว้ลึกลับ ดังนั้นไม่น่าจะง่ายสำหรับเขาที่จะค้นพบ ราวกับว่ามีบางสิ่งจัดการการค้นพบเหล่านี้

ตอนนี้ไม่มีใครในวังสวรรค์บรรพกาลนอกเหนือจากมู่เฉิน แต่ยังมีผู้มองเหตุการณ์อยู่

นั่นก็คือหอคัมภีร์เทพซ่อน!

หอคัมภีร์เทพซ่อนมีความลึกซึ้งจนน่าเหลือเชื่อ ต่อให้มู่เฉินบรรลุขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นต้นแล้วก็ไม่สามารถค้นพบร่องรอยของมันได้ เห็นได้ชัดว่ามันมีสติปัญญาสูง บางทีการกระทำนี้อาจแสดงถึงความปรารถนาดีสำหรับเจ้าวังคนใหม่ก็ได้

แต่ไม่ว่าอย่างไรมู่เฉินก็ยังคำนับไปบนท้องฟ้า ถือเป็นการขอบคุณหอคัมภีร์เทพซ่อน

ทว่าขณะที่มู่เฉินมัวเมาอยู่กับความสุข เขาก็ได้รับข่าวหนึ่งจากมั่นถัวหลัว ซึ่งบอกให้เขาออกจากสมาธิมุ่งหน้ามายังเขตต้าหลัวเทียน

เขตต้าหลัวเทียน

ตอนที่มู่เฉินมาถึง เขาก็ตระหนักว่าแม้แต่จอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นต้นทั้งห้าของภูมิภาคทางเหนือก็อยู่ที่นี่

ทั้งห้าคนพยักหน้าให้มู่เฉิน ซึ่งถือเป็นการทักทายที่ดีของพวกเขาแล้ว ถ้าเป็นมู่เฉินในอดีตพวกเขาคงไม่แม้แต่ชายตามอง แต่หลังจากออกจากวังสวรรค์บรรพกาล เขาก็บรรลุระดับตี้จื้อจุน ซึ่งกลายเป็นจอมยุทธ์ในระดับกับพวกเขา

ตอนนี้มู่เฉินมีคุณสมบัติในระดับเดียวกัน ซึ่งเป็นเหตุผลว่าทำไมพวกเขาไม่กล้าแสดงอาการเย่อหยิ่ง

มู่เฉินพยักหน้าตอบก่อนที่จะนั่งลงถัดจากมั่นถัวหลัว ถัดจากเขาเป็นเหล่าจอมพลทั้งสามซึ่งตอนนี้ได้แต่อยู่หลังมู่เฉิน

เมื่อมู่เฉินมาถึงมั่นถัวหลัวก็พยักหน้าเล็กน้อย จากนั้นก็มองแขกทั้งห้าคน “ข้าเชื่อว่าพวกเจ้าทุกคนรู้เหตุผลที่ข้าเชิญมาพบ ยามนี้ข้าควบคุมวังสวรรค์บรรพกาลได้แล้วและจะเชื่อมต่อในอนาคตเพื่อเป็นรากฐาน”

ชัดว่าประมุขทั้งห้าได้รู้เกี่ยวกับเรื่องนี้ขณะที่มู่เฉินเข้าสมาธิ ดังนั้นแม้จะยังตกใจเล็กน้อย แต่ท่าทางก็สงบนิ่งอยู่ แน่นอนว่าต้องมีความสุขพลุ่งพล่านภายในใจ เพราะพวกเขารู้ว่าวังโบราณเป็นขุมทรัพย์ที่ยิ่งใหญ่เพียงใด ถ้าสามารถเชื่อมโยงได้ ความเร็วในการฝึกฝนของพวกเขาจะเพิ่มขึ้นแน่นอน

“แม้ว่าเราจะมีกลุ่มพันธมิตรภูมิภาคทางเหนือ แต่ระบบก็หละหลวมเกินไป ทุกคนต่างปกครองตัวเอง ดังนั้นข้าคิดจะจัดตั้งขุมกำลังใหม่ หากพวกเจ้าต้องการเข้าร่วมก็ให้ปลดปล่อยกองกำลังของตนเอง รวมสมาชิกเข้าเป็นหนึ่งเดียว” มั่นถัวหลัวมองไปรอบๆ ขณะที่พูดช้าๆ

เมื่อประมุขทั้งห้าได้ยินคำพูดนั่นใบหน้าของพวกเขาก็เปลี่ยนไปด้วยความลังเล สิ่งที่มั่นถัวหลัวหมายถึงก็คือนางต้องการรวบภูมิภาคทางเหนือทั้งหมด พวกเขาจะไม่เป็นประมุขอีกต่อไป หากพวกเขาเข้าร่วมก็จะมีคนที่ยืนอยู่เหนือพวกเขา

ดังนั้นพวกเขารู้สึกไม่สบายใจ เพราะในอดีตพวกเขาต่างเป็นผู้นำ เมื่อต้องการมีใครอยู่เหนือ พวกเขาก็ไม่ค่อยชินเท่าไร

ถ้าเป็นในอดีตพวกเขาคงจะคัดค้านคำพูดของมั่นถัวหลัวหัวชนฝา แต่นางในตอนนี้เป็นจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นเต็ม ความแข็งแกร่งเหนือกว่ามาก ยิ่งไปกว่านั้นอาณาเขตกงเวทสวรรค์ยังมีมู่เฉินที่เพิ่งบรรลุระดับตี้จื้อจุนขั้นต้นเข้ามาเสริม

พวกเขาต้องยอมรับว่าแม้จะรวมพลังกัน พวกเขาก็จะไม่สามารถเผชิญหน้ากับอาณาเขตกงเวทสวรรค์ได้

“ถ้าไม่เต็มใจก็ถอนตัวจากภูมิภาคทางเหนือซะ”

มั่นถัวหลัวพูดด้วยน้ำเสียงสงบแต่แฝงความเผด็จการ ทว่าทั้งห้าไม่ได้โกรธต่อคำพูดของนางเลย เพราะพวกเขารู้ว่านางมีคุณสมบัติที่จะพูดคำดังกล่าว

ดังนั้นหลังจากพวกเขาครุ่นคิดสั้นๆ ก็ต่างพยักหน้าตอบรับ “พวกเรายินดีที่จะเข้าร่วม!”

ตอนนี้มั่นถัวหลัวเป็นจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นเต็ม เป็นหนึ่งในยอดยุทธ์ไม่กี่คนในทวีปเทียนหลัว ด้วยการปกป้องของนางพวกเขาจะมีที่พักพิงและสถานะของพวกเขาในทวีปก็จะเพิ่มขึ้นตาม พวกเขาจะไม่ใช่ผู้นำขั้วอำนาจเล็กๆ ในภูมิภาคทางเหนืออีกต่อไป

ยิ่งไปกว่านั้นมั่นถัวหลัวยังครอบครองวังสวรรค์บรรพกาล ดังนั้นอนาคตเป็นสิ่งที่ไม่สามารถจินตนาการได้เลย บางทีไม่ไกลจากนี้พวกเขาอาจจะก้าวขึ้นเป็นหนึ่งในขั้วอำนาจสูงสุดในมหาพันภพก็ได้

ในเวลานั้นพวกเขาก็จะมีฐานะผู้อาวุโส ซึ่งนั่นเป็นสถานะที่ตอนนี้ไม่อาจเทียบได้

ดังนั้นทั้งห้าคนจึงชั่งน้ำหนักแบบรวบรัดและเลือกที่จะเข้าร่วม

มั่นถัวหลัวยังคงสงบราวกับว่าคาดหวังทุกอย่างไว้แล้ว แต่นั่นไม่ใช่เรื่องเดียวที่นางต้องการทำในวันนี้ นางยิ้มบาง “ในเมื่อไม่มีใครคัดค้าน ข้าก็ขอประกาศอีกเรื่อง ขุมกำลังใหม่นี้จะอยู่ภายใต้การควบคุมของมู่เฉิน”

ฉับพลันโถงทั้งหมดก็เงียบกริบ

แม้แต่มู่เฉินก็เบิกตาเมื่อมองไปที่มั่นถัวหลัวอย่างตกตะลึง

นี่เล่นละครฉากไหนกันเนี่ย?