ตอนที่ 992 เอาตัวเองเป็นเหยื่อล่อ

ท่านอ๋องผู้โหดร้ายกับหมอปีศาจ

ในขณะที่ได้ประมือกันกับมู่เฉียนซี ตงกัวก็รู้สึกว่าหญิงสาวผู้นี้นั้นจัดการได้ยากยิ่ง

หลังจากนั้นเขาก็รับรู้ได้ว่าในขณะที่ต่อสู้นั้น พลังวิญญาณในร่างของนางก็แข็งแกร่งขึ้นมากอย่างไม่คาดคิด

นาง…นี่นางกำลังจะเลื่อนขั้นพลังวิญญาณอย่างนั้นเหรอ!

แต่ต่อให้นางเลื่อนขั้นจริงก็ไม่จำเป็นต้องเกรงกลัว เขาเป็นถึงมหาจักรพรรดิแห่งภูตระดับห้า ยังต้องมากลัวจักรพรรดิแห่งภูตระดับห้าคนเดียวได้อย่างไรกันเล่า

ทันทีที่ปลายกระบี่ของมู่เฉียนซีขยับ นางก็ตะโกนขึ้นอย่างเย็นชาว่า “มังกรเพลิงสังหาร!”

เปลวเพลิงอันแดงฉานแผ่ซ่านออกมาตรงหน้านาง

มังกรเพลิงได้ปิดกั้นการโจมตีของตงกัวเอาไว้ได้ ภายในชั่วพริบตาเดียวเขาก็พบว่ามู่เฉียนซีได้อันตรธานหายไปอีกครั้ง

“มังกรวารีพิฆาต!”

ทันใดนั้นเองบริเวณรอบ ๆ ก็เย็นยะเยือกขึ้น หลังจากการโจมตีของมังกรเพลิง นึกไม่ถึงว่าจะเป็นการโจมตีของมังกรวารี

ปัง ปัง!

ทันทีที่เขาต้านทานการโจมตีของมังกรวารี จู่ ๆ บัวอัคคีกลางอากาศก็ได้โจมตีลงมา

“บัวแดงพิฆาต!”

แกร่ก!

เกราะแข็งชั้นหนึ่งบนร่างของเขาได้ถลอกลงมา มิหนำซ้ำยังติดเนื้อหนังมังสาของเขาลงมาด้วย ทั่วทั้งร่างของเขาในตอนนี้เต็มไปด้วยเลือด

ร่างกายถูกเปลวเพลิงแผดเผาจนดำราวกับถ่าน น่าเวทนาเกินกว่าจะทนดูได้!

คนอื่น ๆ ที่เห็นฉากนี้ต่างก็ตกตะลึงพรึงเพริดขึ้น คนของสำนักขวางโซ่วเหล่านั้นก็ตื่นตระหนกขึ้น “นายน้อย!”

“นายน้อย!”

“……”

พวกเขารีบพรวดเข้ามารับมือกับมู่เฉียนซี

เย่เฉินตะโกนขึ้น “ขวางพวกมันเอาไว้!”

คนของสำนักขวางโซ่วนั้นมีไม่น้อยเลย หลังจากที่พวกเขาพรวดเข้ามา ตงกัวที่ได้รับบาดเจ็บสาหัสก็ได้อันตรธานหายไปแล้ว

มู่เฉียนซีกล่าวอย่างเย็นชาว่า “ไสหัวไป!”

มู่เฉียนซีถูกคนเหล่านี้ห้อมล้อมเอาไว้อย่างบ้าคลั่ง ถึงแม้ว่าพวกเขาจะทำอะไรนางไม่ได้ แต่กลับทำให้นางพลาดโอกาสที่จะฆ่าเจ้าหมอนั่นไป

นึกไม่ถึงเลยว่าเจ้าหมอนั่นยังจะเป็นนายน้อยแห่งสำนักขวางโซ่วด้วย หากจับตัวเขาได้จะต้องได้เปรียบมากอย่างแน่นอน ช่างน่าเสียดายยิ่งนัก…

“นายน้อย รับมือกับพวกมันนั้นไม่ใช่เรื่องง่ายเลย พวกเรารีบออกไปจากที่นี่ก่อนเถอะ!”

ภายในมุมมืด น้ำเสียงขรึมเสียงหนึ่งก็ดังขึ้น

“ตอนนี้ยังไปไม่ได้ นี่เป็นโอกาสดีที่จะฆ่านังผู้หญิงคนนั้น หากฆ่านางไม่ได้ ข้าจะไม่ไปไหนทั้งนั้น!” ตงกัวกล่าวอย่างโกรธเกรี้ยว

“ในเมื่อนายน้อยปรารถนาเช่นนี้ ข้าจะฆ่านางเอง!”

เขาพาตงกัวแฝงตัวไปในความมืด จากนั้นดาบวงพระจันทร์สองเล่มนั้นก็ปรากฏขึ้น และลอบโจมตีมู่เฉียนซีอีกครั้ง

ปัง ปัง ปัง! กระบี่ของกู้ไป๋อีรวดเร็วมาก และแน่นอนว่าไม่มีทางให้พวกเขาลงมือสำเร็จได้

มู่เฉียนซีตกใจสะดุ้งขึ้น เจ้าหมอนั่นที่อยู่ในมุมมืดได้ช่วยตงกัวเอาไว้ พวกเขาควรจะหนีไปให้เร็วไม่ใช่หรอกเหรอ นึกไม่ถึงเลยว่ายังจะลอบโจมตีนาง!

หรือว่า……

แสงสลัววาบผ่านดวงตาของมู่เฉียนซี หากจับตัวคนที่อยู่ในมุมมืดนั้นได้ก็จะจับพวกเขาได้ทั้งหมด

ทว่า ผู้ที่อยู่ในความมืดนั้นไปมาอย่างไร้ร่องรอย จะทำเช่นไรให้คนผู้นั้นออกมาล่ะ

ในตอนนี้เอง เสียงของชิงมู่ก็ดังขึ้น “นายท่าน บางทีข้าอาจจะรู้ก็ได้ว่ามันเป็นสิ่งใด”

มู่เฉียนซีกล่าวถาม “สิ่งใด?”

“นี่เป็นการทดลองที่คนผู้นั้นภาคภูมิใจมากที่สุด นำมนุษย์กับหนูมาหลอมรวมเข้าด้วยกัน หากสำเร็จ ก็สามารถซ่อนกลิ่นอายทั้งหมดเอาไว้ได้ จะกลายเป็นเงาที่ซ่อนอยู่ในที่มืด และจะกลายเป็นนักฆ่าในมุมมืดที่แข็งแกร่งที่สุด”

“แล้วจะทำเช่นไรถึงจะหาตัวพวกมันเจอล่ะ?”

ชิงมู่กล่าว “ทำได้เพียงแค่รอให้พวกมันเผยพิรุธออกมา ถึงจะจับกลิ่นอายของพวกมันเจอ”

มู่เฉียนซีครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง จะทำเช่นไรให้พวกมันเผยพิรุธออกมาล่ะ?

ตงกัวต้องโกรธแค้นจนอยากจะฆ่านางแน่ ฉะนั้น ในเมื่อรอดตายมาได้อย่างหวุดหวิด เขาจะต้องไม่ยอมปล่อยนางไปง่าย ๆ แน่นอน ถ้าหากว่า…

ครั้นแล้วมู่เฉียนซีจึงหันไปกล่าวกับกู้ไป๋อีว่า “เสี่ยวไป๋ หัวหน้าของพวกมันหนีไปแล้ว ลูกน้องของพวกมันเหล่านี้ก็รีบจัดการซะเถอะ เจ้าลงมือเถอะ!”

ถึงแม้ว่าคนเหล่านี้จะแข็งแกร่ง แต่กู้ไป๋อีที่มีกำลังในการต่อสู้ขั้นมหาจักรพรรดิยอดยุทธ์ระดับหกจึงสามารถบดขยี้พวกเขาได้อย่างง่ายดาย

กู้ไป๋อีได้เห็นเช่นนี้ก็ตกใจผงะไปครู่หนึ่ง “คุณหนูใหญ่!”

ทว่า ยังมีผู้ที่อันตรายที่แอบซ่อนตัวอยู่ในความมืดจ้องจะทำร้ายคุณหนูใหญ่อยู่ จะให้เขาละสายตาไปจากคุณหนูใหญ่ได้อย่างไรกันเล่า

มู่เฉียนซีส่งสายตาให้กับเขา หวังว่าเสี่ยวไป๋จะเข้าใจ!

กู้ไป๋อีเข้าใจความหมายของนางแล้ว นางต้องการเอาตัวเองเป็นเหยื่อล่อเพื่อให้คนที่ซ่อนอยู่ในมุมมืดออกมา

ถึงแม้จะรู้ว่านางมีอาวุธวิญญาณป้องกันติดตัวอยู่ แต่เขาก็รู้สึกว่านางก่อเรื่องวุ่นวายเกินไปหน่อยแล้ว!

มู่เฉียนซีกล่าว “เสี่ยวไป๋ รีบจัดการพวกมันให้สิ้นโดยเร็ว เจ้าคงจะไม่ขัดคำสั่งของข้าหรอกกระมัง!”

กู้ไป๋อีทำได้เพียงแค่กำกระบี่วิ่งพรวดเข้าไปในวงล้อมรับมือกับคนของสำนักขวางโซ่วเหล่านั้น มู่เฉียนซีก็เช่นกัน!

ตูม ปัง พลั่ก!

มีผู้แข็งแกร่งเข้ามาคุมกองกำลังเพื่อให้กองกำลังปลอดภัยเช่นนี้ ทำให้ฝ่ายของพวกเขารู้สึกมีกำลังใจและฮึกเหิมขึ้น

และในขณะที่มู่เฉียนซีกำลังจัดการกับศัตรูอยู่นั้น จู่ ๆ ก็รับรู้ได้ว่ามีเสียงตัดผ่านอากาศเสียงหนึ่งดังขึ้นมาจากทางด้านหลัง มันมาแล้ว…

ถึงแม้ว่านางจะสามารถหลบได้ แต่นางกลับใช้ความเร็วของนางให้ช้าลง จงใจที่จะไม่หลบหลีก

เมื่อทุกคนเห็นดาบวงพระจันทร์สองเล่มนั้นจะแทงทะลุหัวใจของมู่เฉียนซีแล้วก็ตกตะลึงพรึงเพริดขึ้น “แม่นางมู่ ระวัง!”

“มู่…”

ในขณะที่อาวุธลับนั้นกำลังจะคร่าชีวิตของมู่เฉียนซีไป จู่ ๆ แสงสีฟ้าอ่อนก็ได้เปล่งประกายขึ้นและห่อหุ้มร่างของมู่เฉียนซีไว้ มันขวางมีดที่จะคร่าชีวิตนั้นเอาไว้ได้

ดวงตาของมู่เฉียนซีเปล่งประกายขึ้น ทางนั้น…

ในช่วงที่แสงสีฟ้าอ่อนกำลังเปล่งประกายนั้น กู้ไป๋อีกับมู่เฉียนซีก็มีความคิดเช่นเดียวกัน พวกเขาพุ่งตัวไปในที่ที่พวกเขารับรู้ได้ว่ามีคนผู้นั้นอยู่

เงาในมุมมืดนั้นยังคงตื่นตระหนกตกใจกับการที่การโจมตีของเขาถูกขวางเอาไว้ได้ และผลลัพธ์กลับกลายเป็นพวกเขาสองคนพุ่งเข้ามาแทน

เขาคิดจะบดบังตัวเอง แต่ผลลัพธ์ก็คือจู่ ๆ บริเวณรอบ ๆ ก็ได้กลายเป็นกำแพงน้ำแข็ง

ไม่นานนักกระบี่เล่มหนึ่งก็ตกลงมาจากกลางอากาศ กลิ่นอายอันน่าสะพรึงกลัวของกระบี่เล่มนั้นทำให้ผู้คนสั่นสะท้านได้ แม้แต่กำแพงน้ำแข็งก็ไม่เว้น

ตูม! เสียงดังสนั่นขึ้น กำแพงน้ำแข็งถูกกู้ไป๋อีผ่าออกเป็นสองท่อน

ตูม! เงาร่างสีดำร่างหนึ่งกับตงกัวก็ได้ปรากฏตัวขึ้นต่อหน้าพวกเขา

แขนข้างหนึ่งของคนชุดดำผู้นั้นตกลงมาบนพื้น

แม้กระบี่เล่มนั้นของกู้ไป๋อีจะไม่ได้หั่นร่างของเขาออกเป็นสองท่อน แต่ก็สามารถตัดแขนข้างหนึ่งของคนผู้นั้นให้ร่วงลงมาได้

เลือดสีแดงสดไหลย้อมออกมา ได้รับบาดเจ็บสาหัสแล้ว และคนผู้นี้ก็ไม่สามารถซ่อนกายได้อีก

ตงกัวกล่าว “เมื่อครู่ เจ้าจงใจ เจ้าจงใจทำให้พวกข้าโจมตีสำเร็จ จากนั้นก็หาที่หลบซ่อนตัวของพวกข้าเจอ…”

มู่เฉียนซีกล่าว “ก็ใครใช้ให้เจ้าไม่รีบหนีกันล่ะ คิดจะหนีตอนนี้ ก็ไม่ทันเสียแล้ว”

ด้วยการลงมือของมู่เฉียนซีกับกู้ไป๋อี เงาที่ได้รับบาดเจ็บสาหัสกับตงกัวนั้นไม่ใช่คู่ต่อสู้ของพวกเขาเลยแม้แต่น้อย

ตงกัวออกคำสั่งว่า “เงาที่แขนขาดไปแล้ว มันก็ไร้ประโยชน์ไปแล้ว เจ้าระเบิดทำลายตัวเองซะเถอะ!”

กลอุบายการหลบหนีของสำนักขวางโซ่วมักจะเป็นการระเบิดทำลายตัวเอง

เงานี้ก็เชื่อฟังคำสั่งของเขามาก ไม่นานนักก็เริ่มอัดพลังเข้าร่างตนเอง

มู่เฉียนซีรีบกล่าวขึ้นว่า “เสี่ยวไป๋ ฆ่ามันซะ!”

ถึงแม้ว่าเงานี้จะไม่สามารถบดบังตัวเองได้แล้ว แต่พลังของเขานั้นรวดเร็วมาก ภายในชั่วครู่เดียวกู้ไป๋อีไม่สามารถทำอะไรเขาได้

ส่วนตงกัวที่คิดจะหนี มู่เฉียนซีจะยอมปล่อยให้เจ้าหมอนี่หนีไปอย่างราบรื่นได้อย่างไรกันเล่า ครั้นแล้วนางจึงไล่ตามเขาไป

และในขณะที่มู่เฉียนซีจะไล่ตามตงกัวไป ทันใดนั้นคนชุดขาวผู้หนึ่งก็ได้ปรากฏตัวขึ้น และประคองตงกัวที่กำลังจะล้มมิล้มแหล่เอาไว้

เขากล่าว “นายน้อย ข้ามาช้าไปแล้ว!”

มู่เฉียนซีกล่าว “เป็นเจ้า!”

“สาวน้อย เจ้าทำลายแผนการของพวกข้า แค้นนี้ข้าจะจดจำเอาไว้ เจ้าสำนักของพวกข้าไม่มีทางปล่อยเจ้าไปเป็นแน่!”