บทที่ 739 รั้งตัวอสูร

พ่อเลี้ยงยอดเซียน (异界无敌奶爸)

กลุ่มของเหล่าอสูรเหม่อมองไปที่ซากปรักหักพังของสำนักวายุคลั่งด้วยความงุนงง

ใครกันที่มาทำลายสำนักวายุคลั่งจนย่อยยับได้ขนาดนี้?

เมื่อสงสัยเช่นนี้ กลุ่มของอสูรต่างก็พากันกลายร่างเป็นมนุษย์และแยกย้ายกันไปสอบถามเรื่องราวที่เกิดขึ้นกับสำนักวายุคลั่งจากเหล่าผู้คนที่อยู่ในบริเวณใกล้เคียง ซึ่งในเวลาไม่นานพวกมันก็ทราบเรื่องทั้งหมดว่าเกิดอะไรขึ้น

มีใครบางคนสังหารอสูรขอบเขตมหาจักรพรรดิในสำนักวายุคลั่ง และยังมีศพ ‘นกยักษ์’ ที่นอนตายอยู่ในสำนักวายุคลั่งอีกต่างหาก?

แน่นอนว่ามีเหล่าอสูรจำนวนมากที่อยู่นอกสันเขาหมื่นอสูร เพราะพวกนั้นตามโอรสศักดิ์สิทธ์แห่งคุนเป๋งไปที่อาณาเขตนภา และยังมีหลงหยาและหลูหมิงที่แยกไปอีกทาง

ว่าแต่ใครกันที่ถูกฆ่าในสำนักวายุคลั่ง?

แล้วนกยักษ์นั่นคือโอรสศักดิ์สิทธิ์แห่งคุนเป๋งหรือเปล่า?

เมื่อคิดได้เช่นนี้พวกมันก็เริ่มตื่นตระหนกในทันที และเริ่มคิดกันว่าที่อาณาเขตนภาอาจจะมีเรื่องไม่คาดคิดเกิดขึ้นก็ได้?

เมื่อคิดได้เช่นนี้ พวกมันก็ไม่สนใจที่จะสืบเรื่องของสำนักวายุคลั่งอีกต่อไป พวกมันรีบเดินทางไปที่อาณาเขตนภาในทันที

แต่แล้วหลังจากที่บรรดาอสูร ซึ่งยังคงอยู่ในร่างมนุษย์เดินทางไปถึงอาณาเขตนภา สิ่งที่พวกมันเห็นกลับยิ่งทำให้พวกมันตกตะลึง เนื่องจากในเวลานี้อาณาเขตนภาทั้งหมดได้ถูกควบรวมเข้ากับอาณาจักรจันทราเรียบร้อยแล้ว

ในทุก ๆ ที่ที่พวกมันแวะหาข้อมูล ล้วนมีแต่ผู้คนร้องเพลงสรรเสริญจักรพรรดิหลิงยี่เทียนอยู่ทั่วทุกหนทุกแห่ง

ในตอนนี้พวกมันแน่ใจแล้วว่ามีบางสิ่งที่เลวร้ายเกิดขึ้นกับพรรคพวกของพวกมันไปเรียบร้อย

หากโอรสศักดิ์สิทธิ์แห่งคุนเป๋งและกองทัพนับล้านยังพ่ายแพ้ไปแบบนี้ มันก็คงไม่ใช่เรื่องน่าแปลกอีกต่อไปหากหลงหยาและหลูหมิงจะตายไปหมดแล้วเช่นกัน

ส่วนข้อมูลที่พวกมันได้ฟังมาว่ามีนกยักษ์ตายในสำนักวายุคลั่งนั้น นกตัวนั้นก็น่าจะไม่ใช่ใครอื่นนอกซะจากจะเป็นโอรสศักดิ์สิทธ์แห่งคุนเป๋งที่หนีรอดได้จากอาณาเขตนภา และพยายามกลับสันเขาหมื่นอสูรโดยการใช้ประตูเคลื่อนย้ายของสำนักวายุคลั่ง แต่กลับโชคร้ายตายที่สำนักวายุคลั่งซะก่อน

แต่อาณาจักรจันทรามีอำนาจถึงขนาดฆ่าล้างกองทัพอสูรนับล้านจนไม่มีเหลือแบบนี้ได้ยังไงกัน?

ในตอนนี้พวกมันไม่กล้าที่จะรั้งอยู่ในอาณาเขตนภานาน ๆ ได้อีกแล้ว เนื่องจากหากอาณาจักรจันทราสามารถฆ่าล้างกองทัพอสูรนับล้านได้สำเร็จแบบนี้ ความแข็งแกร่งของพวกมันในตอนนี้ที่มากันแค่กลุ่มเดียวก็คงไม่อาจต้านทานอะไรได้ และมีโอกาสสูงที่พวกมันจะตกตายตามไปด้วยหากเกิดการปะทะกัน

เมื่อคิดได้เช่นนี้ พวกมันก็รีบหนีออกไปจากอาณาเขตนภาแบบเงียบ ๆ ในทันที

“พวกเราจะทำยังไงกันดี?” บรรดาอสูรในกลุ่มต่างปรึกษากัน

พวกมันไม่เคยนึกเลยว่าหลังจากหลายหมื่นปีผ่านไป พวกมันที่เป็นเผ่าอสูรจะต้องเผชิญกับสถานการณ์ที่ไม่แม้แต่จะกล้าตะโกนร้องหาศัตรู และหนีหัวซุกหัวซุนเป็นครั้งแรกแบบนี้

“เพื่อเป็นการดีที่สุด พวกเราต้องกลับไปที่สันเขาหมื่นอสูรก่อนเป็นอันดับแรก จากนั้นพวกเราก็รายงานเรื่องเหล่านี้ให้กับเหล่าผู้อาวุโสฟัง!” หนึ่งในอสูรพูดขึ้น “ข้าคิดว่าเมื่อเหล่าผู้อาวุโสได้ฟังเรื่องนี้ พวกเขาจะต้องไม่ปล่อยอาณาจักรจันทราไปแน่นอน ความแค้นครั้งนี้มันมากมายเกินไปจนแน่นอนว่าพวกเราไม่อาจจะอยู่ร่วมโลกกับพวกมันได้อีกแล้ว ไม่ว่าจะยังไงพวกเราต้องหาวิธีกำจัดอาณาจักรจันทราให้สิ้นซากให้ได้ และอีกอย่างข้ายังมีความรู้สึกว่าพวกเราควรจะไปตรวจสอบอาณาเขตสุสานกระบี่ด้วยเช่นกัน เพื่อดูว่าผู้อาวุโสหลูหมิงได้ฆ่าทายาทของเทพกระบี่ตายไปแล้วรึยัง ส่วนผู้อาวุโสหลงหยานั้น ข้าไม่คิดว่าเขามีชีวิตอยู่บนโลกใบนี้อีกแล้ว”

“ถ้างั้นข้าขออาสาไปตรวจสอบที่อาณาเขตสุสานกระบี่เอง!” อสูรหมีพูดขึ้น

บรรดาอสูรตัวอื่น ๆ ในกลุ่มต่างพยักหน้า และพูดว่า “สงอู่ งั้นเจ้าก็ไปที่อาณาเขตสุสานกระบี่ก็แล้วกัน แต่เจ้าต้องระวังตัวเอาไว้ให้มาก ๆ ด้วยล่ะ ในตอนนี้สถานการณ์ข้างนอกมันเปลี่ยนไปเป็นอย่างมากแล้ว และอีกอย่างก่อนที่เจ้าจะเข้าไปที่อาณาเขตสุสานกระบี่ เจ้าแวะดูสถานการณ์ของสำนักวิญญาณโลหิตสักหน่อยก็ดี ในอดีตคนเหล่านั้นเคยเป็นพันธมิตรกับพวกเรา แต่จู่ ๆ ต่อมาพวกเขากลับตัดขาดความสัมพันธ์กับพวกเราไป ซึ่งทำให้สำนักของพวกเขายังไม่สามารถฟื้นฟูได้จนถึงปัจจุบันนี้ ไปครั้งนี้เจ้าก็ลองไปถามพวกเขาอีกรอบสักหน่อยว่าพวกเขายังยืนยันคำเดิมอยู่อีกรึเปล่าว่าไม่ต้องการร่วมมือกับพวกเราหรือจะเอายังไง”

สงอู่พยักหน้า “ข้าจะลองไปดูให้ก็แล้วกัน!”

หลังจากนั้นสงอู่ก็แยกออกจากกลุ่มเดินทางไปที่อาณาเขตวิญญาณโลหิต ส่วนพวกอสูรที่เหลือก็กลับไปแจ้งข่าวร้ายเรื่องอาณาเขตนภาให้กับสันเขาหมื่นอสูรได้ทราบ

สงอู่ใช้เวลาเพียงไม่นานก็เดินทางมาถึงอาณาเขตวิญญาณโลหิต ซึ่งเมื่อเขามาถึงเขาก็ได้ยินข่าวในทันทีว่าสำนักวิญญาณโลหิตในตอนนี้กลับมาฟื้นฟูเรียบร้อยแล้ว

ข่าวนี้ทำให้เขารู้สึกประหลาดใจเป็นอย่างมาก สำนักวิญญาณโลหิตถูกผนึกมาเป็นเวลานับหมื่นปี แต่แล้วทำไมจู่ ๆ ถึงกลับมาฟื้นฟูได้แบบนี้กัน?

เมื่อสงสัยเช่นนี้ เขาก็หาข้อมูลเพิ่มเติมถึงเหตุผลว่าทำไมสำนักวิญญาณโลหิตถึงได้ฟื้นฟูเร็วแบบนี้ และสุดท้ายในเวลาไม่นานเขาก็ได้ข้อมูลทั้งหมด

“อ๋อ ที่แท้ก็เป็นเพราะเทพกระบี่ที่กลับชาติมาเกิดมาเก็บเจตจำนงกระบี่ออกไปนี่เอง มิน่าล่ะทำไมสำนักวิญญาณโลหิตถึงได้ฟื้นฟูเร็วขนาดนี้!” สงอู่พึมพำกับตัวเอง

เมื่อครุ่นคิดอยู่สักพัก จากนั้นสงอู่ก็เดินทางไปที่สำนักวิญญาณโลหิตเพื่อขอเข้าพบกับเจ้าสำนักทันที

“เจ้าเป็นใครกัน?” หนึ่งผู้อาวุโสสำนักวิญญาณโลหิตถามขึ้น

สงอู่เปิดเผยกลิ่นอายความแข็งแกร่งขอบเขตราชันและพูดขึ้นว่า “เจ้าควรจะไปตามคนที่มีอำนาจพอมาคุยกับข้า แล้วเดี๋ยวข้าจะบอกพวกเขาเองว่าข้าเป็นใคร”

เมื่อสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายขอบเขตราชันของสงอู่ ผู้อาวุโสสำนักวิญญาณโลหิตก็รีบถอยกลับเข้าสำนักไปแจ้งเรื่องนี้กับหมิงยู่ทันที

“มีผู้เชี่ยวชาญขอบเขตราชันมาเยือนสำนักของเรางั้นเหรอ?” หมิงยู่ขมวดคิ้ว “ไปตามผู้อาวุโสสูงสุดมาหาข้าเดี๋ยวนี้!”

เว่ยกวนที่กำลังอยู่ในระหว่างปิดด่านบ่มเพาะ เมื่อเขาได้ยินคำสั่งนี้เขาก็รีบมาหาหมิงยู่ ทันที และถามว่า “ท่านเจ้าสำนักมีเรื่องอะไรงั้นเหรอ?”

“มีผู้เชี่ยวชาญขอบเขตราชันปริศนาผู้หนึ่งมาเยือนสำนักของเรา ซึ่งท่าทีของเขานั้นดูเหมือนว่าจะเป็นมิตร แต่เนื่องจากพวกเรายังไม่รู้ว่าเขามีที่มาเป็นอย่างไร ดังนั้นข้าคงต้องขอรบกวนให้ท่านผู้อาวุโสสูงสุดออกไปรับหน้าเขาที” หมิงยู่พูดขึ้น

เว่ยกวนพยักหน้าทันที “เป็นหน้าที่ของข้าอยู่แล้วท่านเจ้าสำนัก!”

เมื่อพูดจบ เว่ยกวนก็ไปปรากฏกายที่ด้านนอกสำนักในทันที เขามองไปที่สงอู่และถามว่า “ไม่ทราบว่าสหายเป็นใครกันงั้นหรือ?”

สงอู่ยิ้มและตอบกลับทางโทรจิตว่า “อันดับแรกข้าขอแสดงความยินดีกับสำนักวิญญาณโลหิตของท่านก่อนเลยที่ฟื้นฟูขึ้นมาได้ขนาดนี้! แต่อันที่จริงถ้าหากสำนักของท่านไม่ทำตัวดื้อรั้น สันเขาหมื่นอสูรของข้าก็คงช่วยทำให้สำนักของท่านฟื้นฟูได้ไปนานแล้วไม่ต้องรอมาจนถึงตอนนี้”

“นี่ท่านเป็นคนของสันเขาหมื่นอสูรงั้นเหรอ?” สีหน้าของเว่ยกวนเปลี่ยนไปในทันที

เขาได้ยินข้อมูลที่สำนักของเขาเคยร่วมมือกับสันเขาหมื่นอสูรมาก่อนจากหลิงตู้ฉิง ซึ่งในตอนนี้พวกเขาก็ถูกห้ามไม่ให้ไปเข้าร่วมอีก ซึ่งแน่นอนว่าเขาย่อมเชื่อฟังอยู่แล้ว แต่ปัญหาสำคัญก็คือในตอนนี้สำนักวิญญาณโลหิตยังไม่ฟื้นฟูเพียงพอที่จะต่อกรอะไรได้กับสันเขาหมื่นอสูร ดังนั้นถ้าหากเขาแสดงตัวเป็นศัตรูในตอนนี้เลยสำนักของเขาจะตกอยู่ในสถานการณ์ที่เสียเปรียบเป็นอย่างมาก

เมื่อเว่ยกวนตัดสินใจไม่ถูกว่าจะต้องทำยังไงต่อดี เขาจึงโทรจิตหาหมิงยู่ในทันที “เจ้าสำนัก ผู้ที่มาเยือนเป็นอสูรจากสันเขาหมื่นอสูร!”

ทางด้านของหมิงยู่ เมื่อได้ยินว่าเป็นอสูรจากสันเขาหมื่นอสูรมาเยือน คิ้วของนางก็ขมวดเข้าหากันในทันที

การที่สันเขาหมื่นอสูรมาเยือนสำนักของนางที่ยังไม่แข็งแกร่งแบบนี้ มันย่อมเป็นปัญหาใหญ่!

หมิงยู่รีบตอบกลับในทันทีเช่นกัน “ผู้อาวุโสเว่ย ถ่วงเวลามันไว้ก่อน ข้าขอเวลาติดต่อขอคำแนะนำจากนายท่านของข้าสักครู่!”

จากนั้นร่างโลหิตอมตะของหมิงยู่ที่อยู่กับหลิงตู้ฉิงในเขตแดนอุดรทมิฬก็รายงานกับหลิงตู้ฉิงทันที “นายท่าน พวกเราจะทำยังไงดีในตอนนี้มีอสูรจากสันเขาหมื่นอสูรมาเยือนที่สำนักของข้า?”

“พวกมันมากันกี่ตัว?” หลิงตู้ฉิงถามกลับ

หลิงตู้ฉิงรู้ดีว่าในตอนนี้สำนักวิญญาณโลหิตยังคงอ่อนแออยู่ ซึ่งเขาเองก็ไม่มีวิธีอะไรที่จะสามารถช่วยได้อีกแล้วเหมือนกัน ในตอนนี้ทุกสิ่งทุกอย่างต้องใช้เวลาทั้งหมดเท่านั้น ดังนั้นการที่มีอสูรจากสันเขาหมื่นอสูรมาเยือนแบบนี้ เขาจึงต้องวางแผนอย่างรอบคอบเพื่อรับมือไม่ให้สำนักวิญญาณโลหิตเกิดความเสียหาย

จากนั้นเมื่อหลิงตู้ฉิงได้ยินว่ามีเพียงแค่อสูรตัวเดียวที่มาเยือน เขาก็ยิ้มออกได้ในทันทีและพูดว่า “พวกเจ้าไม่ต้องลงมือเอง จงเรียกมู่หยุนชานมาจัดการกับมันและทำทีเป็นว่าพวกเจ้าไม่มีส่วนร่วมในเรื่องนี้”

หมิงยู่พยักหน้า “ทราบแล้วนายท่าน!”

จากนั้นร่างหลักของนางก็โทรจิตกลับไปหาเว่ยกวน “ผู้อาวุโสเว่ย รั้งมันเอาไว้ก่อน เดี๋ยวข้าจะหาคนมาจัดการกับมันเอง!”

หลังจากนั้นนางก็ส่งร่างโลหิตอมตะอีกร่างของนางรีบบินตรงไปสำนักกระบี่เอกภพในทันที