ตอนที่ 2044 ผมเป็นนักรบพเนจร

อัจฉริยะสมองเพชร

อัจฉริยะสมองเพชร 天道图书馆

ตอนที่ 2044 ผมเป็นนักรบพเนจร

“เหตุผลหลักที่หัวหน้าใช้บททดสอบนี้ก็เพื่อทดสอบความเชี่ยวชาญในการฝึกอสูรและพละกำลังของผู้เข้ารับการคัดเลือก ทั้ง 2 ปัจจัยนี้สำคัญมากหากใครสักคนอยากได้การสนับสนุนจากสมาชิกคนอื่นๆในหอนานาอสูร เห็นได้ชัดว่าผู้อาวุโสหยวนกับผู้อาวุโสหลิวไม่ผ่านบททดสอบ จะด้วยอะไรก็แล้วแต่ แต่ชายวัยกลางคนผู้นี้คือผู้ที่ผ่านบททดสอบทั้งหมด” ผู้อาวุโสอีกคนหนึ่งกระซิบกระซาบ

“คุณหมายความว่าอย่างไร?”

ผู้อาวุโสเลี่ยวกับคนอื่นๆหันขวับมามอง

“สิ่งที่ผมกำลังคิดอยู่ก็คือถ้าเขายังไม่ได้สังกัดสำนักไหน พวกเราก็รับเขาเข้าสู่หอนานาอสูรได้ ขอแค่เขาได้เป็นหนึ่งในผู้อาวุโส ด้วยทักษะการฝึกอสูรที่เหนือชั้นและประสิทธิภาพการต่อสู้ที่สามารถเอาชนะได้แม้แต่อสูรอมตะขั้นสูงสรวงสวรรค์ทั้งที่ตัวเองเป็นแค่นักรบอมตะตัวจริงสรวงสวรรค์เท่านั้น ผมเชื่อว่าไม่มีใครกล้าตั้งคำถามถึงความเหมาะสมของเขาในการจะได้เป็นหัวหน้าหอนานาอสูรแน่” ผู้อาวุโสพูด

“คือ…”

ทุกคนเงียบกริบ

การที่คนนอกจะได้รับการเสนอชื่อเป็นหัวหน้าหอนานาอสูรคนต่อไปนั้นไม่เคยมีมาก่อน แต่หลังจากได้เห็นทุกอย่างแล้ว พวกเขาก็ไม่มีทางเลือกนอกจากต้องรับเรื่องนี้ไว้พิจารณา

หอนานาอสูรขึ้นชื่อเรื่องทักษะการฝึกอสูรอันเหนือชั้น ซึ่งชายวัยกลางคนผู้นี้ก็เอาชนะอสูรเหล่านั้นได้อย่างง่ายดาย ต่อให้หัวหน้าหอนานาอสูรคนปัจจุบันก็ยังเทียบชั้นกับเขาไม่ได้!

ถ้าคนแบบนี้ไม่ได้เข้าร่วมกับหอนานาอสูร จะกลายเป็นภัยคุกคามครั้งใหญ่ต่อพวกเขา เพราะหากชายวัยกลางคนเข้าร่วมกับสำนักอื่นหรือแม้แต่ก่อตั้งสำนักของตัวเอง ไม่ช้าไม่นาน หอนานาอสูรจะต้องสูญเสียตำแหน่งและสถานภาพของมันในทวีปที่ถูกลืมแน่

“คุณพูดถูก พวกเราต้องพาเขากลับสู่หอนานาอสูรของเรา” ผู้อาวุโสเลี่ยวพยักหน้า

คนอื่นๆต่างพยักหน้ารับ

เมื่อตัดสินใจแล้ว ผู้อาวุโสเลี่ยวกำลังจะเข้าไปหาชายวัยกลางคนและยื่นข้อเสนอบางอย่าง ก็พอดีกับที่อีกฝ่ายหันกลับมามองและพูดว่า “ผมทำให้อสูรพวกนี้ยอมจำนนเรียบร้อยแล้วนะ มันจะไม่โจมตีพวกคุณอีกแล้วล่ะ พวกคุณกลับไปได้ตามสบาย…แต่ก่อนกลับ มีบางอย่างที่ผมอยากขอรบกวนสักหน่อย”

“คุณช่วยชีวิตพวกเราไว้ ต้องการอะไรก็บอกมาได้เลย หากเป็นสิ่งที่พวกเราทำได้ พวกเราจะไม่ปฏิเสธ” ผู้อาวุโสเลี่ยวโค้งคำนับอย่างงาม

ถึงอย่างไร ข้อเท็จจริงก็คือชายวัยกลางคนผู้นี้เป็นผู้ช่วยชีวิตพวกเขา หากไม่ใช่เพราะอีกฝ่าย ทุกคนคงลงเอยด้วยการถูกอสูรอมตะทั้ง 3 ตัวนั้นทรมานจนตาย

ก็สมควรแล้วที่จะตอบแทนบุญคุณ

“ผมเป็นคนนอบน้อมและถ่อมเนื้อถ่อมตัว จึงไม่อยากทำให้เอิกเกริกมากไป ผมหวังว่าเมื่อพวกคุณกลับไปแล้ว พวกคุณจะเก็บทุกอย่างที่เกิดขึ้นที่นี่ไว้เป็นความลับ” จางเซวียนพูด

เมื่อครู่นี้เขาใช้เจตจำนงเพลงดาบ และทำให้เสือเขี้ยวดาบเจ็ดหางยอมจำนนได้ภายในกระบวนท่าเดียว แน่นอนว่าเขาปกปิดรังสีของเจตจำนงเพลงดาบเทพเจ้าไว้อย่างแนบเนียนแล้ว ไม่มีทางที่ใครจะมองเห็นได้โดยง่าย แต่หากเรื่องร่ำลือต่างๆเริ่มแพร่งพรายออกไป ไม่ช้าไม่นานคนส่วนใหญ่ก็คงปะติดปะต่อเรื่องราวได้

ทันทีที่หอเทพเจ้าได้ข่าว อันตรายก็จะเข้าประชิดตัวเขาอีกครั้ง จางเซวียนรู้ดีว่าเขายังไม่พร้อมที่จะรับมือกับหอเทพเจ้า จึงได้แต่หวังว่าคนกลุ่มนี้จะไม่เปิดเผยเรื่องราวออกไป

“เอ่อ…”

ฝูงชนยังคงสงสัยว่าคำขอของอีกฝ่ายคืออะไร แต่เมื่อได้ยินแบบนั้น ทุกคนพยักหน้ารับทันที

ถ้าใครสักคนทำให้ 1 ใน 4 อสูรอมตะแห่งภูเขาเมฆเหินยอมจำนนได้ ก็คงคุยโวโอ้อวดไปอีกหลายปี คงไม่ยอมหยุดจนกว่าทั้งโลกจะรับรู้วีรกรรมของเขา

แต่กลับกัน ชายวัยกลางคนผู้นี้ทำให้อสูรอมตะยอมจำนนได้ถึง 3 ตัว แต่ก็ไม่แสดงอาการหลงตัวเองแม้แต่น้อย

ความถ่อมเนื้อถ่อมตัวนี้ช่างควรค่าแก่การยกย่องเสียจริง!

“ไม่ทราบว่าผมควรเรียกคุณอย่างไร?” ผู้อาวุโสเลี่ยวตั้งคำถามด้วยความอยากรู้

“ผมคือจาง…” จางเซวียนกำลังจะบอกชื่อ ก็พอดีกับที่นึกได้ว่าหอเทพเจ้าอาจรู้ตัวตนที่แท้จริงของเขาแล้ว จึงรีบเปลี่ยนคำพูดและตอบว่า “…เจิ้งหยาง”

นั่นคือชื่อแรกที่ผุดขึ้นมาในหัว

“น้องเจิ้งหยาง”

ผู้อาวุโสเลี่ยวเค้นหัวสมองอย่างรวดเร็วขณะพยายามนึกว่าเคยได้ยินชื่อนี้จากที่ไหนมาก่อนหรือไม่ แต่ก็ไม่มีอะไรที่ทำให้รู้สึกคุ้นหูเลย เมื่อเก็บความอยากรู้ไม่ไหว จึงตั้งคำถาม “น้องเจิ้ง ไม่ทราบว่า ตอนนี้คุณศึกษาอยู่ภายใต้สังกัดของสำนักไหน?”

สิ่งแรกที่พวกเขาควรทำก็คือหาข้อมูลเรื่องภูมิหลังของอีกฝ่ายก่อนจะยื่นข้อเสนออะไรออกไป

จางเซวียนส่ายหัว “ผมเป็นนักรบพเนจร”

เขาคือผู้อาวุโสขั้นสูงสุดของสำนักดาบเมฆเหิน แต่ด้วยตัวตนพิเศษของเขา จึงไม่สะดวกใจนักที่จะเปิดเผยกับใคร แถมยังไร้ประโยชน์หากเขาสมมุติตัวตนใหม่ที่ถูกแกะรอยตามได้

ถ้าหอนานาอสูรพยายามสืบเสาะเรื่องนี้ ก็มีแต่จะก่อให้เกิดความสงสัยมากขึ้น ซึ่งในเมื่อเป็นอย่างนั้น เขาก็ควรแนะนำตัวว่าเป็นนักรบพเนจรจะดีกว่า

ถึงอย่างไร ในมิติเบื้องบนก็มีนักดาบมากมายอยู่แล้ว แม้แต่ผู้เชี่ยวชาญของหอเทพเจ้าก็ยังใช้ดาบ อีกอย่าง มีนักรบพเนจรอีกมากที่มีวิถีทางของเพลงดาบอันลึกล้ำน่าทึ่ง ดังนั้น เรื่องเล่าของเขาจึงใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้เสียทีเดียว

“นักรบพเนจร?”

ผู้อาวุโสเลี่ยวกับคนอื่นๆตาโตเมื่อได้ยินคำตอบนั้น

ถ้าชายวัยกลางคนมาจากสำนักอื่น ก็คงไม่เหมาะสมที่พวกเขาจะพยายามชักชวนอีกฝ่าย แต่ในเมื่อเขาเป็นนักรบพเนจร ปัญหานั้นก็หมดไป

นี่คือโอกาสที่เขาจะได้เข้าร่วมกับหอนานาอสูรและอาจได้เป็นหัวหน้าหอนานาอสูรด้วยซ้ำ พวกเขาเชื่อว่าชายวัยกลางคนผู้นี้คงไม่ปฏิเสธโอกาสล้ำค่าที่พวกเขาหยิบยื่นให้

“ใช่แล้ว” จางเซวียนพยักหน้า “เพราะฉะนั้น สำหรับเรื่องที่ผมร้องขอไปเมื่อครู่นี้น่ะ…”

“น้องเจิ้งไม่ต้องห่วง ในเมื่อคุณขอร้องพวกเราว่าอย่าพูดเรื่องนั้น พวกเราก็จะไม่แพร่งพรายเด็ดขาด เพียงแต่…” ผู้อาวุโสเลี่ยวหยุดไปครู่หนึ่ง

“เพียงแต่อะไร?”

“ต่อให้พวกเราไม่พูดเรื่องนี้ แต่ก็ไม่มีทางปกปิดข้อเท็จจริงที่ 3 ใน 4 อสูรอมตะของภูเขาเมฆเหินถูกทำให้ยอมจำนนแล้ว ทันทีที่ข่าวนี้แพร่ออกไป ผู้คนก็จะรู้ว่าผู้ที่ทำสำเร็จคือคนนอกแทนที่จะเป็นเหล่าผู้อาวุโสของหอนานาอสูร นั่นจะทำให้เกิดความอึกทึกครึกโครมครั้งใหญ่” ผู้อาวุโสเลี่ยวตอบอย่างกระอักกระอ่วนใจ

“แล้วคุณคิดอย่างไร?” จางเซวียนขมวดคิ้ว

สิ่งที่อีกฝ่ายพูดก็พอฟังขึ้น

หอนานาอสูรคือสำนักของนักฝึกอสูรหมายเลข 1 ของโลก ทั้งๆที่เหล่าผู้อาวุโสเตรียมการอยู่หลายปี แต่ก็ยังลงเอยด้วยความพ่ายแพ้ ในทางกลับกัน กลับเป็นคนนอกคนหนึ่งที่ทำให้อสูรอมตะยอมจำนนได้สำเร็จ แล้วพวกเขาจะอธิบายเรื่องนี้กับทางหอนานาอสูรอย่างไร?

“น้องเจิ้ง คุณสนใจที่จะติดตามพวกเรากลับสู่หอนานาอสูรสักระยะหนึ่งไหม? พวกเราจะแนะนำคุณในฐานะผู้อาวุโสคนหนึ่ง และนำอสูรอมตะทั้ง 3 ตัวไปแสดงต่อหน้าทุกคนด้วย ผมรู้ว่ามันฟังดูรีบร้อนไปสักหน่อย แต่นี่คือวิธีที่ดีที่สุดที่จะหลีกเลี่ยงความวุ่นวายต่างๆ” ผู้อาวุโสเลี่ยวอธิบาย

“เอ่อ…” จางเซวียนนึกไม่ถึงว่าจะได้ยินคำขอแบบนี้ เขาลังเลครู่หนึ่งก่อนจะให้คำตอบ “บอกพวกคุณตามตรงนะ ผมตั้งใจมุ่งหน้าขึ้นเหนือ มีบางเรื่องที่ผมต้องรีบ…”

“น้องเจิ้ง มันใช้เวลาไม่มากหรอก คงไม่ทำให้คุณเดินทางล่าช้าเกินไป อีกอย่าง หอนานาอสูรก็ตั้งอยู่ทางเหนือของที่นี่ คุณคงไม่ต้องอ้อม” ผู้อาวุโสเลี่ยวพูด

“ถ้า…ถ้าผมตามพวกคุณกลับไปที่หอนานาอสูรในฐานะผู้อาวุโสกิตติมศักดิ์ ผมจะมีคุณสมบัติ เพียงพอที่จะได้เข้าไปดูหอสมุดของผู้อาวุโสหรือเปล่า? บอกตามตรงนะ ผมสนใจมากที่จะได้ชมหอสมุดของพวกคุณเพื่อแก้ไขข้อสงสัยบางอย่างในการฝึกวรยุทธของผม” จางเซวียนตั้งคำถาม

ในฐานะหนึ่งในหกสำนักใหญ่ หอนานาอสูรย่อมมีหนังสือเทคนิควรยุทธจำนวนมากมาย หากเขาได้เยี่ยมชมหอสมุดของคนพวกนี้ ก็น่าจะรวบรวมหนังสือเทคนิควรยุทธระดับอมตะขั้นสูงได้มากพอ ทำให้การประมวลเคล็ดวิชาเทียบฟ้าฉบับสมบูรณ์พัฒนาไปได้อีกขั้น

เป้าหมายของการเดินทางของจางเซวียนคือสำเร็จวรยุทธอมตะขั้นสูงให้ได้ ถ้าการเสียเวลานิดหน่อยครั้งนี้จะทำให้เขาบรรลุเป้าหมาย การเดินทางกลับไปกับผู้อาวุโสเลี่ยวก็น่าจะเป็นโอกาสดี

อีกอย่าง เขาอยากจะหากระสอบอสูรสัก 2-3 ใบด้วย เพราะคงเป็นที่เตะตาเกินไปหากปล่อยให้ อสูรอมตะทั้ง 3 ตัวติดสอยห้อยตามเขาแบบนี้

“ได้แน่นอน ในฐานะผู้อาวุโสกิตติมศักดิ์ของหอนานาอสูรของเรา คุณจะได้รับสิทธิพิเศษแบบเดียวกับผู้อาวุโสคนอื่นๆ เราจะมอบกระสอบอสูรให้คุณฟรีๆเพื่อที่คุณจะได้นำอสูรอมตะทั้ง 3 ตัวไปกับคุณได้สะดวก ไม่เพียงเท่านั้น ในเมื่อคุณทำให้อสูรอมตะ 3 ใน 4 ตัวยอมจำนนได้สำเร็จ ก็มีโอกาสที่คุณจะได้รับการเสนอชื่อให้เป็นหัวหน้าหอนานาอสูรคนต่อไปด้วย!” ผู้อาวุโสเลี่ยวพูดพร้อมกับหัวเราะหึๆ

“ผมรู้สึกขอบคุณมากสำหรับกระสอบอสูร แต่ส่วนตำแหน่งหัวหน้าหอนานาอสูรนั้น เกรงว่าคงต้องปฏิเสธ” จางเซวียนตอบ

เขาไม่คิดจะลงหลักปักฐานในมิติเบื้องบน เป้าหมายหลักของเขาคือตามหาหลัวลั่วชิงเท่านั้น เรื่องอื่นถือว่าไม่จำเป็น เหตุผลที่ก่อนหน้านี้เขาอยากเป็นเจ้าสำนักดาบเมฆเหินก็เพราะหวังว่าจะได้ใช้อิทธิพลของมัน แต่นั่นก็พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่ามีความเสี่ยงไม่น้อย เพราะตำแหน่งนั้นทำให้หอเทพเจ้าหันมาจับจ้องเขา

ยิ่งเขาโดดเด่นมากขึ้นเท่าไหร่ ก็ยิ่งเป็นเป้าหมายที่น่าจับตามากขึ้นสำหรับหอเทพเจ้า จางเซวียนจึงไม่คิดว่าเป็นการฉลาดนักหากจะเปิดเผยตัวตนแบบนี้

ได้ยินคำนั้น ผู้อาวุโสเลี่ยวขมวดคิ้ว

เขานึกไม่ถึงว่าอีกฝ่ายจะสนใจกระสอบอสูรที่ไม่ได้มีราคาค่างวดอะไร แต่กลับไม่ใส่ใจสักนิดกับตำแหน่งหัวหน้าหอนานาอสูร

หากเขาได้เป็นหัวหน้าหอนานาอสูร ก็มีโอกาสได้ทุกสิ่งที่ต้องการไม่ใช่หรือ?

“เราค่อยหารือเรื่องนั้นทีหลังก็ได้” ผู้อาวุโสเลี่ยวพูดพร้อมกับยิ้มแหยๆ

สิ่งที่เขาพูดไปนั้นเป็นเพียงข้อเสนอ ผู้เดียวที่มีอำนาจในการตัดสินใจขั้นสุดท้ายคือหัวหน้าหอนานาอสูร ทั้งหมดที่พวกเขาทำได้ตอนนี้คือพาชายวัยกลางคนกลับไปที่หอนานาอสูรเท่านั้น

หลังจากพูดจากันรู้เรื่อง ผู้อาวุโสเลี่ยวกับคนอื่นๆรีบเยียวยาอาการบาดเจ็บของตัวเอง ก่อนหน้านี้พวกเขาทุกข์ทรมานไม่น้อยกับอาการบาดเจ็บสาหัสที่เกิดจากการโจมตีของอสูรอมตะทั้ง 3

ส่วนจางเซวียนก็หันกลับไปสนใจนกฟีนิกซ์ไฟเก้าหัว เขาตรวจดูอาการบาดเจ็บของมัน

มีรอยกระแทกอย่างแรงที่หัวทั้ง 9 อันเกิดจากการโจมตีอย่างไม่ลดละของน้ำเต้าตงฉู่ ในเวลาเดียวกัน ร่างของมันก็ดูจะปวกเปียกไปเล็กน้อย เลือดสดๆยังไหลซึมออกมาไม่หยุดจากแผลลึก

ในเมื่อนกฟีนิกซ์ไฟเก้าหัวยอมจำนนให้เขาแล้ว ก็ควรรักษาอาการบาดเจ็บให้มัน

จางเซวียนจึงนำขวดหยกออกมายื่นให้ใบหนึ่ง “ดื่มเสีย”

เขาเตรียมขวดที่บรรจุน้ำที่ได้จากการต้มน้ำเต้าตงฉู่ไว้หลายขวด เผื่อไว้ในสถานการณ์ฉุกเฉิน