บทที่ 3 รวมตัว
การปรากฏขึ้นของด่านหยั่งรู้ฟ้าดินในนิกายไร้ขอบเขตนับเป็นเรื่องใหญ่ จากนั้นไม่นาน ข่าวดีอีกหนึ่งก็เริ่มแพร่ไปทั่ว ฉือไคฮวงทะลวงด่านผลาญจิตวิญญาณแล้ว
ฉือไคฮวงติดอยู่ด่านสู่พิสดารมาหลายสิบปี เขามีเลือดผสม สมควรจะสุดที่ด่านสู่พิสดาร แต่หลังจากซูเฉินคิดค้นวิชาสู่อมตะถึงระดับ 5 แล้ว ฉือไคฮวงก็สามารถทะลวงด่านสูงต่อไปได้อีก แต่แผลเมื่อครั้งไปแดนคนเถื่อนทำให้เขาไม่สามารถทำได้
เมื่อซูเฉินคนพบอักขระโอสถ ก็ใช้มันร่วมกันไม้เท้ากระดูกต้นกำเนิดเพื่อหาทางทำให้ฉือไคฮวงทะลวงด่านได้
ดังนั้นแม้ฉือไคฮวงจะเป็นวีรบุรุษกองทัพกำลังสวรรค์คนสุดท้ายในหมู่ 7 คนที่ทะลวงสู่ด่านผลาญจิตวิญญาณ แต่ก็เป็นการทะลวงพลังที่ได้รับความสนใจมากที่สุด
วันที่เขาทะลวงพลัง ซูเฉินก็จัดงานเลี้ยงใหญ่ ศิษย์ทั้งหมดมาร่วงเฉลิมฉลอง กระทั่งฉือไคฮวงยังดื่มจนร้องไห้คร่ำครวญ จับมือซูเฉินสะอื้นไห้ไม่หยุด หมดภาพลักษณ์งามสง่าและสุขุมที่อาจารย์พึงมี แต่ก็แสดงให้เห็นว่าสิ่งนี้มีความหมายกับเขาเพียงไหน
ฉู่อิงหว่านจึงเป็นคนที่ต้องลากตัวเขาออกไป
“คืนนี้เขาดูตื่นเต้นมากทีเดียว” กู่ชิงลั่วกล่าวกับซูเฉินหลังทุกคนจากไปพร้อมกับเหล้าและเสียงเฮ
ซูเฉินเยื้องย่างไปตามสวนดอกไม้ แสงจันทร์สาดส่องล้อทั้งใบหน้าและแผ่นหลัง
“ข้าเข้าใจนะ ทั้งชีวิตเขาคงคิดว่าทะลวงด่านกลั่นโลหิตโดยไร้สายเลือดคงสูงสุดแล้ว แต่ตอนนี้เราฝ่ามาเหนือกว่านั้นมาก ข้าจึงไม่แปลกใจที่เขาจะมีสภาพเช่นนั้น”
“แล้วเจ้าเล่า ? ไม่รู้สึกตื่นเต้นดีใจกับความสำเร็จตนบ้างเลยหรือ ?”
ก็ไม่ใช่ว่าไม่ตื่นเต้น แต่เพราะซูเฉินรู้ว่าตนยืนอยู่จุดไหนต่างหาก นอกจากความพยายามไม่หยุดหย่อนแล้ว เขายังมีเนตรมองโลกจุลภาค ผลึกวิญญาณ และไม้เท้ากระดูกต้นกำเนิดมาช่วยเสริมด้วย
ช่างฝีมือที่ดีที่สุดล้วนต้องการเครื่องมือที่ดีที่สุด ของเหล่านี้เป็นส่วนสำคัญที่ทำให้เขาได้ประโยชน์จากการวิจัยค้นคว้าต่าง ๆ
เนตรมองโลกจุลภาคเป็นจุดเริ่มต้น เป็นแหล่งที่มาของเครื่องมือทั้งหลายที่เขาครองอยู่ในตอนนี้เลย
แต่ก็ไม่อาจแย้งได้เลยว่าที่เขาได้ผลึกวิญญาณและไม้เท้ากระดูกต้นกำเนิดมาก็เพราะความพยายามตน ส่วนเนตรมองโลกจุลภาคนั้นไม่เกี่ยวกัน
ซูเฉินไม่มีวันลืมวันลืมถนนที่เต็มไปด้วยหิมะหรือขอทานเฒ่าผู้นั้น ตอนนี้เขาก็ยังไม่รู้ว่าอีกฝ่ายเป็นใคร ดังนั้นขอทานเฒ่าในสายตาเขาจึงกลายเป็นคนที่ยืนอยู่บนยอดเขาไปตลอดกาลแล้ว
ภูเขาที่ใหญ่โตเกินจินตนาการออก
ก่อนที่เขาจะสามารถคลำหายอดเขาพบ จึงได้แต่สงบเสงี่ยมเท่านั้น
เช่นนี้แล้ว… ความสำเร็จใดที่ได้รับ เทียบกันแล้วก็ธรรมดากว่ามาก
แน่นอนว่าซูเฉินย่อมไม่อยากเอ่ย จึงพูดเพียง “ชีวิตคนยืนยาว ยังมีเรื่องให้ควรวิจัยอีกมาก ตอนนี้ก็ยังมีคนอีกมากที่แกร่งเหนือกว่า ในอนาคตยิ่งไม่ต้องกล่าว เช่น ราชันสัตว์อสูร ผู้นำเผ่าวิญญาณ และเจ้าแห่งแดนฝันเป็นต้น เบื้องหน้ามีผู้เก่งกล้ามากเช่นนี้ พวกเรายิ่งต้องค่อย ๆ ก้าวเดิน…… หนทางเบื้องหน้าของนิกายไร้ขอบเขตยังอีกยาวไกลนัก !”
ซูเฉินแสดงทีท่าได้ไม่เลว กระทั่งกู่ชิงลั่วยังตะลึงกับคารมเขา
แต่พริบตาต่อมา เขาก็เปลี่ยนหัวข้อ “น่าเสียดายนัก ข้าอยากทำวิจัยต่ออีกสักหน่อย แต่เวลาไม่เคยรอข้าเลย”
“ถึงเวลาแล้วหรือ ?” กู่ชิงลั่วเข้าใจว่าเขาหมายถึงอะไร
ซูเฉินพยักหน้า “ข้าได้รับคำจากหยงเยี่ยหลิวกวงเมื่อวาน เขา… เตรียมพร้อมแล้ว”
กู่ชิงลั่วนัยน์ตาหม่นแสงลงชั่วขณะ
แต่ครู่หนึ่งก็คลี่ยิ้ม “เอาเถอะ เจ้ามีภาระให้ต้องสะสางอยู่แล้ว ส่วนข้าก็ควรติดตามสามีไปดูว่าพวกเผ่าท้องสมุทรและเผ่าวิญญาณคิดการใดกันแน่ พวกนั้นจะหนีเงื้อมือเจ้าพ้นหรือไม่ ?”
ซูเฉินตอบตามตรง “ได้หรือไม่ข้าย่อมไม่รู้ แต่อย่างไรก็คงหนีไม่พ้น……”
ว่าแล้วเขาก็รั้งร่างกู่ชิงลั่วเข้าอ้อมกอด
ทั่วทั้งห้องเต็มไปด้วยกลิ่นอายฤดูใบไม้ผลิอีกครั้ง
ในขณะเดียวกันก็มีการออกคำสั่งอย่างเป็นทางการจากนิกายไร้ขอบเขตไปยังศิษย์ภายนอกทั้งหลายให้กลับคืนสู่นิกาย
เมืองชมธาร ภายในวังหยกวิจิตร
เซียวฉางชิงนั่งบนบัลลังก์อันทรงเกียรติ ด้านข้างคือท่านเฮ่อที่เอ่ยชมเสียงตื่นเต้น “ข้าไม่เคยเห็นวิชาดาบงามสง่าเช่นของคุณชายเซียวมาก่อน เป็นเพราะท่านถึงกำจัดพวกกองโจรเขาสยงเอ่อร์ไปได้”
เซียวฉางชิงตอบเสียงเรียบ “ท่านเฮ่อชมกันเกินไป ข้าเพียงทำเท่าที่กำลังอันจำกัดของข้าทำไหวเท่านั้น”
โจรบนเขาสยงเอ่อร์ก่อตั้งขึ้นมาอย่างแข็งแกร่ง ทั้งเจ้าเล่ห์เจ้ากล ทางการจับไม่ได้ไล่ไม่ทัน เซียวฉางชิงตามจับพวกเขามาเกือบ 30 วัน สุดท้ายก็พบรังหลัก ทำให้จับคนได้ทั้งหมด แต่ก็ได้รับบาดเจ็บสาหัสจากศึกครั้งนี้เช่นกัน
แต่ก็นับว่าคุ้มค่า จากนี้ต่อไป ฐานะ ‘หัวหน้าผู้พิทักษ์’ ณ วังหยกวิจิตรก็จะตกเป็นของเขา
ดังคาด ท่านเฮ่อเอ่ยว่า “คุณชายอายุเท่านี้ก็เก่งกาจมากความสามารถนัก ข้ามั่นใจว่าจะฝากฝังเรื่องความปลอดภัยของชีวิตข้าให้ท่านได้ จากนี้ไปให้ท่านเป็นหัวหน้าผู้พิทักษ์”
“อืม ๆ ข้าเห็นด้วย คุณชายเซียวเหมาะสมจริง” คนในวังคนอื่น ๆ ต่างก็สนับสนุน
ตอนนี้พลันเกิดรุ้งขึ้นบนฟ้าเหนือผู้คน เป็นภาพงดงามนัก
ทุกคนกำลังสงสัยว่ารุ้งมาจากที่ใด เซียวฉางชิงก็ยืนขึ้นด้วยสีหน้าประหลาด “เกิดขึ้นแล้วงั้นหรือ ?”
เซียวฉางชิงลุกขึ้น คำนับให้ท่านเฮ่อ “ขออภัยด้วยท่านเฮ่อ ดูท่าทางนิกายจะเรียกตัว น่าเสียดายที่ข้ายังรับตำแหน่งไม่ได้”
“นิกายเรียกตัว ?” ทุกคนชะงัก
ท่านเฮ่ออย่ากล่าวคำ แต่ร่างเซียวฉางชิงหายไปแล้ว ส่วนเวลา 30 กว่าวันกว่าจะคว้าตำแหน่ง ‘หัวหน้าผู้พิทักษ์’ มาได้นั้น เขากลับไม่ไยดีสักนิด
ภายในหุบเขาเปลวเพลิงศักดิ์สิทธิ์
คนกลุ่มใหญ่มารวมตัวกันราวกับรอบางอย่าง มีเสียงพูดคุยถกเถียงกันในหมู่คนเป็นระยะ
ที่ใจกลางหุบเขามีทะเลลาวาที่ร้อนระอุ ส่งฟองขึ้นมาบนผิวไม่หยุดอยู่
ภายในนั้นเห็นดอกไม้เล็ก ๆ 4 ดอกเติบโตอยู่ แต่ละดอกมีผลไม้สีม่วงงอกออกมา ไหวไปมาดูน่ายวนใจ เบื้องล่างคือกิ่งก่าลาวาที่แหวกว่าย จ้องผลไม้ตาเป็นมัน
กลิ่นหอมแปลก ๆ เริ่มซึมซาบผ่านหุบเขา ทำให้คนมองรู้สึกกระวนกระวายใจ
“ผลหินหลอมแดงใกล้จะสุกแล้ว เตรียมพร้อมไว้ทุกคน”
“ไม่ว่าใครก็ชิงมันไปไม่ได้ ผลหินหลอมแดงเป็นของข้า !”
“ฝันไปเถอะ ดาบแสงยะเยือกเยี่ยเฟิงหาน กระเรียนบินฉางเหอ เคียวอาสัญใต้จันทร์ป้ายอู๋ซิน ยังมีกะโหลกแดงและนักดาบเซียงเจียงล้วนอยู่ที่นี่ คิดหรือว่าเจ้ากับข้าจะได้แม้แต่เข้าร่วม ?”
“ใครบอกว่าไม่ได้เล่า ? เราอาจฉวยโอกาสตอนพวกเขาสู้กันชิงมาได้ไง”
“พวกเขาทำท่าเหมือนจะสู้กันหรือ ?”
ทุกคนจึงเงียบไป
หนุ่มสาวราว 7-8 คนยืนอยู่บนหินก้อนใกล้ที่สุด เบื้องหน้าคือเยี่ยเฟิงหาน
ลักษณ์เยือกแข็งใหม่ที่เขาเพิ่งได้มานี้จะผสานพลังยะเยือกในทุกการโจมตี น่าเสียดายที่อีกฝ่ายไม่รู้ว่าเป็นเพราะลักษณ์ ดังนั้นจึงคิดชื่อใหม่ขึ้นให้เป็นดาบแสงยะเยือก ชื่อไม่เพราะเอาเสียเลย
แม้หลายสิ่งเขาจะตัดสินใจได้ แต่กลับไม่อาจเลือกฉายาเองได้
ขณะที่เขาวางมือลงบนด้ามดาบ เยี่ยเฟิงหานเอ่ยขึ้นว่า “ดูท่าวันนี้คงไร้สหายเผยตัวแล้ว เอาตามกฎเดิมเถอะ”
“ได้” ชายฉกรรจ์คนหนึ่งที่ยืนอยู่ข้าง ๆ ฉางเหอว่า “ผลหินหลอมแดงสุกเมื่อไหร่ ฉางเหอเป็นคนเก็บ อวิ๋๋นเหนียงกันกิ้งก่าเอาไว้ ที่เหลือกันคนอื่น แบ่งคะแนนอุทิศเท่ากัน มีข้อแย้งไหม ?”
“ไม่ !” ทุกคนเห็นด้วย
ศิษย์นิกายไร้ขอบเขตมักทำหน้าที่ตนไป แต่เมื่อรวมตัวกันแล้วก็จะร่วมมือกันได้ดี
ซูเฉินให้ค่าแก่ความสามัคคีมาก ความทะเยอทะยานใด ๆ ที่ก่อให้เกิดความขัดแย้งภายในล้วนถูกลงโทษหนัก ดังนั้นศิษย์นิกายไร้ขอบเขตทั้งหลายจึงมีความสามัคคีกันสูง
แม้จะมีคนกว่าร้อย แค่ศิษย์นิกายไร้ขอบเขตสัก 7-8 คนก็มากพอจะแย่งเอาผลไม้มาจากคนทั้งหมดได้แล้ว
ผลไม้เหล่านี้เป็นสมบัติล้ำค่า ได้คะแนนอุทิศผลละ 100 คะแนน
เป็นตอนนั้นเองที่ท้องฟ้าเริ่มแปรเปลี่ยน
ทุกคนแหงนหน้ามอง ริ้วแสงไร้ที่สิ้นสุดนั้นส่องสว่างพร่างพราวอยู่เบื้องบน
ฉางเหอเอ่ย “นิกายเรียกตัว เอาอย่างไรดี ? อีกครึ่งชั่วยามผลหินหลอมแดงก็จะสุกแล้ว”
หญิงสาวฉายากะโหลกแดงหรืออวิ๋๋นเหนียงเอ่ย “หากเขาเรียกก็คงเป็นเรื่องใหญ่แน่ ช่างผลหินหลอมแดงเถอะ”
“ไปกัน !” เยี่ยเฟิงหานไม่เสียเวลาเช่นกัน ลงมือเหินร่างจากไปในพลัน
คนอื่นตามไปติด ๆ เมินผลหินหลอมแดงไว้ ทำให้คนอื่น ๆ ได้โชค พวกเขาต่างมองหน้ากัน ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่
แน่นอนว่าบางพวกก็ไม่คิดปิดบังตน บางพวกก็เก็บตัวเงียบเชียบ
เมืองขังใจ ใกล้กับหมู่บ้านเซี่ยกวน
หวังซินเฉาทุบค้อนยักษ์ลงบนเหล็กร้อนสีแดงตรงหน้าจนมันค่อย ๆ เปลี่ยนรูป
คนอื่น ๆ คงเห็นว่าหวังซินเฉากำลังตีเหล็ก มีเพียงเขาที่รู้ว่าตนกำลังฝึกวิชาค้อน
ค้อนขังปีศาจ
หวังซินเฉาเป็นคนตั้งชื่อ เพราะมันไม่ใช่วิชาที่แจกจ่ายจากนิกายไร้ขอบเขต แต่เป็นเขาคิดขึ้นเอง
เจ้านิกายไร้ขอบเขตซูเฉินแจกจ่ายตำราเรื่องหลักการบ่มเพาะพลังของมนุษย์ เมื่อหวังซินเฉาได้อ่าน ความคิดเกือบจะประหลาดพลันผุดขึ้นในใจ
ในเมื่อเขาชอบการตีเหล็กมาก ก็อาจเป็นไปได้ว่าจะสามารถสร้างวิชาที่รวมเอาศิลปะการตีเหล็กเข้าร่วมขึ้นมาได้ ซึ่งจะเป็นวิชาของเขาแต่ผู้เดียวได้กระมัง ?
เจ้านิกายไร้ขอบเขตไม่คิดปิดกั้น แต่ไม่ชอบคนเอาแต่พูดทว่าไม่ลงมือทำ
หวังซินเฉาคิดได้แล้วจึงลงมือทำทันที
เขาอาศัยในหมู่บ้านเซี่ยกวนมาเกือบ 3 ปีแล้ว ระหว่างนี้วิชาค้อนของเขาก็แกร่งขึ้นเรื่อย ๆ เริ่มคุ้นเคยเชี่ยวชาญวิชาค้อนขังปีศาจมากกว่าเก่า
เขาสัมผัสได้ว่าอีกไม่นานก็จะทะลวงขั้นแล้ว
วันนี้หวังซินเฉาก็ยังตีเหล็กแผ่นหนึ่งอยู่เหมือนเคย ฉับพลันแสงสีแดงก็ส่องวาบขึ้นบนแท่นตีเหล็ก ราวกับมีการโคจรพลังส่องสว่างอยู่ภายในจิตใจ
เป็นตอนนั้นที่สัมผัสทั้งหลายพุ่งเข้าสู่จิตใจ เขาพลันรู้สึกว่าปัญหาทั้งหลายที่รุมเร้าเขามานานได้หายไป ไม่เพียงเท่านั้น ข้อต่อทั้งหลายในร่างยังเริ่มส่งเสียงดังเปรี๊ยะด้วย
นี่คือผลอันเกิดจากความเข้าใจอย่างแท้จริง ร่างกายของหวังซินเฉากำลังปรับสภาพให้สอดรับกับความเปลี่ยนแปลงให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้
เขาทำสำเร็จ !
มุมานะมา 3 ปี ในที่สุดผีเสื้อก็สยายปีกออกจากรังดักแด้แล้ว
หวังซินเฉายินดีเป็นยิ่งนัก
แต่เป็นตอนนั้นเองที่เขาเห็นว่าทางนิกายเรียกตัว
“นิกายเรียกตัวหรือ ? ในที่สุดก็จะเกิดเรื่องใหญ่ขึ้นแล้วงั้นหรือ ?” หวังซินเฉาพึมพำ
เขาก้มลงมองท่านตรงหน้า ยังมีความรู้สึกลึกล้ำหลงเหลืออยู่ แต่เขาไม่รู้ว่าต้องใช้เวลาเท่าไหร่
แต่หากหยุดเสียที่นี่ก็ไม่อาจรู้เลยว่าเมื่อไหร่จะเกิดความลึกล้ำเช่นนั้นขึ้นได้อีก
ถึงอย่างนั้น….
“นิกายสำคัญกว่า !” หวังซินเฉาพึมพำเสียงเบา
เขาจึงเดินจากมาไม่เหลียวมอง หายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย
ในวันนี้ คนจากทั่ว 7 อาณาจักรต่างหายตัวไปราวกับควัน ไม่ว่าจะมีชื่อหรือไร้ชื่อ
อาณาจักรมนุษย์ที่ถูกศิษย์นิกายไร้ขอบเขตก่อกวนอยู่ชั่วระยะหนึ่งจึงกลับสู่ความสงบสุขอีกครั้ง
ผู้เชี่ยวชาญที่ดูเหมือนโผล่มาจากไหนก็ไม่รู้ดูจะหายไปนานแสนนานเลยทีเดียว……