บทที่ 780 สโมสรอันดับหนึ่ง + ตอนที่ 781 โชคดีที่กระโดดได้เร็ว

ลิขิตรัก ย้อนรอยแค้น

ตอนที่ 780 สโมสรอันดับหนึ่ง + ตอนที่ 781 โชคดีที่กระโดดได้เร็ว โดย Ink Stone_Romance

 

ตอนที่ 780 สโมสรอันดับหนึ่ง

หลังจากที่เหยียนหมิงซุ่นออกจากบ้านตระกูลจ้าวแล้ว ก็ไม่ได้เดินมุ่งไปทางเกสต์เฮาส์ แต่กลับขึ้นรถโดยสารมุ่งหน้าไปอีกทาง ตอนกลางวันเขาศึกษาแผนที่ของเมืองหลวงไว้แล้ว  จึงรู้เส้นทางในเมืองหลวงอย่างทะลุปรุโปร่ง

สถานที่ที่เขาจะไปมีชื่อเรียกว่าสโมสรอันดับหนึ่ง เป็นแหล่งใช้เงินที่โด่งดังไปทั่วประเทศ  นับเป็นสถานที่ที่พวกลูกข้าราชการใช้ชีวิตมึนเมาอยู่ในความฝันไปวัน ๆ

เหตุผลที่เขาจะไปสถานที่แห่งนี้ แน่นอนว่าไม่ใช่เพื่อไปซื้อเหล้า แล้วก็ไม่ใช่เพื่อแสวงหาความสุข เรื่องพวกนี้เขาข้องแวะด้วยอยู่แล้ว เขาได้รับคนฝากฝังมาเพื่อมาหาคน ๆ หนึ่งซึ่งเป็นผู้ชายที่ชื่อว่าพี่เฉิง เล่าลือกันว่าเป็นเถ้าแก่คนที่สองของสโมสรแห่งนี้

เขาเคยหาสืบถามเรื่องเกี่ยวกับเถ้าแก่ใหญ่ของสโมสรแห่งนี้มาก่อน เป็นคุณหนูใหญ่อยู่ในกลุ่มนั้น  เบื้องลึกภูมิหลังที่ไม่ธรรมดา อีกทั้งยังเป็นสาวงามที่ทำให้ผู้คนต่างพากันตกตะลึงในความสวย  เธอริเริ่มสร้างสโมสรแห่งนี้ขึ้นมาด้วยตัวเอง

แต่พี่เฉิงเป็นเถ้าแก่คนที่สองที่ออกแรงไม่ใช่ออกเงิน เพราะว่าคุณหนูใหญ่เฝิงอยากยืมอำนาจของเขา ไม่อย่างนั้นก็จะคุมสถานที่ไม่อยู่

พี่เฉิงเป็นนักเลงใหญ่ที่เร่ร่อนอยู่ที่เมืองหลวงมาหลายปี มีลูกน้องในมือคอยช่วยเหลือโดยกระจัดกระจายไปทุกที่อย่างกว้างขวาง

ด้วยเหตุผลนี้ทำให้คุณหนูใหญ่เฝิงถึงได้ขอให้เขาเป็นหุ้นส่วน เพราะเห็นถึงอิทธิพลของเขา พิสูจน์ถึงข้อเท็จจริงที่ว่า สายตาของคุณหนูใหญ่เฝิงนั้นไม่เลวเลยทีเดียว ตั้งแต่ที่สโมสรมีพี่เฉิงเข้ามาคลื่นลมก็สงบลงในทันที สุขสงบร่มเย็น ไม่มีใครกล้ามาวุ่นวายที่สโมสรอีก

สโมสรอันดับหนึ่งไม่ได้อยู่ใจกลางเมือง แต่ตั้งไปทางเขตชานเมืองเล็กน้อย ป้ายรถเมล์ที่ใกล้ที่สุดยังต้องเดินเกือบสิบห้านาที เหยียนหมิงซุ่นลงจากรถเดินมุ่งไปข้างหน้าอย่างช้า ๆ

ถึงแม้ว่าตอนนี้ฟ้าจะมืดแล้ว แต่สำหรับสโมสรนี้แล้วยังถือว่ามาเร็วไปด้วยซ้ำ เขาไม่รีบร้อน

การเดินทางที่ต้องใช้เวลาสิบห้านาที แต่เหยียนหมิงซุ่นกลับใช้เวลาเดินประมาณครึ่งชั่วโมง และได้เห็นบ้านหลังหนึ่งที่ใหญ่มากๆ เหมือนวังที่อยู่ในทีวี ประตูทางเข้าสีแดง กำแพงรั้วสูงใหญ่ ทำให้คนรู้สึกไม่อยากเข้าใกล้

มองจากข้างนอกนี่ก็คือบ้านหลังใหญ่ของคนปกติ ไม่มีไฟนีออน เพียงแค่ประตูทางเข้าแขวนโคมไฟสีแดงสองอันก็เท่านั้น กำแพงสูงใหญ่ทำให้คนไม่สามารถเห็นเหตุการณ์ด้านในได้เลยแม้แต่น้อย และไม่ได้ยินเสียงอะไรทั้งนั้น วังเวงจนน่ากลัว

แต่ข้างนอกบ้านกลับมีรถจอดเต็มไปหมดละแวกใกล้เคียงก็ใช่ ทั้งรถลีมูซีน หงฉี รถซานทาน่าเรียงรายกันเต็มไปหมด ราวสักสามสิบสี่สิบคันได้ เกรงว่าขนาดรถในเมืองเล็ก ๆบางเมืองรวมกันยังมีเยอะไม่เท่าของบ้านหลังนี้เลยด้วยซ้ำ!

เหยียนหมิงซุ่นยังสังเกตเห็นเครื่องหมายทหารในรถพวกนี้อีกหลายคัน ใหญ่ขนาดนั้นจอดอยู่ข้างนอก ไม่กังวลเลยแม้แต่น้อย ใจกล้าไม่เบา อดไม่ได้ที่จะต้องทำความเข้าใจในความสามารถของคุณหนูใหญ่เฝิงใหม่แล้ว

“นายทำอะไร?”

ผู้ชายที่อายุราวสามสิบกว่าสองคนเดินเข้ามา มองเหยียนหมิงซุ่นอย่างระมัดระวัง

ใจของเหยียนหมิงซุ่นหล่นไปถึงตาตุ่ม บอดี้การ์ดของที่นี่เข้มงวดมาก เขาเพียงแค่หยุดอยู่หน้ารถไม่กี่วิ ก็โดนสงสัยเสียแล้ว มิน่าล่ะทหารชั้นแนวหน้าพวกนี้ถึงได้ไม่เกรงกลัวสิ่งใดเลยสักนิด

“ผมมาหาพี่เฉิง มีคนฝากผมเอาของมาให้เขา” เหยียนหมิงซุ่นพูดอย่างใจเย็น

บอดี้การ์ดทั้งสองคนสองสองมองไปที่เขาอย่างสงสัย เหยียนหมิงซุ่นที่อยู่ตรงหน้าอายุน่าจะไม่เกินยี่สิบแน่ๆ แค่มองปราดเดียวก็รู้ว่าเป็นเด็กที่มาจากบ้านมีการศึกษา อีกทั้งสำเนียงก็เห็นได้ชัดว่ามาจากทางใต้ทางนั้น นึกไม่ถึงว่าจะพูดว่าอยากจะมาหาหัวหน้า?

คิดว่าพวกเขาเป็นเด็กสามขวบหรือยังไง?

“ไป ๆ…อย่ามาก่อกวนที่นี่ รีบ ๆไป ไม่อย่างนั้นอย่างหาว่าพวกเราไม่เกรงใจ” ผู้ชายสองคนไล่ไปอย่างรำคาญ แต่ก็ไม่ได้ทำให้เหยียนหมิงซุ่นลำบากใจ

เหยียนหมิงซุ่นพูดอีกหลายประโยค แต่สองคนนี้กลับไม่เชื่อเขาสักนิด สายตาก็เริ่มดุดัน เหยียนหมิงซุนอุทานในใจ พอเริ่มเห็นท่าไม่ดีแล้วจึงทำได้แค่ยอมจากมาแต่โดยดี

………………………………………

ตอนที่ 781 โชคดีที่กระโดดได้เร็ว

เหยียนหมิงซุ่นกลับไม่ได้จากไปจริงๆ แต่ฉวยโอกาสตอนที่ผู้ชายสองคนนั้นไม่ทันได้สนใจ ซ่อนตัวอยู่ตรงหัวโค้ง วันนี้เขาดึงดันจะเจอพี่เฉิงให้ได้

วันนี้เป็นวันที่สิบ คนที่ไหว้วานให้เขาทำงานให้นั้น กำชับเขาเป็นพิเศษว่าก่อนวันที่สิบสอง จะต้องเอาของส่งให้ถึงมือพี่เฉิงให้ได้ ในเมื่อรับงานที่มีคนไหว้วานมาแล้ว เขาก็ต้องทำให้สำเร็จให้ได้

เหยียนหมิงซุ่นเดินวนไปตามทางกำแพงหนึ่งรอบ เขาเป็นคนหูตาไวจึงได้ยินเสียงสั่งงานรางเลือนอยู่ด้านในกำแพงรั้ว คาดการณ์ได้คร่าวๆว่าไม่น่าจะมีคน ก็กัดฟันถ่มน้ำลายลงบนฝ่ามือ กระโจนตัวขึ้นไป เตะขาถีบซ้ำอีกที ก็ปีนขึ้นมาบนกำแพงรั่วได้อย่างสบาย

เขามองไปความมืดมิดที่อยู่ด้านล่าง สามารถมองเห็นแสงไฟสลัว ๆ อยู่เบื้องหน้าหลายจุด เขาสูดอากาศเข้าไปเต็มปอด กลิ่นหอมของดอกไม้ตลบอบอวล ข้างล่างจะต้องเป็นสวนดอกไม้แน่นอน มิน่าล่ะถึงไม่มีคนอยู่ตรงนี้

เหยียนหมิงซุ่นกระโดดลงไปอย่างวางใจ แต่ขณะที่หมุนกลับตัว กลับถูกทำให้ตกใจจนเกือบส่งเสียงออกมา ในความมืดกลับมีแสงสีเขียวที่ส่องแสงอยู่หลายดวง มองเขาอย่างเย็นชา แถมยังมีฟันสีขาวที่น่าสยดสยองนั้นอีก รวมทั้งเสียงขู่คำราม

เขาร้องในใจว่าแย่แล้ว อุตส่าห์วางแผนมาอย่างดิบดี กลับโดนหมาทำลายแผนจนพังไปหมด

ในความมืดทำให้มองไม่ชัดว่าหมานั้นตัวใหญ่ตัวเล็ก แต่คิดๆดูแล้วกุลสตรีอย่างคนแซ่เฟิ่งก็คงจะไม่เลี้ยงหมาพันธุ์หน้าย่นมาดูแลปกป้องสวนหรอก ไม่ใช่พันธุ์ทิเบตันแมสติฟก็คงเป็นเยอรมันเชพเพิร์ด แต่แบบไหนก็ไม่ดีทั้งนั้น

เขานับแสงสีเขียวคร่าวๆ ดูแล้ว  ฟันกรามขบกันด้วยความสยอง หากมีมากสุดก็สี่ตัว สองหมัดยังยากจะสู้กับสี่มือ แล้วนับภาษาอะไรกับสิบหกกรงเล็บล่ะ ?

เพียงเวลาอันรวดเร็วเหยียนหมิงซุ่นก็ตัดสินใจด้วยความเร็วสูง ก่อนที่หมาดุร้ายพุ่งจู่โจมเข้ามา เขาก็ชิงกระโดดขึ้นไปบนกำแพงด้วยความเร็วที่เร็วที่สุด ขาดแค่เพียงวินาทีเดียวเท่านั้น ขาของเขาก็จะโดนหมาดุร้ายสี่ตัวนี้กัดขาดไปแล้ว

เหยียนหมิงซุ่นมองไปทางหมาดุร้ายที่คำรามอยู่ด้านล่างอย่างคับแค้นใจ ทันใดนั้นแสงจันทร์ก็ทะลุผ่านชั้นเมฆ จากแสงจันทร์สลัว ๆ ที่สาดส่องลงมา  ครั้นพอเขาเห็นใบหน้าที่ชัดเจนของหมาสี่ตัวนั้นก็สูดหายใจเข้าไป

สี่ตัวนั้นเป็นพันธุ์ทิเบตันแมสติฟทั้งหมด และทั้งสี่ก็มีขนาดเหมือนกับลูกวัวก็ไม่ปาน ทันทีที่มันโตหมาพันธุ์ทิเบตันแมสติฟก็จะกล้าต่อสู้กับกลุ่มหมาป่าแล้ว  แล้วยิ่งมีถึงสี่ตัว เหยียนหมิงซุ่นแอบดีใจที่ตนเองหนีเอาชีวิตรอดได้ทัน  ไม่อย่างนั้นเกรงว่าเขาคงจะโดนทิเบตันแมสติฟสี่ตัวนี้เคี้ยวจนไม่เหลือแม้กระทั่งเศษซาก

ส่วนเรื่องฝีมือของคุณหนูแซ่เฟิ่ง ต่อให้มีคนตายสวนในบ้าน เธอเองก็คงไม่รู้สึกรู้สาอะไร กลัวก็แค่พอถึงตอนนั้นเขาก็จะกลายเป็นหนึ่งในประชากรไร้ญาติที่หายสาบสูญไปเท่านั้น

เหยียนหมิงซุ่นไม่กล้าดันทุรังสู้กับทิเบตันแมสติฟสี่ตัวนี้ ขบคิดอยู่ครู่หนึ่งก็ไถลตัวลงมาที่สันกำแพง กลับไปคิดหาวิธีจัดการกับหมาดุร้ายพวกนี้ก่อนดีกว่า โชคดีที่ไม่รีบร้อนยังมีเวลาอีกสองคืน

ที่เหยียนหมิงซุ่นไม่รู้ก็คือ อันที่จริงทิเบตันแมสติฟสี่ตัวนี้เป็นเพื่อนรักกับเจ้าหญิงของเขา คุณหนูเซียวฝึกฝนสั่งสอนด้วยตัวเองเลย!

ตั้งแต่เด็กก็กินแต่สัตว์ที่ยังมีชีวิต อีกทั้งยังต่อสู้กับไท่โฮ่วอีก ไม่แน่นิสัยอาจบ้าระห่ำคงจะรุนแรงยิ่งกว่าทิเบตันแมสติฟในเขตธิเบต เหยียนหมิงซุ่นก็กระโดดอย่างรวดเร็วไม่อย่างนั้นเขากลัวว่าคงโดนเคี้ยวจนแหลกละเอียดไปจริง ๆ

วันต่อมาเหมยเหมยไม่ได้ออกไปไหน แต่ตั้งใจทำงานตัวเองอยู่ในห้องกับอู่เชาและสยงมู่มู่สามคน สยงมู่มู่เขียนเพลง อู่เชาเขียนบทความ เหมยเหมยเขียนการ์ตูน

“พวกเธอช่วยฉันฟังหน่อยสิว่าเพลงนี้เป็นยังไงบ้าง?”

สยงมู่มู่ดีดกีตาร์บรรเลงอย่างตื่นเต้น ทำนองเพลงเร็วมาก เนื้อเพลงก็ไม่เกี่ยวอะไรกับความรักมิตรภาพเลย เด็กน้อยอายุสิบห้าอย่างเขาจะเข้าใจอะไรในความรัก ก็เป็นแค่ความไม่พอใจและระบายวิธีการเรียนที่ชอบอัดความรู้มากเกินไป เนื้อเพลงมีความหมายน่าสนใจไม่น้อย

ฟังสยงมู่มู่ร้องตะโกนแหกปากจะเป็นจะตายเสร็จ เหมยเหมยและเสี่ยวเชาถึงได้หยิบผ้าฝ้ายที่อุดหูไว้ออกมา ช่างเป็นเหมือนเสียงปีศาจที่เจาะทะลุสมองพรุนไปหมดแล้วจริง ๆ  ให้อภัยพวกเขาด้วยที่ไม่ GET ท่วงทำนองเพลงที่ล้ำเลิศแบบนี้

“เพราะไหม?” สยงมู่มู่สายตาเป็นประกายวาววับ ทำหน้าหวังจะได้รับคำชมเชยและการยอมรับ

เด็กอ้วนน้อยลังเลสองจิตสองใจอยู่บ้าง ไม่ค่อยอยากซ้ำเติมเพื่อนสักเท่าไร แต่เขาก็ไม่สามารถพูดคำพูดที่ขัดกับความรู้สึกได้

เหมยเหมยกลับพูดอย่างไม่เกรงใจเลยแม้แต่น้อยว่า “ไม่เพราะ อย่างกับเสียงผีร้องครวญคราง แต่ว่าเนื้อเพลงมีความแปลกใหม่ดี”

…………………………………………