ตอนที่ 805 จอมยุทธ์ปีศาจ

คุณหนูสี่ สตรีเปื้อนเลือด

ภายในคฤหาสน์เฟิงหัว ฉินอวี้โม่คว้าจิตวิญญาณของเฝิงรุ่ยเฉิงไว้ในมือด้วยสีหน้านิ่งเฉยใจเย็น

เฝิงรุ่ยเฉิงก็พยายามดิ้นรนเพื่อเอาตัวรอด ทว่าเมื่อเห็นว่าไม่เกิดผลใด ๆ ในที่สุดเขาก็หยุดลงและมองฉินอวี้โม่พร้อมเอ่ยถาม “ข้าต้องทำอย่างไรเจ้าจึงจะยอมปล่อยข้าไป ?”

เดิมทีเขาวางแผนที่จะระเบิดตัวเองและปล่อยให้จิตวิญญาณของตนล่องลอยไป หลังจากนั้นเขาจะหาทางฟื้นคืนชีพขึ้นใหม่และกลับมาอีกครั้ง เพียงแต่คิดไม่ถึงเลยว่าฉินอวี้โม่จะทราบถึงแผนการดังกล่าวล่วงหน้าและจับตัวตนไว้ได้ทัน

เฝิงรุ่ยเฉิงไม่ทราบเลยว่าตอนนี้ตนเองอยู่ที่ใด จิตวิญญาณของเขาที่เหลืออยู่ในตอนนี้ก็ไม่มีพลังหรือความแข็งแกร่งใด ๆ แม้แต่น้อย เพราะเหตุนั้น เขาจึงไม่มีทางที่จะหลบหนีเอาตัวรอดได้ด้วยตัวเอง

“ปล่อยเจ้าไปงั้นรึ ?”

ฉินอวี้โม่ยกยิ้มมุมปากและกล่าวต่อ “หึ เฝิงรุ่ยเฉิง…ตระกูลเฝิงของเจ้าหมายหัวคิดที่จะเล่นงานข้ามาตั้งแต่ต้นและต้องการช่วยตระกูลจูกำจัดข้า ทว่าตอนนี้เจ้าต้องการให้ข้าปล่อยเจ้าไปง่าย ๆ รึ ? คิดว่ามันจะเป็นไปได้อย่างนั้นหรือ ?”

แม้มิใช่คนชั่วร้าย ฉินอวี้โม่ก็มิใช่คนที่จะให้อภัยศัตรูที่คิดสังหารตนเองเช่นกัน เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในดินแดนลับครานี้ทำให้เกิดจิตสังหารขึ้นมาในใจของนางและไม่มีทางที่นางจะปล่อยตระกูลเฝิงไปง่าย ๆ อย่างแน่นอน

ก่อนที่เฝิงรุ่ยเฉิงระเบิดตัวเอง นางก็คาดเดาได้แล้วว่าเขาคงจะใช้โอกาสนี้เพื่อหลบหนีเอาตัวรอด และสิ่งที่เกิดขึ้นก็เป็นจริงดังที่คิดไว้ ในเมื่อจับเขาโยนเข้ามาในคฤหาสน์เฟิงหัวแล้ว หากปราศจากการอนุญาตจากนาง ไม่ว่าเฝิงรุ่ยเฉิงจะมีความสามารถหรือพลังมากเพียงใด เขาก็ไม่มีทางหลบหนีออกไปจากที่นี่ได้

ก่อนหน้านี้ผู้นำตระกูลเฝิงได้ติดต่อและร่วมมือกับกลุ่มคนลึกลับกลุ่มหนึ่ง ฉินอวี้โม่เชื่อว่าจะต้องมีแผนการสมคบคิดที่ยิ่งใหญ่กว่านี้อยู่เบื้องหลังอย่างแน่นอนและไม่คิดที่จะสังหารเฝิงรุ่ยเฉิงจนกว่าจะได้ทราบถึงตัวตนที่แท้จริงของคนเหล่านั้น

“ข้าผิดไปแล้ว ข้าถูกคนชั่วพวกนั้นหลอกลวง ข้าจึงทำสิ่งที่ไม่ดีกับเจ้า…ถึงอย่างไรตระกูลเฝิงก็ตกต่ำจนถึงจุดนี้แล้ว โปรดไว้ชีวิตข้าเถอะ…”

สีหน้าของเฝิงรุ่ยเฉิงในตอนนี้แสดงความหวาดกลัวอย่างที่สุด หากทราบมาก่อนว่าฉินอวี้โม่ผู้นี้จะน่าสะพรึงกลัวและทรงพลังเช่นนี้ เขาก็คงไม่คิดยั่วยุหรือหาเรื่องให้นางขุ่นเคืองใจ

ตอนนี้แม้แต่เฝิงรุ่ยเฉิงเองก็รู้สึกว่าฉินอวี้โม่น่าสะพรึงกลัวยิ่งกว่าคนเหล่านั้นที่เขาร่วมมือด้วยเสียอีก

“อืม…ใช่ว่าจะไม่มีทางที่ข้าจะไว้ชีวิตเจ้า ตราบใดที่เจ้าบอกความจริงเกี่ยวกับตัวตนของคนพวกนั้นมา ข้าก็อาจจะพิจารณาเรื่องไว้ชีวิตเจ้าได้”

ฉินอวี้โม่จับจิตวิญญาณของเฝิงรุ่ยเฉิงไว้และเขย่าอย่างแรงจนเขารู้สึกวิงเวียน หากเฝิงรุ่ยเฉิงบอกตัวตนที่แท้จริงของคนเหล่านั้น นางจะไว้ชีวิตเขาอย่างที่ลั่นวาจาไว้จริง เพียงแต่…เขาจะได้ใช้ชีวิตอย่างไรนั้นก็ขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของนาง

“นี่เป็นความจริงรึ ?!”

เฝิงรุ่ยเฉิงกล่าวอย่างมีความหวัง เขาเป็นคนรักตัวกลัวตายเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว แน่นอนว่าการได้ยินว่ายังมีโอกาสเอาชีวิตรอดได้เช่นนี้ทำให้เกิดความหวังขึ้นมาในหัวใจของเขา

“จะเชื่อหรือไม่เชื่อก็แล้วแต่เจ้า”

ฉินอวี้โม่ไม่คิดรับปากหรือให้คำมั่นสัญญาใด ๆ ตอนนี้เฝิงรุ่ยเฉิงอยู่ในกำมือของนางแล้ว เขาไม่มีสิทธิ์ที่จะเจรจาต่อรองแม้แต่น้อย

“ข้าไม่ทราบหรอกว่าแท้จริงแล้วพวกเขาเป็นใคร พวกเขามาพบข้าเมื่อสิบกว่าปีก่อนและกล่าวว่าจะช่วยให้ข้าได้ขึ้นเป็นผู้นำตระกูลเฝิง รวมถึงช่วยข้าพัฒนาฝีมือความแข็งแกร่ง และเมื่อไม่กี่วันก่อน พวกเขาก็มาพบข้าอีกครั้งโดยมอบโอสถจำนวนมากให้ข้าและกล่าวว่ามันจะเป็นประโยชน์ต่อข้ามาก เพียงแต่ข้าก็ไม่ทราบจริง ๆ ว่าพวกเขาเป็นใคร…”

เฝิงรุ่ยเฉิงชั่งใจแล้วว่าเพื่อการเอาตัวรอด เขามีทางเลือกเพียงทางเดียวเท่านั้น นั่นก็คือการยอมก้มหัวเป็นการชั่วคราว หลังจากไตร่ตรองครู่หนึ่ง เขาก็ยอมเปิดเผยสิ่งที่ทราบออกไป

สิ่งที่เขากล่าวเป็นความจริงทุกประการ เฝิงรุ่ยเฉิงไม่ทราบแน่ชัดว่าคนเหล่านั้นเป็นใครและมีต้นกำเนิดมาจากที่ใด ทั้งสองคราที่ได้พบกัน พวกเขาก็เป็นฝ่ายติดต่อมาหาเฝิงรุ่ยเฉิงก่อน ตัวเขาเองก็ไม่เคยตามหาคนเหล่านั้นและต่อให้จะคิดตามตามหา เขาก็ไม่มีเบาะแสใดที่จะช่วยให้ตามหาได้เลย

เขาเพียงได้พบคนเหล่านั้นครั้งหนึ่งเมื่อมากกว่าทศวรรษก่อน และได้พบกันอีกครั้งเมื่อไม่กี่วันก่อนหน้านี้…

“แค่นั้นรึ ?”

ฉินอวี้โม่ไม่สงสัยในวาจาของเฝิงรุ่ยเฉิง ทว่านางรู้สึกได้ว่าเฝิงรุ่ยเฉิงน่าจะทราบบางอย่างมากกว่านี้แต่ยังคิดที่จะปิดบังนาง

“เฝิงรุ่ยเฉิง หากเจ้ายังไม่ยอมรับสารภาพทุกอย่างแต่โดยดี เพียงข้าดีดนิ้ว เจ้าก็จะสลายหายไปจากโลกนี้แล้ว เจ้าลองคิดดูให้ดีเถอะ”

นางกล่าวขึ้นเบา ๆ ด้วยสีหน้าท่าทางใจเย็นและไม่ทุกข์ร้อน

ความหวาดหวั่นในหัวใจของเฝิงรุ่ยเฉิงรุนแรงมากขึ้นและเขาใช้ความคิดอย่างหนักก่อนกล่าวออกมาอีกครั้ง “ข้าคิดว่าพวกเขาน่าจะเป็นบรรดาจอมยุทธ์ปีศาจของดินแดนมหาเทพ แต่ข้าไม่ทราบจริง ๆ ว่าพวกเขามาจากที่ใด”

แท้จริงแล้วดินแดนมหาเทพมิได้สงบเรียบร้อยดังที่เห็นภายนอก นอกเหนือจากสามสำนักและเก้านิกายก็ยังมีขุมกำลังประหลาดบางแห่ง ขุมกำลังเหล่านั้นทั้งลึกลับและยากเกินคาดเดาซึ่งมีสมาชิกที่ไร้กฎเกณฑ์และเอาแน่เอานอนไม่ได้ อีกทั้งยังไม่มีผู้ใดทราบเบาะแสร่องรอยของพวกเขา ผู้คนเพียงทราบกันว่าคนเหล่านั้นมีจิตใจโหดเหี้ยมเป็นทุนเดิมและมักใช้ชีวิตในแบบที่ไม่ยอมอ่อนข้อต่อผู้ใดซึ่งคนทั้งดินแดนต่างก็เบือนหน้าหนี พวกเขาเหล่านั้นจะดูดซับพลังมายาที่ทรงพลังบางอย่างเพื่อใช้พัฒนาความแข็งแกร่งของพวกตนและเป็นกลุ่มคนที่รวมตัวกันในนาม ‘จอมยุทธ์ปีศาจ’

ในดินแดนมหาเทพแห่งนี้ นอกเหนือจากบรรดาขุมกำลังใหญ่ ๆ ก็มีคนเพียงไม่มากเท่านั้นที่ทราบเกี่ยวกับตัวตนของพวกเขาเหล่านั้น เฝิงรุ่ยเฉิงเองก็ยืนยันตัวตนของพวกเขาได้หลังจากพบหน้ากันหลายคราเท่านั้น

เดิมทีเขาก็ไม่เต็มใจที่จะร่วมมือกับพวกเขาเท่าใดนัก ทว่าคำมั่นสัญญาที่ล่อตาล่อใจจากคนเหล่านั้นทำให้เขาปฏิเสธไม่ได้และตัดสินใจร่วมมือในที่สุด

“พลังมายาของพวกเขาแปลกประหลาดมาก เพียงไม่กี่คนที่ข้าเคยพบก่อนหน้านี้ล้วนมีพลังที่แกร่งกล้ากว่าข้าและไม่ว่าผู้ใดในเมืองเทียนหยวนก็มิใช่คู่มือของพวกเขาเลย อีกทั้งข้าก็ไม่ทราบว่าจุดประสงค์ของพวกเขาคือสิ่งใดกันแน่ ฉินอวี้โม่…ข้าบอกทุกอย่างที่รู้แล้ว ได้โปรด…อย่าฆ่าข้าเลย”

ครานี้เฝิงรุ่ยเฉิงเปิดเผยทุกอย่างที่ทราบด้วยสีหน้ากังวลและกล่าววิงวอนขอชีวิต

“เอาล่ะ ข้าจะไม่ฆ่าเจ้า”

ฉินอวี้โม่เชื่อว่าเฝิงรุ่ยเฉิงเปิดเผยข้อมูลทุกอย่างที่มีแล้วและนางก็ตั้งใจที่จะนำเรื่องนี้ไปหารือกับจ้าวเหลียงและคนอื่น ๆ หลังออกไปจากที่นี่

“ขอบคุณมาก ข้าให้สัญญาว่าข้าจะไม่คิดเป็นศัตรูกับเจ้าอีกเลย ปล่อยข้าออกไปเถอะ”

เฝิงรุ่ยเฉิงรีบให้คำมั่นสัญญาขณะพยายามดิ้นรนให้หลุดพ้นออกจากมือของฉินอวี้โม่

“ข้าบอกเมื่อไหร่กันว่าจะปล่อยเจ้าไป ?”

ฉินอวี้โม่กล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงใสซื่อโดยไม่มีความคิดที่จะปล่อยอีกฝ่ายแม้แต่น้อย

“เจ้า…”

เฝิงรุ่ยเฉิงโกรธแค้นอย่างที่สุด ทว่าไม่กล้าออกอาการมากจนเกินไปนักขณะจับจ้องตรงไปที่ฉินอวี้โม่อย่างพูดไม่ออก

“ข้าเพียงบอกว่าจะไว้ชีวิตเจ้าและไม่ได้กล่าวว่าจะปล่อยเจ้าไป บังเอิญว่าเจ้าทำให้เกิดหลุมใหญ่ยักษ์ในคฤหาสน์สุดรักสุดหวงของข้า จงอยู่ที่นี่และเติมเต็มหลุมนั่นซะ เมื่อมันเต็มเมื่อใด ข้าก็อาจจะพิจารณาปล่อยเจ้าไป ไม่ต้องห่วง ข้ารู้ว่าเจ้าทำอะไรในสภาพนี้ไม่ได้ เพราะฉะนั้นข้าจะหาร่างอสูรมายามาให้เจ้าได้ใช้ก่อน”

เมื่อได้ยินวาจาของฉินอวี้โม่ เฝิงรุ่ยเฉิงก็แทบกระอักเลือกออกมา เขาคิดไม่ถึงเลยว่าฉินอวี้โม่จะเป็นคนเจ้าเล่ห์เช่นนี้ แท้ที่จริงแล้วนางต้องการให้เขาอยู่ที่นี่เพื่อเติมเต็มหลุมที่เกิดจากแรงระเบิดของตนโดยไม่คิดที่จะปล่อยเขาไปตั้งแต่แรก ยิ่งไปกว่านั้น การที่ต้องการให้เขาฟื้นคืนชีพขึ้นใหม่ในร่างอสูรมายาก็เป็นการดูหมิ่นเหยียดหยามอย่างที่สุด

“แน่นอนว่าหากเจ้าไม่ยินดี ข้าก็จะไม่บีบบังคับฝืนใจเจ้า ดูนั่นสิ…อสูรมายาของข้ากำลังมุ่งหน้าเข้ามาที่นี่และข้าไม่อาจควบคุมได้ว่าพวกมันจะจัดการเจ้าอย่างไร”

ฉินอวี้โม่ชี้ไปในทิศทางหนึ่งซึ่งมารยาและอสูรมายาตัวอื่น ๆ กำลังมุ่งหน้าตรงเข้ามา

“เจ้า…”

เฝิงรุ่ยเฉิงเจ็บแค้นใจจนไม่อาจสรรหาคำพูดได้ เพียงเห็นฝูงอสูรมายาบ้าคลั่งเหล่านั้น เขาก็ไม่กล้ากล่าวสิ่งใดอีกและทำได้เพียงยอมรับชะตากรรมของตนเอง เขาไม่ต้องการให้ชีวิตของตนต้องจบสิ้น เพราะฉะนั้นตราบใดที่ยังรอดชีวิตต่อไปได้ ร่างของอสูรมายาก็มิใช่สิ่งที่ต้องคำนึงถึง หลังจากได้ไปจากที่นี่ การที่เขาจะย้ายร่างอีกครั้ง มันก็มิได้เป็นปัญหาแต่อย่างใด

“เสี่ยวเฮย ประเดี๋ยวออกไปหาร่างหมาป่ามาให้เขาด้วยล่ะ หลังจากที่เขาฟื้นคืนชีพในร่างนั้นได้สำเร็จ ข้าจะมอบหมายให้เจ้าควบคุมดูแล อย่าลืมล่ะว่าเขาจะต้องเติมเต็มหลุมยักษ์นี่ด้วยตนเอง”

ฉินอวี้โม่ส่งจิตวิญญาณของเฝิงรุ่ยเฉิงไปให้กับเสี่ยวเฮยพร้อมกล่าวกำชับอย่างชัดเจน

“รับทราบ นายหญิง”

เสี่ยวเฮยกล่าวด้วยสีหน้าและน้ำเสียงที่ตื่นเต้นอย่างยิ่ง มันก็มองเฝิงรุ่ยเฉิงในมือด้วยแววตาเป็นประกายราวกับพบบางสิ่งบางอย่างที่น่าสนใจ

เฝิงรุ่ยเฉิงได้เพียงนิ่งเงียบและไม่กล้ากล่าวสิ่งใดออกไป เขาทำได้เพียงอดทนอดกลั้นกับความเจ็บช้ำน้ำใจนี้และแทบที่จะกระอักเลือดออกมา

ด้วยความคิดเพียงแวบเดียว ฉินอวี้โม่ก็กลับออกไปปรากฏตัว ณ ลานจัตุรัสอีกครั้ง