ตอนที่ 2203 ความลับของหม้อวิญญาณ

A Record of a Mortal s Journey to Immortality คัมภีร์วิถีเซียน

“แม้ว่ายาลูกกลอนบำรุงปราณจะสามารถชดเชยกลิ่นอายบริสุทธิ์กว่าครึ่งของสหายได้ แต่หากจะทำให้เป็นปกติ คงต้องกลับไปรักษาตัวสักระยะหนึ่ง ทว่าแมลงพิษโลหิตนี้หาได้ยากมากในแผ่นดินใหญ่เฟิงหยวนของพวกเรา เหตุใดสหายถึงถูกลอบทำลายเช่นนี้” หานลี่พลันหัวเราะแล้วเอ่ยถามอย่างสนอกสนใจ

“ในเมื่อท่านอาวุโสหานรู้จักแมลงพิษโลหิตก็น่าจะรู้ดีว่าแมลงนี้ไม่ได้มีอยู่ในแผ่นดินใหญ่เฟิงหยวน ข้าถูกคนลอบทำร้ายที่แผ่นดินใหญ่เสี่ยเทียน ถึงได้ถูกแมลงพิษโลหิต หากไม่ใช่เพราะร่างของข้าเป็นร่างพิเศษ และใช้เคล็ดลับวิชาระงับแมลงตัวนี้ไว้ เกรงว่าคงกลับมาที่ตระกูลไม่ทัน ก็กลายเป็นกองโลหิตแล้ว” วิญญาณโลหิตถอนหายใจออกมาเฮือกหนึ่งพลางตอบกลับ

“สหายไปที่แผ่นดินใหญ่เสี่ยเทียนจริงๆ ด้วย แต่ข้าได้ยินสหายสวี่เจียวบอกว่าตอนแรกจะไปแผ่นดินใหญ่เสียงเพรียกอัสนีไม่ใช่หรือ เหตุใดถึงไปที่แผ่นดินใหญ่เสี่ยเทียน” หานลี่พยักหน้าพลางเอ่ยถาม

“ตอนแรกข้าจะไปแผ่นดินใหญ่เสียงเพรียกอัสนี แต่คิดไม่ถึงว่าพอฟื้นฟูความทรงจำมาส่วนหนึ่ง กลับพบสิ่งที่ต้องไปแผ่นดินใหญ่เสี่ยเทียน และเป็นเรื่องที่ข้าคิดไม่ถึง” วิญญาณโลหิตเผยรอยยิ้มขมขื่นออกมาขณะตอบกลับ

“เช่นนี้นี่เอง แต่จากที่ข้ารู้ แมลงพิษโลหิตก็เป็นเหมือนแมลงวิญญาณในแผ่นดินใหญ่เสี่ยเทียน ไม่ใช่สิ่งที่ผู้บำเพ็ญเพียรธรรมดาๆ จะควบคุมได้ ดูแล้วสหายคงไปก่อเรื่องที่แผ่นดินใหญ่เสี่ยเทียนไม่น้อยสินะ” หานลี่ครุ่นคิดเล็กน้อย ท่าทางมีเลศนัย

“ยิ่งกว่าไม่น้อย ครั้งนี้ข้ามีโอกาสรอดเพียงหนึ่งส่วนเท่านั้น และสร้างศัตรูที่แข็งแกร่งไว้ที่แผ่นดินใหญ่เสี่ยเทียนสองสามคน ครั้งหน้าหากไปเหยียบแผ่นดินนั้นคนเดียวอีก เกรงว่าข้าอาจจะกลับมาอย่างครบสามสิบสองประการได้ยาก” หญิงสาวชุดขาวเอ่ยอย่างราบเรียบ

“อ๋อ ฟังจากน้ำเสียงสหาย ยังคิดจะกลับไปที่แผ่นดินใหญ่เสี่ยเทียน?” หานลี่หุบยิ้มบนใบหน้า แล้วเอ่ยถามพร้อมกับขมวดคิ้วน้อยๆ

“ใช่แล้วต้องไปแผ่นดินใหญ่เสี่ยเทียนอีกครั้ง เพราะในความทรงจำใหม่ของข้า วิญญาณน้ำแข็งหายตัวไปในแผ่นดินเสี่ยเทียน ครั้งที่แล้วข้าหาเบาะแสพบแล้ว แต่อยากจะพาร่างเที่ยงแท้กลับมา ก็ต้องไปที่แผ่นดินใหญ่เสี่ยเทียนอีกครั้ง” หลังจากที่วิญญาณโลหิตครุ่นคิดชั่วครู่ ก็เอ่ยอย่างจนปัญญาเล็กน้อย

“สหายวิญญาณน้ำแข็งหายตัวไปที่แผ่นดินใหญ่เสี่ยเทียน มิน่าล่ะก่อนหน้านี้ตระกูลสวี่ถึงหาเบาะแสไม่พบเลย ทว่าครั้งนี้สหายนำหม้อนภาสูญมาเป็นของขวัญเพราะเหตุใดหรือ? ในยามที่ยังไม่พบสหายวิญญาณน้ำแข็ง หม้อใบนี้น่าจะมีประโยชน์มากสินะ” หานลี่กลับไม่ได้เผยสีหน้าตกตะลึงออกมา หลังจากฉีกยิ้มก็เอ่ยถาม

หญิงสาวชุดขาวได้ฟังเช่นนี้ใบหน้ากลับมีสีหน้าประหลาดใจฉายแวบผ่าน ฉับพลันนั้นก็ออกคำสั่งกับศิษย์ของตระกูลสวี่เจียว

“พวกเจ้าออกไปก่อน ข้ามีเรื่องสำคัญต้องคุยกับท่านอาวุโสหานตามลำพัง หากมีอันใด ข้าจะเรียกพวกเจ้าเอง”

“ขอรับ ท่านอาวุโส ชนรุ่นหลังจะออกไปรอด้านนอก” สวี่เจียวและพวกมองสบตากันแวบหนึ่ง ตอบรับอย่างไม่กล้าขัดขืน แล้วทยอยกันออกจากตำหนัก

“ท่านอาวุโสหาน เรื่องนี้สหายเองก็…” หญิงสาวชุดขาวกวาดตามองอิ๋นเย่ว์ หลี่หรงและพวกแวบหนึ่ง พลางเอ่ยด้วยท่าทีลังเล

“ดูแล้วเรื่องที่สหายวิญญาณโลหิตจะพูดต่อจากนี้คงสำคัญมากจริงๆ อิ๋นเย่ว์ พวกเจ้าออกไปก่อนเถิด” หานลี่ครุ่นคิดแล้วออกคำสั่งอย่างราบเรียบ

อิ๋นเย่ว์ หลี่หรงและพวกย่อมพยักหน้าอย่างไม่มีความเห็นอื่น แล้วเดินออกไปนอกประตูตำหนัก

แม้ว่านักพรตเซี่ยจะไม่ได้ปริปาก แต่ก็เดินตามคนอื่นๆ ไปด้วยใบหน้าไร้ความรู้สึก

ชั่วพริบตาทั้งตำหนักก็เหลือเพียงหานลี่และหญิงสาวสวมชุดสีขาวสองคนเท่านั้น

“ยามนี้สหายมีความลับอันใด ก็บอกมาเถิด” หานลี่มองหญิงสาวที่อยู่ตรงข้าม แล้วเอ่ยถามพร้อมกับอมยิ้ม

“ทำให้ท่านอาวุโสหานเห็นเรื่องน่าขบขันแล้ว การสนทนาต่อจากนี้ไม่สะดวกให้ผู้อื่นอยู่ด้วยจริงๆ ท่านอาวุโสอยากรู้หรือไม่ว่าหม้อนภาสูญถูกหลอมมาเพื่อสิ่งใด? ชนรุ่นหลังคิดจะใช้หม้อใบนี้ทำการแลกเปลี่ยนกับสหายสักครั้ง” หญิงสาวชุดขาวเอ่ยด้วยสีหน้าราบเรียบ

“เพื่อสิ่งใด! การแลกเปลี่ยน!” หานลี่ได้ยินพลันเผยสีหน้าสนอกสนใจออกมา

“ใช่แล้ว ชนรุ่นหลังรับประกันได้ว่าหลังจากที่ท่านอาวุโสรู้ความลับนี้จะต้องได้ประโยชน์อย่างไร้ขีดจำกัดแน่” วิญญาณโลหิตเอ่ยด้วยเสียงเคร่งขรึม

“อืม หากความลับนี้มีประโยชน์อย่างที่เจ้าว่า การแลกเปลี่ยนกับสหายในครั้งนี้ย่อมไม่มีปัญหา ทว่าก่อนอื่นสหายวิญญาณโลหิตต้องโน้มน้าวข้าให้ได้ก่อน” หานลี่ตอบกลับด้วยสีหน้าราบเรียบ

“ได้ ข้ารู้อยู่แล้วว่าสหายหานสนใจแน่นอน ประวัติความเป็นมาที่แท้จริงของหม้อนภาสูญ ความจริงแล้วต้องเริ่มจากที่ข้ามีวาสนาในแดนมนุษย์ ความจริงแล้วมันถูกหลอมเลียนแบบมาจากบันทึกหน้ากระดาษสีทอง ประโยชน์ที่แท้จริงของมันไม่ได้มีไว้เพื่อการต่อสู้ แต่เป็นกุญแจ…” แววตาของวิญญาณโลหิตเปล่งประกายไม่หยุด พลางอธิบายอย่างแช่มช้า

ยามแรกหานลี่ฟังเงียบๆ ด้วยใบหน้าที่ประดับไปด้วยรอยยิ้มบางๆ แต่หลังจากนั้นไม่นาน ใบหน้าก็ค่อยๆ เคร่งขรึมขึ้น สุดท้ายแววตาก็เริ่มเปล่งประกายตกตะลึง!

ครึ่งวันต่อมาในที่สุดหานลี่ก็ออกไปจากตระกูลสวี่โดยมีคนของตระกูลสวี่ออกมาน้อมส่ง และโดยสารสำเภายักษ์สีขาวลำหนึ่งตรงไปยังใจกลางของเผ่ามนุษย์

“พี่หาน สหายวิญญาณโลหิตคุยอันใดกับเจ้า คาดไม่ถึงว่าจะนานเช่นนี้” อิ๋นเย่ว์เอ่ยถามอย่างประหลาดใจ

“ไม่มีอันใด แค่ทำสัญญากับสหายวิญญาณโลหิตเรื่องหนึ่งเท่านั้น” หานลี่มองอิ๋นเย่ว์แวบหนึ่ง แล้วเอ่ยพร้อมกับหัวเราะน้อยๆ ออกมา

“สัญญา?” อิ๋นเย่ว์กะพริบตาคู่งาม เผยแววตาขบคิดออกมา

“ก็พอเรียกได้ว่าการแลกเปลี่ยนกระมัง” หานลี่เอ่ยอย่างราบเรียบ

อิ๋นเย่ว์ฉีกยิ้มเบิกบาน ไม่ได้เอ่ยซักถามอันใดอีก

แม้ว่าหลี่หรงจะสนใจเช่นกัน แต่ก็รู้ว่าไม่อาจเทียบกับอิ๋นเย่ว์ได้ จึงไม่ได้เอ่ยถามอันใดให้มากความอย่างรู้จักวางตัว

กลับเป็นจูกั่วเอ๋อร์ที่ไม่อยากถามอันใดมากนัก

“ท่านอาวุโสหาน ตระกูลสวี่ก็ไปแล้ว จากนี้พวกเราจะไปที่ใด?”

“จากนี้…แน่นอนว่าเป็นเกาะศักดิ์สิทธิ์ สหายหลี่ จากนี้ต้องให้เจ้านำทางแล้ว” หานลี่เอ่ยกับหลี่หรง

อย่างตรงไปตรงมา

“ท่านอาวุโสวางใจ ชนรุ่นหลังจะพารีบท่านอาวุโสไปที่เกาะศักดิ์สิทธิ์” หลี่หรงได้ยินพลันดีใจ รีบเอ่ยรับประกันทันที

“เยี่ยม ผู้แซ่หานเองก็หวังว่าจะเข้าไปในเกาะศักดิ์สิทธิ์ได้ในเร็ววัน” หานลี่เอ่ยอย่างสบายใจ

สิ้นเสียงสำเภาหยกก็สั่นเทาเล็กน้อย ชั่วขณะนั้นลำแสงพลันเปล่งแสงสว่างวาบความเร็วเพิ่มขึ้นหลายเท่า กลายเป็นสายรุ้งยาวสายหนึ่งพุ่งแหวกอากาศ”ไป และชั่วพริบตาก็หายวับไปอย่างไร้ร่องรอย

สองเดือนต่อมาภายใต้ชีพจรภูเขาอันห่างไกลที่ผู้คนไม่ค่อยรู้จักในเผ่ามนุษย์และปีศาจ

พลันมีหมอกหนาปกคลุม

มองปราดเดียวย่อมมองไม่เห็นปลายทาง แทบจะกินพื้นที่หนึ่งในสามชีพจรภูเขา

แต่หากเข้าไปในทะเลหมอกหมื่นกว่านลี้ก็จะพบเกาะสีดำสนิท ลอยอยู่กลางอากาศต่ำ ห่างออกไปสองสามร้อยจั้ง

และรอบๆ เกาะก็มีศิลายักษ์จำนวนนับไม่ถ้วนราวกับอุกกาบาตที่มีวิหคบินวนล้อมรอบไปมาไม่หยุด

ทุกๆ ศิลายักษ์ที่มีขนาดสองสามหมู่ก็จะมีสิ่งปลูกสร้างอย่างหอคอยและแท่นสูงปรากฏอยู่ ด้านบนมองเห็นนักรบชุดเกราะยืนตัวตรงสีหน้าเข้มงวดอยู่ลางๆ

แล้วยังมีสำเภาและรถเหาะ บางครั้งก็บินเข้าออกเกาะยักษ์ คอยลาดตระเวนจุดที่อยู่ไกลยิ่งไปกว่าไปมาไม่หยุด

กลางอากาศรอบๆ เกาะแห่งนี้ มีม่านลำแสงเขตอาคมที่มองเห็นได้ด้วยตาเนื้อหลายชั้น แทบจะปกคลุมทั้งท้องฟ้าเอาไว้

ทั้งเกาะไม่นับว่าคุ้มกันแน่นหนา แต่ที่นี่คือ ‘ดินแดนศักดิ์สิทธิ์’ เกาะศักดิ์สิทธิ์’ ในสายตาของทั้งเผ่ามนุษย์และเผ่าปีศาจจำนวนนับไม่ถ้วน

ในเวลาเดียวกันใจกลางเกาะศักดิ์สิทธิ์ก็มีตำหนักแห่งหนึ่ง อาวุโสระดับผสานอินทรีย์สวมอาภรณ์หลากหลายสีสันสิบกว่าคนกำลังนั่งอยู่บนเก้าอี้ทั้งสองฝั่ง แต่คาดไม่ถึงว่าจะมีสีหน้าร้อนใจไม่สบายใจ

“เซียนหลี่พวกเขาน่าจะใกล้ถึงแล้วสินะ!” ในที่สุดบุรุษใบหน้าขาวผ่องคนหนึ่งก็ทนไม่ไหวเอ่ยถามชายชรา

“สหายสวินอย่าเพิ่งร้อนใจไปนัก ในเมื่อเซียนหลี่ส่งข่าวมาก่อนแล้วว่าวันนี้จะมาถึง คิดดูแล้วก็คงไม่ผิด” ชายชราตอบกลับอย่างแช่มช้า

“ข้าย่อมรู้เหตุผลดี ทว่ายามนี้ผ่านเที่ยงวันมาแล้ว ผู้แซ่หวินกลัวว่าเซียนหลี่และพวกจะเกิดอันใดขึ้นระหว่างทาง” บุรุษหน้าขาวถอนหายใจออกมาเฮือกหนึ่งพลางเอ่ย

“หึๆ มีท่านอาวุโสหานมาด้วย จะเกิดเรื่องอันใดได้อย่างไร” ฮูหยินสวมชุดหนังสีขาวกลับเอ่ยแล้วหัวเราะหึๆ ออกมา

“แน่นอน จากอิทธิฤทธิ์ของท่านอาวุโสหานที่สำแดงในงานพิธี เกรงว่าแม้แต่ท่านอาวุโสม่อและท่านอาวุโสเอ๋าเซี่ยวก็ไม่อาจเทียบเคียงได้ หากไม่เป็นเช่นนั้น อาวุโสของเกาะศักดิ์สิทธิ์ของพวกเราคงไม่มารออย่างว่าง่ายเช่นนี้ครึ่งวันหรอก” ชายชราผมขาวเอ่ยพร้อมกับหัวเราะออกมา

“ทว่าข่าวลือก็คือข่าวลือ พวกเราไม่เคยเห็นด้วยตาของตัวเอง อิทธิฤทธิ์ของท่านอาวุโสหานแข็งแกร่งเพียงนั้น แค่ลงมือก็สามารถทำให้ราชานกฮูกดำระดับมหายานที่ซ่อนตัวอยู่ในเผ่าสามง่ามราตรีได้รับบาดเจ็บหนักอย่างง่ายดาย นี่ฟังดูแล้วยากจะเชื่อจริงๆ” บุรุษหน้าขาวยังคงลังเลเล็กน้อย

“ต่อให้ข่าวลือไม่เป็นความจริงอยู่บ้าง แต่อิทธิฤทธิ์ของท่านอาวุโสหานไม่มีทางเทียบกับผู้ที่บรรลุระดับมหายานใหม่ๆ ธรรมดาๆ ได้แน่ จุดนี้ไม่ผิดแน่ และยิ่งไปกว่านั้นยามนี้ใต้เท้าม่อและท่านอาวุโสเอ๋าเซี่ยวก็อยู่ในแดนมาร จึงทำได้เพียงหวังว่าท่านอาวุโสหานจะลงมือถึงจะช่วยกลับมาได้ ไม่ว่าจะมองจากจุดไหนยามนี้พวกเราก็ต้องช่วยท่านอาวุโสหานอย่างเต็มที่ถึงจะถูก” ชายชราเอ่ยอย่างมั่นใจโดยไม่ลังเลเลยสักนิด

“ในเมื่อทั้งสองเผ่ามีสิ่งมีชีวิตระดับมหายานปรากฏตัวขึ้นใหม่ เกาะศักดิ์สิทธิ์ของพวกเราย่อมต้องช่วยเต็มกำลัง แต่แค่ยามนี้พวกเราล่วงเกินเขาไปครั้งใหญ่เพราะศิษย์ของเรา ท่านอาวุโสหานคงไม่ๆ พอใจเกาะศักดิ์สิทธิ์ของเราเพราะเหตุนี้กระมัง” บุรุษหน้ขาวเอ่ยด้วยรอยยิ้มขมขื่น

เมื่อได้ยินคำนี้อาวุโสของเกาะศักดิ์สิทธิ์ที่ไม่ได้พูดอันใด ก็หน้าเปลี่ยนสี

“วางใจเถิด ท่านอาวุโสหานพัฒนาระดับมหายานได้ ย่อมไม่ใจแคบ และยิ่งไปกว่านั้นการกระทำก่อนหน้านี้ของพวกเราก็เพราะอนาคตของสองเผ่าของเรา ท่านอาวุโสหานคงไม่ถือสาเพระเหตุนี้หรอก” ชายชราเอ่ยอย่างไม่คิดเช่นนั้น

เมื่อได้ยินชายชราเอ่ยเช่นนี้ อาวุโสระดับผสานอินทรีย์คนอื่นๆ ก็มีสีหน้าผ่อนคลายลง

หลังจากที่ชายชราหัวเราะออกมา และคิดจะเอ่ยอันใดอีกนั้น ด้านนอกตำหนักก็มีเสียงหัวเราะแผ่วเบาและไพเราะดังมา

“เหล่าสหายอยู่กันพร้อมหน้าเชียว เช่นนั้นก็ไม่ต้องให้น้องหญิงรายงานแล้ว”

สิ้นเสียงด้านนอกก็มีเงาร่างคนพลิ้วไหว หญิงสาวสามคนเดินเข้ามา

นั่นก็คือหลี่หรง อิ๋นเย่ว์ จูกั่วเอ๋อร์และพวกทั้งสามคน คนที่พูดเมื่อครู่ก็คือหลี่หรง ใบหน้าประดับไปด้วยรอยยิ้ม

มีเพียงหานลี่และนักพรตเซี่ยที่ไร้ร่องรอย

“อ่า เป็นเซียนหลี่ สหายหลิงหลง ท่านอาวุโสหานมาถึงแล้วหรือ…”

ทุกคนในตำหนักส่งเสียงอื้ออึง ชายชราหยัดกายลุกขึ้นเอ่ยถามด้วยความตกตะลึง

“ท่านอาวุโสหานมาถึงเกาะศักดิ์สิทธิ์แล้ว แต่ท่านอาวุโสไม่ได้มากับพวกเรา แต่ไปที่เกาะอื่นก่อน ทว่าทุกท่านโปรดวางใจ ท่านอาวุโสจะมาพบทุกคนโดยเร็ว” หลี่หรงเอ่ยด้วยรอยยิ้มเบิกบาน