ตอนที่ 593 อาจารย์ จะไม่ปล่อยให้ศิษย์น้อยเป็นกังวล

ยอดไทเฮาเขย่าวังหลัง

ฟ่านอิงไม่สนใจเขา เขายังคงยืนอยู่ใต้ลูกบอลสีดำ ทุ่มเทพลังทั้งหมดขยายลูกบอลให้ใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ 

 

 

ในเมื่อเป็นชาวสวรรค์ เขาย่อมไม่ประมาทอยู่แล้ว 

 

 

……………….. 

 

 

 

 

 

ความเคลื่อนไหวที่รุนแรงเช่นนี้แน่นอนว่าตู๋กูซิงหลันที่อยู่อีกด้านหนึ่งย่อมรู้สึกถึงการบุกรุก 

 

 

ทั่วทั้งเกาะลอยฟ้าสั่นสะเทือน ราวกับว่าเกิดแผ่นดินไหว 

 

 

นางมองออกไปที่นอกหน้าต่าง แผ่นฟ้ายามค่ำมีสายฟ้าผ่าลงมาอยู่ตลอด ทำให้นางนึกย้อนไปถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นที่เรือนของท่านอาจารย์ 

 

 

คืนนั้นที่เรือนของอาจารย์ก็ปรากฏฟ้าผ่าลงมาอย่างรุนแรงเช่นนี้เหมือนกัน 

 

 

“คนของแดนสวรรค์….” นางหรี่ดวงตาลง ทั้วร่างมีไอสังหารกำจายออกมาอย่างพลุ่งพล่าน 

 

 

สองมือกำแน่นจนกลายเป็นหมัด แม้แต่อาการของพี่รองก็ไม่สนใจอีกแล้ว จัดการเรียกไม้คฑาออกมาในทันที 

 

 

แดนสวรรค์ ไม่ว่าผู้มาจะเป็นใคร นางก็ไม่คิดจะชะล่าใจทั้งสิ้น 

 

 

ทันใดนั้น ทั้งท่านเจ้าสำนักและซูเยาต่างก็หยุดเถียงกัน 

 

 

ทั้งสองต่างก็มองออกไปที่ด้านนอก 

 

 

พอมองเห็นสายฟ้าที่ฟาดเปรี้ยงลงมาอยู่เรื่อยๆ สมองของท่านเจ้าสำนักก็ปวดร้าวขึ้นมาอีก และภาพมากมายก็ปรากฏขึ้นมาในทันใด 

 

 

บุปผาวิญญาณบนโต๊ะเตี้ยยังคงส่งกระแสวิญญาณจางๆเข้าไปในถุงเฉียนคุนที่อยู่ข้างกายตู๋กูซิงหลันไม่มีหยุด 

 

 

ท่านเจ้าสำนักพึ่งจะลุกขึ้นยืน สมองก็ปวดร้าวจนแทบจะระเบิด 

 

 

ถึงใบหน้าของเขาซีดขาว แต่กลับไม่แสดงอารมณ์ใดๆออกมาสักนิดเดียว 

 

 

ในฐานะที่เป็นอาจารย์ เขาย่อมไม่มีทางปล่อยให้ศิษย์น้อยมาเป็นกังวล  

 

 

นี่คือวิธีปฏิบัติของท่านเจ้าสำนัก 

 

 

ใต้แสงฟ้าผ่า สีหน้าของซูเยาเองก็ไม่สู้ดีเท่าไร 

 

 

“อาหลัน อย่าได้ก่อเรื่องวุ่นวาย” พอรู้สึกได้ถึงไอสังหารของสาวน้อยที่อยู่ข้างกาย ซูเยาก็สงบนิ่งลงอย่างยากนักที่จะได้เห็น 

 

 

เขารู้ดีว่า….พวกชาวสวรรค์นั่นบ้าคลั่งได้มากเพียงใด 

 

 

อาหลันในตอนนี้เป็นเพียงร่างมนุษย์ธรรมดา ต่อให้แข็งแกร่งเพียงไร แต่ไหนเลยจะสามารถต้านทานสรวงสวรรค์ได้? 

 

 

“เจ้าจิ้งจอกน้อย โปรดช่วยข้าดูแลพี่รองให้ดี ภายในสามวันข้าจะต้องไปหาเจ้า” แม้ว่าตู๋กูซิงหลันจะดูสงบอารมณ์ได้ แต่ว่าเส้นผมสีดำอมเงินทั่วศีรษะก็พริ้วขึ้นมาราวกับมีสายลมหนุน 

 

 

“เจ้าก็รู้ดี ข้าได้เจอเจ้าแล้ว ไหนเลยจะยอมจากไปง่ายๆ” ซูเยาส่ายศีรษะ ตั้งแต่ชาติก่อนจนถึงชาตินี้ เขาพลาดจากนางมาหลายครั้งหลายหนแล้ว จึงไม่คิดจะยอมพลาดอีกต่อไปแล้ว 

 

 

“พาพี่รองกลับไป ข้าจะขอบใจบรรพชนทั้งสิบแปดรุ่นของเจ้า” ตู๋กูซิงหลันตบลงไปบนบ่าของเขา “เจ้ายอมฟังคำขอของข้ามาตลอดมิใช่หรือ?” 

 

 

ซูเยาลังเลอยู่ครู่หนึ่ง อาหลันกำลังจี้จุดอ่อนของเขา 

 

 

นางรู้ดีว่า ไม่ว่านางจะพูดอะไร เขาก็จะยินดีรับฟังโดยปราศจากเงื่อนไข 

 

 

“อาหลัน บ้านเราไม่ได้มีบรรพชนมากมายถึงสิบแปดรุ่นหรอก” 

 

 

ตู๋กูซิงหลัน “…….” 

 

 

“เด็กดี” 

 

 

“รอข้า ข้าจะต้องไปหาเจ้าที่เผ่าปีศาจอย่างแน่นอน” 

 

 

นางไม่พูดมากความ ร่างในชุดแดงกระโดดลอยขึ้นไป พอสะกิดปลายเท้าก็เหาะออกไปในทันที  

 

 

พุ่งตรงไปทางที่ตั้งของหอชมจันทรา 

 

 

ท่านเจ้าสำนักเองก็อดกลั้นอาหารปวดศีรษะเอาไว้ เหาะตามไปโดยไม่แม้แต่จะคิด 

 

 

ตู๋กูเจวี๋ยอยากจะช่วยเหลืออย่างยิ่ง แต่ว่าน่าเศร้าที่สภาพร่างกายของเขาในตอนนี้ไม่เอื้ออำนวยอย่างสิ้นเชิง 

 

 

ซูเยามองดูเงาหลังของตู๋กูซิงหลันที่เหาะออกไป แลัวก็หันกลับมามองตู๋กูเจวี๋ยที่ทำท่าจะเป็นจะตาย เขาก็ยังไม่วายคิดจะติดตามนางไป 

 

 

พอจะขยับเท้า ในสมองพลันได้ยินเสียงของสตรีผู้หนึ่งดังขึ้น “เสี่ยวเยา รีบกลับมา” 

 

 

ซูเยาตระหนกจนร่างสะท้านไปทั้งตัว 

 

 

………….. 

 

 

ด้านนอกของหอชมจันทรา ลูกบอลสีดำของฟ่านอิงขยายขนาดใหญ่ขึ้นมาจนเกือบจะเบียดบังพื้นที่ในเกาะไปครึ่งเกาะแล้ว 

 

 

แม้แต่ตู๋กูซิงหลันที่กำลังเข้าไปใกล้นั้น นางก็รู้สึกได้เลยว่า ร่างกายเหมือนถูกกระชาก 

 

 

ในมือของนางถือไม้คฑาสีดำมะเมื่อมด้ามนั้นเอาไว้ สีหน้าปราศจากความลังเล ดวงตาดอกท้อมองไปยังร่างของบุรุษหนุ่มผู้นั้น 

 

 

ขณะที่นางมาถึง บุรุษหนุ่มผู้นั้นก็มองเห็นนางพอดีเช่นกัน 

 

 

ขณะที่ดวงตาของทั้งคู่สบกัน ก็แทบจะจุดประกายไฟระเบิดขึ้นมา 

 

 

“เจอกันอีกแล้วสินะ ตู๋กูซิงหลัน” บุรุษผู้นั้นแทบจะเอ่ยชื่อของนางออกมาทีละคำ 

 

 

“อ๋อ เจ้าพ่อ.พันธุ์.ม้า เจ้าช่างอายุยืน ยังไม่ตายอีกสินะ” 

 

 

นางคิดไม่ถึงเลยว่า จะได้เจอเขาอีกในสถานการณ์เช่นนี้ …..เยี่ยเฉิน 

 

 

ไท่จื่อของเผ่ามังกรทมิฬ 

 

 

หากว่านางจำได้ไม่ผิดละก็ ตอนที่อยู่ที่เผ่ามังกรทมิฬ เขาถูกนางกับจีเฉวียนเล่นงานจนชอกช้ำ หมดพลังชีวิตไปกว่าครึ่งแล้วมิใช่หรือ? 

 

 

สุดท้ายแล้วยังสามารถรอดออกมาจากการระเบิดครั้งใหญ่ในใต้ก้นทะเลลึกนั่นได้อีกหรือ? 

 

 

สายตาของตู๋กูซิงหลันวนไปมาอยู่รอบกายของเขา 

 

 

เปลี่ยนเสื้อผ้าใหม่เป็นสีทองเสียระยิบระยับ แทบจะจำไม่ได้เลย 

 

 

ถูกเรียกเป็นพ่อพันธุ์ม้า เยี่ยเฉินถึงกับฮึดฮัดทำท่าปฏิเสธขึ้นมาในทันที 

 

 

เขาจับจ้องอยู่ที่ตู๋กูซิงหลันด้วยสายตาเป็นประกาย มุมปากแสยะยิ้มเย็นชาออกมา “มีคนคิดหาหนทางจะปกป้องเจ้าอย่างสุดกำลัง เจ้ากลับดีนัก โผล่ออกมามอบศีรษะด้วยตนเอง” 

 

 

ทั้งหมดเป็นเพราะนาง เสี่ยวอิงถึงได้ตาย เผ่ามังกรทมิฬก็ถูกทำลาย เสด็จแม่ก็…. 

 

 

ทุกสิ่งที่เขาเคยมี ความโชคร้ายทั้งหมดล้วนมาจากนังลูกเมียน้อยนั่น! 

 

 

ยังดีที่สวรรค์มีตา ให้เขาได้มีชีวิตรอด 

 

 

นับตั้งแต่วันที่ได้ ‘เกิดใหม่’ เขาก็สาบานเอาไว้แล้วว่า ชาตินี้จะต้องสับนังลูกเมียน้อยให้เป็นพันชิ้นให้จงได้! 

 

 

เดิมทีเขาคิดเอาไว้ว่า กว่าจะได้พบกันใหม่ คงจะต้องใช้เวลาอีกเนิ่นนาน คิดไม่ถึงเลยว่าพวกเขาจะได้เจอกันเร็วขนาดนี้ 

 

 

ฟ่านอิงเองก็หันมาเหลือบมองนางด้วยเช่นกัน ใต้ลูกบอลสีดำนั้น ใบหน้าของเขายิ่งบิดเบี้ยว จนดูย่ำแย่กว่าเดิม 

 

 

“หลันหลัน ข้ามิใช่บอกแล้วว่าให้เจ้าถอนตัวจากไปหรอกหรือ?” เขาได้แต่ใช้น้ำเสียงแหบแห้งราวหินทรายเอ่ยออกมา 

 

 

ตู๋กูซิงหลันกุมไม้คฑาเอาไว้อย่างแนบแน่น มองดูเขาแวบหนึ่ง “ในใต้หล้านี้ไหนเลยจะมีหลักการให้คนทอดทิ้งญาติมิตร แล้ววิ่งหนีไปแต่เพียงผู้เดียวได้กัน?” 

 

 

มิว่าจะอย่างไร นางก็สงสารและเห็นใจฟ่านอิง หากว่าท่านยายยังอยู่ ก็จะต้องพยายามทำทุกหนทางเพื่อปกป้องเขาเป็นแน่ 

 

 

ตู๋กูซิงหลันยังคงคิดต่อไปว่า ราชวงศ์จีติดค้างเขามากเกินไป หากนางคุ้มครองฟ่านอิงสักครั้ง ก็ถือว่าเป็นการทำความดีชดเชยแทนให้กับจีเฉวียนที่ยังไม่กลับมาแล้วกัน 

 

 

ฟ่านอิงตะลึงไป 

 

 

ไม่มีใครเห็นว่า มือของเขาถึงกับสะท้าน 

 

 

“ใต้หล้านี้ยังมิได้เลวร้ายจนถึงขั้นที่ให้หลานสาวต้องมาปกป้องตาหรอกนะ” 

 

 

“จงไปจากจิ่วโจว ไปยังที่ที่ห่างไกล และอย่าได้กลับมาอีกตลอดกาล” 

 

 

เขารู้ดีเลยว่า คนผู้นั้นเป็นคนบ้าและชั่วช้าได้ถึงเพียงไหน 

 

 

หากว่านางเกิดไปตกอยู่ในมือของเขา…..แม้แต่ตนเองก็ยังไม่กล้าคาดคิดเลยว่าจะกลายเป็นผลลัพธ์เช่นใด 

 

 

“อ้อ ในที่สุดเบื้องหน้าของข้าก็มีปู่หลานมาเล่นบทผูกพันธ์ลึกซึ้งให้ดูแล้วสินะ?” เยี่ยเฉินสบถเสียงเย็นชาออกมา 

 

 

พอเขาโบกมือขึ้น ในมือก็ปรากฏร่มสีทองคันใหญ่คันหนึ่ง ร่มคันนั้นถูกเขาชูไว้เหนือศีรษะ พอกางร่มออก ละอองสีทองก็กระจายออกมา 

 

 

ละอองสีทองนั้นกำบังเขาเอาไว้ แม้แต่แรงดึงดูดของลูกบอลสีดำก็ไม่มีผล 

 

 

“ฟ่านอิง อย่าได้ประเมินตนเองว่ายิ่งใหญ่นักเลย อย่าลืมสิว่า ทุกสิ่งที่เจ้ามีนั้นก็เป็นเพราะว่าท่านผู้นั้นมอบให้” เยี่ยเฉินยิ้มเย็นชา ทั้งยังกำสามง่ามแน่นขึ้นกว่าเดิม 

 

 

เขาขยับร่างวูบหนึ่ง ก็เหาะขึ้นไปในอากาศ บินเข้าหาตู๋กูซิงหลัน 

 

 

เขาในตอนนี้ ไม่เหมือนกับตอนที่เคยเป็นองค์ไท่จื่อของเผ่ามังกรทมิฬแล้ว 

 

 

ตอนนั้น ตู๋กูซิงหลันกับจีเฉวียนร่วมมือกันจึงได้สามารถจัดการกับเขา ตอนนี้มีนางแค่ผู้เดียว กับฟ่านอิงที่อัปลักษณ์ ยังจะคิดว่าสามารถต้านทานเขาได้อีกหรือ? 

 

 

ยิ่งมองดู…..สิ่งที่อยู่ในมือของตู๋กูซิงหลัน ตอนนี้ก็ไม่มีดาบยักษ์อีกต่อไปแล้ว หึ ถือไม้เท้าดำๆมอซอมาด้ามหนึ่ง ก็คิดจะต่อสู้กับเขา? 

 

 

นางฝันเฟื่องหรือเปล่า? 

 

 

………………………