รายนามจักรพรรดิเทพที่บันทึกอยู่บนม้วนสาส์นนั้นละเอียดมาก เขาใช้สติรับรู้สัมผัสดู ก็สามารถสัมผัสได้ถึงข้อมูลคร่าวๆ ของผู้แกร่งกล้าทุกคนที่จัดอยู่ในรายงาน หากต้องการข้อมูลโดยละเอียด ก็ต้องทุ่มเทบางสิ่งเพื่อซื้อเอาแล้ว!
“โอ้ อันดับที่สองร้อยหกสิบแปดหรือ” ตงป๋อเสวี่ยอิงพยักหน้าน้อยๆ อันดับนี้ยังนับได้ว่ายุติธรรม
ในโลกใบนี้ ผู้เหินทะยานระดับจักรพรรดิเทพครบสมบูรณ์หรือระดับยอดเคารพและจักรพรรดิเทพช่วงท้ายมีทั้งหมดมากกว่าสามสิบท่าน! อย่างจ้าวหุบเขาฝูหลิ่วก็อยู่ในระดับนี้
พลังรบระดับจักรพรรดิเทพช่วงท้าย มีมากกว่าสองร้อยห้าสิบคน! ในจำนวนนั้นมีผู้เหินทะยานระดับจักรพรรดิเทพช่วงกลางกว่าสามสิบคน!
ตนจัดอยู่ในอันดับที่สองร้อยหกสิบแปด ถัดจากตนลงไปยังมีผู้แกร่งกล้าระดับจักรพรรดิเทพช่วงท้ายและผู้เหินทะยานระดับจักรพรรดิเทพช่วงกลางอยู่อีก
“คาดว่าตอนที่ข้าปะทุพลังที่แท้จริงออกไป กลิ่นอายไม่เสถียร จึงส่งผลกระทบต่ออันดับ แต่ข้าได้สังหารประมุขสมาคมจิตมารกับมือตนเอง ได้พิสูจน์ความสามารถในการห้ำหั่นของข้า จึงได้จัดอยู่ในอันดับที่สองร้อยหกสิบแปดกระมัง” ตงป๋อเสวี่ยอิงใคร่ครวญ จากนั้นก็มองไปทางประมุขหอสิงแห่งหอจิตฟ้าที่อยู่อีกข้างหนึ่งแล้วพูดยิ้มๆ ว่า “ประมุขหอสิง หอจิตฟ้ายังนับว่าเห็นดีในตัวข้า จึงมิได้จัดข้าให้อยู่ในอันดับสุดท้ายของผู้เหินทะยานระดับจักรพรรดิเทพช่วงท้ายและจักรพรรดิเทพช่วงกลาง!”
“นี่เป็นเรื่องที่เบื้องบนกำหนดมา ข้าไม่มีสิทธิ์ไปยุ่มย่ามอะไรเลยแม้แต่นิดเดียว” ประมุขหอสิงกล่าว
“ฮ่าฮ่า”
ตงป๋อเสวี่ยอิงหัวเราะเบาๆ “ข้าไม่สนใจหรอก ทั้งยังรู้สึกว่าอันดับนี้ไม่เลวเลยเสียด้วยซ้ำไป”
ประมุขหอสิงหัวเราะไปด้วย
“เอาล่ะ หากไม่มีธุระอันใดแล้ว เชิญเจ้ากลับออกไปก่อนเถิด” ตงป๋อเสวี่ยอิงเอ่ย
“ขอรับ เช่นนั้นข้าขอตัวก่อนนะขอรับ” ประมุขหอสิงโค้งคำนับก่อนจะถอยไป ช่วยไม่ได้ เขา ประมุขหอสิงเป็นเพียงจ้าวเทพระดับยอดคนหนึ่งเท่านั้น ส่วนจักรพรรดิเทพหิมะเหินตรงหน้าผู้นี้เป็นระดับผู้ทรงอำนาจของทั้งโลกเทพอย่างแท้จริงแล้ว ประมุขหอสิงจึงย่อมต้องเคารพนบนอบไปเสียทุกเรื่อง ต้องทำให้งดงามหน่อย! เพราะถึงอย่างไรเขาก็ประจำการอยู่ที่หอจิตฟ้าแห่งเมืองจวิ้นซาน ผู้ที่มิอาจล่วงเกินได้เป็นที่สุดก็คือจักรพรรดิเทพหิมะเหินผู้นี้นั่นเอง
ตงป๋อเสวี่ยอิงมองม้วนสาส์นตรงหน้าซ้ำแล้วซ้ำเล่า เขาพึมพำเสียงเบาว่า “อันดับที่สองร้อยหกสิบแปด…บัดนี้การฝึกกายคละถิ่นก็ยังไม่เสถียรเลย ลำพังแค่พลังด้านวิถีอากาศ อันดับนี้ก็ออกจะสูงเกินไปหน่อยแล้ว!”
เขาบ่นไปพลางเก็บม้วนสาส์นลงไปยิ้มๆ
สำหรับเขาแล้ว นี่ก็เป็นความสุขอย่างหนึ่ง! อันดับนั้นไม่สำคัญสักเท่าใดนัก ความก้าวหน้าของพลังของตัวเขาเองจึงจะสำคัญที่สุด เขามาถึงโลกใบนี้ ก็เพื่อเคี่ยวกรำตนเอง
******
เมื่อรายนามจักรพรรดิเทพออกมาแล้ว
ก็ทำให้ผู้แกร่งกล้าทั้งหลายของโลกใบนี้จับตามองผู้เหินทะยานระดับจักรพรรดิเทพซึ่งจัดอยู่ในอันดับที่สองร้อยหกสิบแปดผู้นี้ทันที เพราะถึงอย่างไรเรื่องอย่างการที่ตงป๋อเสวี่ยอิงสังหารประมุขสมาคมจิตมาร ก็มีแต่ผู้ที่สนใจข้อมูลการสิ้นใจของผู้แกร่งกล้าในโลกเทพเป็นพิเศษเท่านั้นจึงได้ให้ทางหอจิตฟ้าเก็บรวบรวมข้อมูลจำพวกนี้มาอย่างยาวนาน ส่วน ‘รายนามจักรพรรดิเทพ’ มีผู้ให้ความสนใจมากกว่ามากมายนัก บรรดาจักรพรรดิเทพไปขนถึงจ้าวเทพในโลกเทพจำนวนนับไม่ถ้วนล้วนให้ความสนใจแทบทั้งสิ้น
“เอ๊ะ”
ณ เมืองเล็กๆ อันไกลโพ้นแห่งหนึ่ง บุรุษอาภรณ์เขียวที่นั่งดื่มสุราอยู่ในหอสุราพลันสีหน้าเปลี่ยนแปรไปเล็กน้อย
เขาเพิ่งจะได้รับข้อมูลที่หอจิตฟ้าส่งมาให้เขา!
“รายนามจักรพรรดิเทพหรือ” บุรุษอาภรณ์เขียวพึมพำเสียงต่ำ “จักรพรรดิเทพหิมะเหิน ผู้เหินทะยานหรือ”
เขาส่งสารให้หอจิตฟ้าเพื่อซื้อรายงานโดยละเอียดเกี่ยวกับจักรพรรดิเทพหิมะเหินทันที
ผ่านไปชั่วครู่
“จ้าวเทพ” บ่าวรับใช้ของหอจิตฟ้าประจำเมืองเล็กๆ อันไกลโพ้นนี้เร่งตรงมายังหอสุราแห่งนี้โดยเฉพาะ แล้วมอบม้วนสาส์นม้วนหนึ่งให้บุรุษอาภรณ์เขียว “รายงานต้องใช้ศิลาอสนีสามก้อนขอรับ”
“ไปเถิด” บุรุษอาภรณ์เขียวโยนศิลาอสนีออกไปสามก้อน
“ขอรับ” บ่าวรับใช้รับศิลาอสนีไปแล้วแล้วออกไปอย่างรวดเร็ว
จากนั้นบุรุษอาภรณ์เขียวก็มองดูโดยละเอียด
ในรายงานฉบับนี้บันทึกข้อมูลชุดหนึ่งของ ‘จักรพรรดิเทพหิมะเหิน’ เอาไว้โดยละเอียด เช่นเขาถูก ‘อวี้เฟิงชิงอิน’ คุณหนูสามสกุลอวี้เฟิงแห่งเมืองจวิ้นซานพากลับมาจากกลางความรกร้าง เวลาอันแม่นยำของเรื่องราวต่างๆ ล้วนถูกบันทึกเอาไว้โดยละเอียด
“เฮอะ ดูจากเวลานี่ ก่อนที่คุณหนูสามสกุลอวี้เฟิงจะพาเขากลับมาจากกลางความรกร้าง หอจิตฟ้าหาบันทึกที่เกี่ยวข้องกับเขาไม่พบเลย” บุรุษอาภรณ์เขียวยิ้มเย็น จ้าวเทพคนหนึ่งทำอะไรอย่างเก็บเนื้อเก็บตัว จะไม่มีบันทึกก็เป็นเรื่องธรรมดานัก
“อิงซานเสวี่ยอิง เจ้าก็มายังโลกใบนี้แล้วหรือ” นัยน์ตาของบุรุษอาภรณ์เขียวฉายแววเยียบเย็น
เขา ก็คือจักรพรรดิเป่ยเหอนั่นเอง!
เขามาที่นี่ก่อนตงป๋อเสวี่ยอิงนานโข
เขามิอาจสะกดรอยตงป๋อเสวี่ยอิงได้ ตงป๋อเสวี่ยอิงก็มิอาจสะกดรอยเขาได้เช่นกัน อย่างตอนนั้นที่จักรพรรดิเป่ยเหอชิงเอา ‘หยาดน้ำพันเนตร’ ไป พวกตงป๋อเสวี่ยอิงหมายจะไล่สังหาร ก็มิอาจกำหนดตำแหน่งที่แม่นยำของจักรพรรดิเป่ยเหอได้
อย่างผู้ที่ฝึกฝนสายเลือดคละถิ่น แม้จะไม่เชี่ยวชาญทางด้านการเก็บงำกลิ่นอาย แต่เมื่อถึงระดับอย่าง ‘จักรพรรดิเทพช่วงท้าย’ แล้วกลับแตกต่างออกไปโดยสิ้นเชิง พวกเขาส่วนมากล้วนสะกดรอยได้อย่างร้ายกาจนัก กลิ่นอายระดับยอดเคารพก็เก็บงำได้อย่างสมบูรณ์แบบ! ตงป๋อเสวี่ยอิงเคยได้พบยอดเคารพเมื่ออยู่ในหุบเขาเขี้ยวหัก หากยอดเคารพจะเก็บงำกลิ่นอาย เขาก็ตรวจสอบไม่พบ ส่วน ‘จักรพรรดิเป่ยเหอ’ เมื่ออยู่ในหุบเขาเขี้ยวหักก็เป็นจักรพรรดิที่ใกล้เคียงกับยอดเคารพที่สุดแล้ว! เขาก็ควบคุมกลิ่นอายของตนได้สมบูรณ์แบบมากเช่นกัน จึงมิอาจสะกดรอยเขาได้เลย
เขามาถึงโลกใบนี้ ในฐานะแขกจากโลกอีกใบ ก็ย่อมต้องถ่อมเนื้อถ่อมตัวเป็นอันมาก
เก็บงำกลิ่นอาย ปลอมแปลงเป็นจ้าวเทพคนหนึ่งแล้วซ่อนตัวอยู่ในเมืองเล็กๆ แห่งหนึ่ง! เขาออกไปเคลื่อนไหวบ้างเป็นครั้งคราว
“อิงซานเสวี่ยอิง” ในใจจักรพรรดิเป่ยเหอมีความคิดวาบผ่านไปมากมาย
เมื่อดูจากเวลาที่มาถึง ชื่อ กระบวนท่าที่เชี่ยวชาญและสถานะผู้เหินทะยาน บวกกับที่เขาเก็บเนื้อเก็บตัวบำเพ็ญเป็นอันมาก ก็ล้วนสอดคล้องกับอิงซานเสวี่ยอิงทั้งสิ้น! ไม่มีเรื่องบังเอิญถึงเพียงนี้หรอก
“ตามที่รายงานบันทึกเอาไว้ พลังทางด้านวิถีอากาศของเขาก็สามารถเทียบกับจักรพรรดิเทพช่วงท้ายได้แล้วหรือนี่” จักรพรรดิเป่ยเหอขมวดคิ้วเล็กน้อย “หากนับรวมกับกระบวนท่าทางด้านวิญญาณของเขา เกรงว่าหากข้าเผชิญหน้ากับเขาก็อาจตกเป็นรองได้กระมัง”
“การยกระดับพลังของข้าจึงจะสำคัญที่สุด”
“รอให้ยกระดับขึ้นไปถึงขั้นยอดเคารพเสียก่อน ค่อยไปเล่นกับอิงซานเสวี่ยอิงสักหน่อย” จักรพรรดิเป่ยเหอลอบยิ้มเย็นชา เดิมทีเขาก็สั่งสมมาแน่นหนาอย่างยิ่งอยู่แล้ว เขาบำเพ็ญอยู่ในทางเดินเขี้ยวอสรพิษมานมนานถึงเพียงนั้นก็มีความก้าวหน้าอยู่บ้าง ตอนนั้นถูกตงป๋อเสวี่ยอิงและยอดเคารพเฮ่ากู่พบเข้า เขาจึงถูกบีบบังคับให้เลือกทางเส้นนี้ และถูกส่งมายังโลกใบนี้ เมื่อมาถึงที่นี่ เขาจึงพบว่าการขุดค้นพละกำลังสายเลือดของโลกใบนี้ร้ายกาจกว่าที่หุบเขาเขี้ยวหักมากมายนัก!
เก็บรวบรวมคัมภีร์ อ้างอิงและรู้แจ้งจากมัน
จักรพรรดิเป่ยเหอมั่นใจยิ่งขึ้นว่าตนจะสามารถบรรลุถึงระดับยอดเคารพได้
“รอดูเถอะ” จากนั้นจักรพรรดิเป่ยเหอก็ปล่อยเรื่องนี้ไป
……
เวลาล่วงเลยไป
หลังจากตงป๋อเสวี่ยอิงสังหารประมุขสมาคมจิตมารแล้ว ก็มีชื่อเสียงเลื่องลือไปทั่วทั้งโลกเทพ อย่างน้อยตัวเมืองทั้งหลายในแถบรอบๆ ก็ล้วนส่งกองเทวทูตมาเยี่ยมเยียน แม้แต่เมืองไม้บูรพาก็ยังส่งกองเทวทูตมา
กองเทวทูตโดยทั่วไป ตงป๋อเสวี่ยอิงคร้านที่จะพบ ให้อวี้เฟิงชิงอินไปพบหน้าแทนตนก็เพียงพอแล้ว! จะมีก็แต่กองเทวทูตเมืองไม้บูรพาเท่านั้น ที่ตนยอมไปพบด้วยตนเองสักครั้ง
จากนั้น วันคืนก็ฟื้นคืนสู่ความสงบ
เนื่องจากเขาโจมตีสังหารจักรพรรดิเทพไปหลายคน ตงป๋อเสวี่ยอิงจึงมีสมบัติล้ำค่ามากมาย และมีจำนวนมากที่เขาไม่เห็นอยู่ในสายตา เขาตั้งใจคัดเลือกชิ้นที่มีประโยชน์ต่อการบำเพ็ญสายเลือดทั้งหลายออกมาให้แก่ ‘อวี้เฟิงชิงอิน’ ผู้เป็นศิษย์เพียงคนเดียวที่เขารับไว้ในโลกใบนี้ ตัวอวี้เฟิงชิงอินเองก็เป็นแม่ทัพเทพระดับยอดอยู่แล้ว เมื่อได้รับสมบัติล้ำค่า ก็บรรลุถึงระดับจ้าวเทพอย่างรวดเร็ว
อันที่จริงแล้ว ผู้แกร่งกล้าระดับแม่ทัพเทพไม่ว่าหน้าไหน หากเผาผลาญสมบัติล้ำค่าที่แม้แต่จักรพรรดิเทพก็ยังต้องเจ็บปวดใจอย่างที่ตงป๋อเสวี่ยอิงทำ ก็ล้วนสามารถบรรลุได้อย่างง่ายดาย
อวี้เฟิงชิงอินบรรลุมิอาจนับเป็นอะไรได้
‘อวี้เฟิงเหลย’ พี่ใหญ่ของนางซึ่งก่อนหน้านี้เป็นยอดฝีมือที่ในเมืองจวิ้นซานเป็นรองเพียงแค่อวี้เฟิงจวิ้นซานเท่านั้นต่างหาก พลังของอวี้เฟิงเหลยถึงขั้นสามารถกดดันจ้าวภูเขาค้างคาวและจ้าวเทพเจียนอิ่นและคนอื่นๆ ได้อยู่เล็กน้อย! เมื่อประสบหายนะครั้งใหญ่นี้ จากความสิ้นหวังจนมีความหวังเต็มเปี่ยม หลังจากประมุขสมาคมจิตมารสิ้นใจไปสามแสนกว่าปี อวี้เฟิงเหลยก็บรรลุถึงระดับจักรพรรดิเทพช่วงต้นแล้ว! ทำให้ทั้งสกุลอวี้เฟิงยินดีปรีดากับเขาเป็นอันมาก อวี้เฟิงชิงอินก็ตื่นเต้นยินดียกใหญ่ ตงป๋อเสวี่ยอิงก็มอบของกำนัลร่วมแสดงความยินดีกับอวี้เฟิงเหลยด้วย
เพียงพริบตาเดียว ประมุขสมาคมจิตมารก็สิ้นใจไปแปดสิบกว่าล้านปีแล้ว
ณ จวนหิมะเหินในเมืองจวิ้นซาน
ภายในจวนมีนักดนตรีกำลังร่วมบรรเลงเพลง และยังมีเหล่านางระบำกำลังระบำอยู่
ตงป๋อเสวี่ยอิง อวี้เฟิงชิงอินและ ‘เหลิ่งซิน’ ปรมาจารย์พิณอันดับหนึ่งแห่งเมืองจวิ้นซานนั่งมองพลางยิ้มอ่อนอยู่ตรงนั้น นับตั้งแต่ได้ฟัง ‘เหลิ่งซิน’ ดีดพิณจนเกิดการกระตุ้นบางอย่างขึ้นมาแล้ว ตงป๋อเสวี่ยอิงก็มีงานอดิเรกอย่างการฟังเพลงพิณและชอบชมการระบำเพิ่มขึ้นมา
“ท่านอาจารย์ นี่คือเพลงระบำที่พี่เหลิ่งแต่งขึ้นด้วยตนเอง เป็นอย่างไรบ้างเจ้าคะ” อวี้เฟิงชิงอินเอ่ยถาม
“ท่านอาจารย์”
“ท่านอาจารย์”
อวี้เฟิงชิงอินมองไปทางตงป๋อเสวี่ยอิงด้วยความงุนงง
ยามนี้ตงป๋อเสวี่ยอิงกำลังงหลับตา คล้ายกับกำลังครุ่นคิดอะไรบางอย่าง อวี้เฟิงชิงอินเห็นเข้าก็ไม่กล้าปริปากอีกต่อไป
“โครมมม…” ขณะนี้ร่างแยกทั้งหมดของตงป๋อเสวี่ยอิงที่อยู่ในอากาศอันสับสนอลหม่านบ้านเกิดและในดินแดนจิตโลกาล้วนสติรับรู้สั่นสะท้าน ความเร้นลับจำนวนนับไม่ถ้วนกำลังผสานรวมกันและก่อให้เกิดกระบวนท่าอันสมบูรณ์แบบที่พิสดารจนถึงขั้นน่าเหลือเชื่อขึ้นมา
………………………