บทที่ 814 เก่งกาจเกินหน้าเกินตา

เซียนกระบี่มาแล้ว![剑仙在此]

ตอนที่ 814 เก่งกาจเกินหน้าเกินตา

แต่เพียงพริบตาเดียวเท่านั้น สีหน้าของเยว่เว่ยหยางก็กลับมาเป็นปกติ

นางนำดอกบัวนั้นไปปักลงบนแจกันที่ตั้งอยู่บนโต๊ะหินอย่างอ่อนโยน และกล่าวว่า “ไม่เป็นไรหรอก บัดนี้แรงศรัทธาของชาวเมืองกลับมาแล้ว อีกไม่นานเดี๋ยวบัวสวรรค์ก็งอกขึ้นมาใหม่…”

นักพรตใหญ่หลงเยว่ไม่พูดอะไรอีก

เยว่เว่ยหยางขยับแจกันมาตั้งอยู่ในจุดที่สามารถเห็นได้เด่นชัดมากขึ้น ก่อนพูดต่อ “บัดนี้ พวกชาวทะเลมันมาปิดล้อมเมืองแล้ว ออกคำสั่งให้นักบวชในวิหารทุกคนเตรียมตัวเป็นกำลังเสริมคอยช่วยเหลือนายทหารผู้ได้รับบาดเจ็บที่แนวหน้า นับจากวันนี้ไป พวกเราจะเปิดวิหารให้ชาวเมืองเข้ามาสวดภาวนาได้อีกครั้ง… นี่คือช่วงเวลาวิกฤตการณ์ของเมืองนี้ วิหารเทพีกระบี่ไม่ได้มีหน้าที่เพียงกำจัดปีศาจเท่านั้น ด้วยเหตุนี้ พวกเราจึงจะอยู่นิ่งเฉยไม่ได้เด็ดขาด”

นักพรตใหญ่หลงเยว่ยิ้มออกมาด้วยความดีใจสุดขีด

นางเองเคยแนะนำเรื่องเหล่านี้มานานแล้ว

วิหารเทพีกระบี่ไม่ได้มีหน้าที่เพียงกำจัดปีศาจ แต่มีหน้าที่คอยดูแลขวัญกำลังใจของชาวเมืองด้วยเช่นกัน

เพราะมีแต่ทำเช่นนั้น แรงศรัทธาจากชาวเมืองจึงจะไม่มีวันลดน้อยลง

โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในยามที่กองทัพชาวทะเลยกขบวนมาโจมตีกำแพงเมือง จิตใจของชาวเมืองกำลังตกอยู่ภายใต้ความหวาดกลัว นี่คือโอกาสดีที่วิหารเทพีกระบี่จะสร้างแรงศรัทธาให้เพิ่มขึ้น ดังนั้น การเปิดวิหารให้ชาวเมืองขึ้นมาสักการะบูชาและสวดภาวนาได้ตามอัธยาศัย ก็น่าจะเป็นสิ่งที่ช่วยเพิ่มพลังศรัทธาให้แก่นักบวชทุกคนอย่างก้าวกระโดด

แต่ก่อนหน้านี้ เยว่เว่ยหยางปฏิเสธ

แล้วเหตุไฉนเด็กสาวถึงเปลี่ยนใจ?

หรือจะเป็นเพราะว่า…

นักพรตใหญ่หลงเยว่นึกถึงการปรากฏตัวอย่างปัจจุบันทันด่วนของหลินเป่ยเฉินเมื่อคืนนี้

หรือจะเป็นเพราะว่าเด็กหนุ่มผู้นี้ทำให้เยว่เว่ยหยางเปลี่ยนใจ?

เขาทำได้อย่างไรกันนะ?

นักพรตใหญ่หลงเยว่ได้แต่คิดแล้วก็สงสัย

“รับทราบเจ้าค่ะ พระองค์ท่าน”

หญิงชรารับคำสั่งและรีบหมุนตัวเดินออกมาจากวิหารทันที

หลินเป่ยเฉินกลับไปยังค่ายที่พักของผู้อพยพ เขาดื่มน้ำเล็กน้อย เฉียนเหมยก็เข้ามารายงานว่าหลิงเฉินได้ออกจากสำนักพยาบาล เดินทางกลับบ้านไปพร้อมกับบิดามารดาของนางเรียบร้อยแล้ว

กลับเร็วจังเลยแฮะ

เขาว่าจะเอาดอกไม้ไปให้สักหน่อย

หลินเป่ยเฉินรู้สึกเสียดาย

แต่ช่างมันเถอะ

แวะไปหาไป๋ชินหยุนก็แล้วกัน

แต่ปรากฏว่าเมื่อไปถึงศูนย์หลอมโอสถ หลินเป่ยเฉินกลับพบว่าไป๋ชินหยุนกับอานมู่ซีกำลังนั่งคุยกันอย่างออกรสออกชาติราวกับเป็นเพื่อนเก่าที่รู้จักกันมายาวนานหลายสิบปี และในเวลาเดียวกันนี้ โจวฉุยหวูซวงและศิษย์ของอานมู่ซีคนอื่นๆ ก็ยืนรวมตัวอยู่ด้านข้าง ในมือถือสมุด คอยจดบันทึกบทสนทนาระหว่างเด็กสาวแปลกหน้ากับอาจารย์ของตนเองตลอดเวลา…

นี่เขาตาฝาดไปหรือเปล่าเนี่ย?

หลินเป่ยเฉินยกมือขยี้ตาตัวเอง

เมื่อวานนี้ อานมู่ซียังโกรธแค้นไป๋ชินหยุนราวกับเป็นศัตรูกันมาตั้งแต่ชาติปางก่อน เรียกได้ว่าเห็นหน้าทีไร ต้องเป็นลมไปทุกครั้ง

แต่วันนี้ ความเกลียดชังเหล่านั้นไม่มีอีกแล้ว ไป๋ชินหยุนพูดออกมาเพียงไม่กี่คำ อานมู่ซีก็ยิ้มร่าและกระโดดโลดเต้นอย่างมีความสุข…

อะไรกันอีกล่ะเนี่ย?

หลินเป่ยเฉินกวาดสายตามองรอบตัว

และพบว่าเยว่หงเซียงกำลังนั่งอยู่บนเก้าอี้ตัวหนึ่งในห้องโถงใหญ่ของศูนย์หลอมโอสถ มือหนึ่งถือกระดานสำหรับสร้างค่ายอาคม อีกมือหนึ่งถือมีดกำลังแกะสลักอักขระอย่างประณีต

แม้ว่าเยว่หงเซียงจะมีสถานะเป็นเพียงศิษย์ชั้นปีที่หนึ่งของสํานักศึกษาผู้ใช้ค่ายอาคมระดับสามัญ แต่นางก็เรียนรู้ได้อย่างรวดเร็ว และได้รับคำชื่นชมจากอาจารย์เป็นจำนวนมาก รุ่นพี่ของนางในสำนักถึงกับเอ่ยปากชมว่าอนาคตของเยว่หงเซียงในฐานะผู้ใช้ค่ายอาคมจะต้องไปได้ไกลแน่นอน

บัดนี้ เด็กสาวมีหน้าที่ต้องกลับมาทำภารกิจ ณ สถานศึกษากระบี่หยุนเมิ่งทุกๆ วัน หน้าที่ของนางก็คือการเป็นอาจารย์สอนพื้นฐานเกี่ยวกับการสร้างค่ายอาคมให้แก่มือกระบี่รุ่นเยาว์ชั้นปีที่หนึ่ง และในเวลาเดียวกันนี้ เยว่หงเซียงก็ยังรับหน้าที่เป็นหนึ่งคนสำคัญคอยดูแลความเรียบร้อยของค่ายอาคมในค่ายที่พักผู้อพยพอีกด้วย เพราะฉะนั้น วันๆ หนึ่งของเยว่หงเซียงจึงผ่านไปด้วยความวุ่นวายเหลือเกิน

ตามตารางงานปกติ บัดนี้ นางควรกลับไปเข้าเรียนที่สำนักศึกษาในตัวเมืองเขตสามแล้ว

“เสี่ยวเซียง เจ้ามานั่งทำอะไรอยู่ตรงนี้?” หลินเป่ยเฉินเดินเข้าไปโบกมือทักทาย เพราะอยากจะรู้ว่าระหว่างไป๋ชินหยุนกับอานมู่ซีนั้นสามารถเปลี่ยนแปลงจากศัตรูเป็นมิตรได้อย่างไร

แต่ดูเหมือนเยว่หงเซียงจะไม่ได้ยินคำทักทายของเขา นางก้มหน้าก้มตาสีหน้าเคร่งเครียด พยายามจะแกะสลักสิ่งที่อยู่บนแผ่นกระดานให้ได้ เห็นได้ชัดว่ายามที่ตั้งสมาธิสูงสุด เด็กสาวจะไม่รับรู้เลยว่าเกิดสิ่งใดขึ้นรอบตัวบ้าง…

“เสี่ยวเซียง?”

หลินเป่ยเฉินยื่นมือเข้าไปเขย่าไหล่เด็กสาว

“ฮึ่ย อย่ามารบกวนข้าได้ไหม ไสหัวไปซะ…”

เยว่หงเซียงหน้านิ่วคิ้วขมวด พูดออกมาโดยไม่รู้ตัว แต่เมื่อเงยหน้าเห็นว่าเป็นหลินเป่ยเฉิน เด็กสาวก็รีบขอโทษขอโพยอย่างลนลาน “ฮื่อ ท่านพี่เป่ยเฉิน ข้านึกว่าท่านเป็นเหลียงซือมู่เสียอีก… ข้ามัวแต่พยายามจะคิดค้นค่ายอาคมชนิดใหม่ให้สำเร็จ จึงไม่ทันสังเกตว่าเป็นท่าน…”

“ไม่เป็นไรหรอกน่า”

หลินเป่ยเฉินชี้มือไปยังห้องโถงใหญ่ที่กลุ่มนักหลอมโอสถกำลังรวมตัวกันอยู่และถามว่า “สองคนนั้นยังไงกันน่ะ? เกิดอะไรขึ้น? แล้วทำไมทุกคนถึงมารวมตัวกันเช่นนี้?”

เยว่เว่ยหยางยิ้มกว้าง ก่อนอธิบาย “วันนี้อาจารย์อานนำตัวเสี่ยวไป๋มาสอบสวนเรื่องที่นางนำสมุนไพรวิเศษในโรงเก็บวัตถุดิบหมายเลขหนึ่งไปหลอมเป็นโอสถจนหมดสิ้นน่ะเจ้าค่ะ ส่วนเสี่ยวไป๋ของพวกเราก็เหยียดหยามว่าถึงพูดออกไปอาจารย์อานก็คงไม่เข้าใจ…”

“ตัวข้านั้นไม่สันทัดเรื่องการหลอมโอสถสักเท่าไหร่ จึงไม่เข้าใจว่าพวกเขาพูดคุยอะไรกันบ้าง แต่ดูเหมือนทั้งสองคนจะแลกเปลี่ยนความคิดเห็นในการหลอมโอสถกันอย่างดุเดือด สุดท้าย เมื่อการแลกเปลี่ยนความคิดเห็นจบสิ้นลง นอกจากอาจารย์อานจะหายโกรธแล้ว เขายังขอร้องให้เสี่ยวไป๋รับตนเองเป็นลูกศิษย์อีกด้วย…”

หา?

มันไม่ควรเป็นแบบนี้สิ

มีอย่างที่ไหนกันที่นักหลอมโอสถอาวุโสอย่างอานมู่ซีดันมากราบขอร้องอยากจะฝากตัวเป็นลูกศิษย์กับไป๋ชินหยุน?

ในประวัติศาสตร์ที่ผ่านมา เคยมีคนอายุมากกว่ากราบคนอายุน้อยกว่าเป็นอาจารย์ด้วยหรือไง?

“ฝีมือการหลอมโอสถของเสี่ยวไป๋สูงส่งมากเลยหรือ?”

หลินเป่ยเฉินอดถามออกมาไม่ได้

เยว่หงเซียงตอบว่า “ก็น่าจะสูงส่งมากนะเจ้าคะ”

“สูงมากขนาดไหน?”

“สูงเท่ากับบ้านต้นไม้ของท่าน”

“งั้นก็สูงมากแล้วจริงๆ”

หลินเป่ยเฉินถอนหายใจออกมา

นี่คงไม่ใช่เรื่องที่แปลกประหลาดเกินไปหรอกกระมัง

หลังจากที่ไป๋ชินหยุนสามารถหลอมโอสถวิเศษของนางขึ้นมาได้สำเร็จ พลังที่ถูกปิดผนึกอยู่ในหน้าอกของนางก็ถูกปลดปล่อยออกมา แสดงให้เห็นว่าเด็กสาวมีความรู้ความสามารถด้านการหลอมโอสถในระดับสูง

ยิ่งไปกว่านั้น นางยังมีความรู้เรื่องการสร้างค่ายอาคมดีเยี่ยม และด้วยการร่วมมือกับเยว่หงเซียง พวกนางเพียงสองคนก็สามารถสร้างม่านพลังขึ้นมาคุ้มกันหมู่บ้านผู้อพยพได้อีกครั้ง…

เอ่อ ถ้าเปลี่ยนเหตุการณ์เหล่านี้เป็นเหตุการณ์ในนิยายออนไลน์สักเรื่อง

ก็คงต้องเรียกว่าไป๋ชินหยุนเป็นลูกรักของคนเขียนแล้วกระมัง?

คนอะไรจะเก่งรอบด้านขนาดนี้?

ถ้าวัดความสามารถกันจริงๆ ไป๋ชินหยุนน่าจะเก่งมากกว่าหลินเป่ยเฉินแล้วด้วยซ้ำ

เด็กหนุ่มชักรู้สึกร้อนใจขึ้นมาแปลกๆ

มิน่าล่ะ ช่วงหลังเสน่ห์ของเขาถึงลดหายลงไป นั่นเป็นเพราะว่ามีผู้ที่ฝีมือเก่งกาจกว่าเขาปรากฏตัวออกมาแล้วนั่นเอง

แล้วเขาจะเปลี่ยนแปลงเรื่องราวเหล่านี้อย่างไรดี?

ไม่มีทาง

หลินเป่ยเฉินไม่มีทางอยู่เฉยเด็ดขาด

เขานำดอกบัวสวรรค์ออกมาจากถุงเก็บของวิเศษและยื่นส่งให้เยว่หงเซียงพร้อมกับบอกว่า “เมื่อคืนนี้ข้าพบเจอดอกบัวดอกนี้ระหว่างทางไปทำธุระ มันสวยงามอย่างหาตัวจับยาก งอกขึ้นมาท่ามกลางโคลนตมแต่กลับสะอาดบริสุทธิ์ ข้าได้กลิ่นหอมของมันตั้งแต่ไกล และไม่รู้ว่าเพราะเหตุใด ทันทีที่ข้าเห็นดอกบัวดอกนี้ ข้าก็นึกถึงเจ้าขึ้นมาทันที อาจเป็นเพราะว่ามันคือสิ่งสวยงามเดียวที่ขึ้นอยู่กลางสภาพแวดล้อมอันโหดร้ายก็เป็นได้… ถึงข้าจะรู้ว่ามันเป็นการไม่สมควร แต่ข้าก็ยังอยากมอบมันให้กับเจ้าอยู่ดี”

“งู้ยยย…”

เยว่หงเซียงหน้าแดงระเรื่อด้วยความเขินอาย

นางรับดอกบัวนั้นไป ดวงตาเป็นประกายมีความสุขขณะตอบว่า “ขอบคุณท่านพี่เป่ยเฉิน… ข้ารู้สึกชื่นชอบมันเหลือเกิน”

หลินเป่ยเฉินถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอก

เสน่ห์ของเขายังไม่หายไปไหน

แต่ระหว่างที่กำลังพูดคุยอยู่นี้ กงกงก็ปรากฏตัวออกมาจากกลางอากาศเสมือนวิญญาณตนหนึ่งอีกครั้งและพูดออกมาเสียงดังกังวานว่า “กราบเรียนนายท่าน พวกเราสามารถจับตัวเว่ยหมิงเซวียนได้แล้วขอรับ นอกจากนี้ เรายังยึดเหรียญทองคำของมันได้อีกถึงหนึ่งล้านเหรียญ และพวกเราก็ยังควบคุมตัวมือปราบอินทรีธูมรณะรวมถึงคนของป้อมอสรพิษที่หลบหนีอยู่ได้ทั้งหมด ทุกอย่างอยู่ภายใต้การควบคุมแล้วขอรับ ส่วนจะจัดการกับพวกมันอย่างไรบ้าง กงกงขอเรียนเชิญคุณชายหลินผู้เป็นแม่ทัพผู้แข็งแกร่งและยิ่งใหญ่เกรียงไกรของพวกเราไปดำเนินการตามอัธยาศัยขอรับ!”