บทที่ 1555 คืนความเงียบสงบให้หอฉางเจิน

พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า

เรือนเจิดจรัส ในตึกศาลาที่งดงาม จั่วเอ๋อร์กำลังมองดูปลาแหวกว่ายอยู่ในน้ำอย่างเงียบๆ

เจ๋อชุนชิว ผู้จัดการใหญ่ของร้านค้าตระกูลอิ๋งเก็บระฆังดาราแลวรายงานว่า “ทางนั้นยังคุยเรื่องงานกันไม่เสร็จ ผู้ดูแลบ้าน ก่อนที่หน่วยงานสามหน่วยนั้นจะมาสอบสวน เกรงว่าโกวเยว่คงจะไม่ให้เขาออกไปพบกับอีกสามบ้านแล้ว ตระกูลก่วงได้เปรียบไปหมดแล้ว เกรงว่าเรื่องนี้จะ…”

“เชอะ!” จั่วเอ๋อร์แสยะยิ้ม ” เกรงว่าจะไม่แน่หรอก! มาครั้งนี้มีแต่ต้องพยายามเต็มที่ ถ้าพวกเราไม่ได้ บ้านอื่นก็อาจจะไม่ได้เหมือนกัน ยังมีคนที่ไม่ได้ลงมือนะ! เรื่องมาถึงป่านนี้แล้ว ข้าไม่เชื่อหรอกว่าท่านที่อยู่วังสวรรค์จะไม่รู้ หนิวโหย่วเต๋อถูกเขาเลี้ยงมาหลายปี มีหรือที่จะปล่อยไปง่ายๆ ลูกคิดสมปรารถนาของโกวเยว่อาจจะคำนวณไม่สำเร็จก็ได้! ให้คนของพวกเราถอนกำลังกลับมา ไม่ต้องไปรบกวนถึงที่แล้ว พวกเราไม่มีหนทางแล้ว ข้าไม่เชื่อหรอกว่าท่านที่ไม่โผล่หน้ามาจะข่มอารมณ์ไหว”

เจ๋อชุนชิวครุ่นคิดตามที่พูด ทำให้เข้าใจแล้ว เพียงแต่ยังถามอย่างลังเลว่า “ผู้ดูแลบ้าน ต้องบอกฝั่งตระกูลฮ่าวด้วยมั้ย ไม่อย่างนั้นถ้าพวกเราถอยแล้วตระกูลฮ่าวยังไปพัวพัน แบบนั้นจะไม่ทำเสียเรื่องเหรอ?”

จั่วเอ๋อร์พ่นเสียงทางจมูก แล้วบอกว่า “ต้วนหงถูกส่งมาทำหน้าที่เกินความสามารถแทนซูอวิ้นแล้ว ไม่ใช่ไก่อ่อนเหมือนกัน เดี๋ยวต่อไปถ้าเห็นบ้านตัวเองวุ่นวายอยู่ฝ่ายเดียว แต่กลับไม่เห็นฝ่ายเรากับตระกูลโค่วมีปฏิกิริยา เดี๋ยวพวกเขาก็รู้ตัวเอง กลับเป็นถังเฮ่อเหนียนที่เงียบงันมาตลอด แบบนั้นกลับน่ากังวล มีความเป็นไปได้สูงว่าจิ้งจอกเฒ่านั่นก็มีแผนเหมือนกัน พวกเราต่างหากที่รู้ตัวช้าไปหน่อย ทำให้คนอื่นหัวเราะเยาะโดยใช่เหตุ”

เจ๋อชุนชิวพยักหน้า “เดี๋ยวข้าน้อยจะกำชับลงไป เพียงแต่จะปล่อยเรื่องนี้ไปอย่างนี้เหรอ?”

“ยังไม่ได้พยายามเต็มที่ จะยอมแพ้ง่ายๆ ได้ยังไง! ตอนนี้โกวเยว่กำลังอ้างกำสั่งสวรรค์มาข่มคน กักหนิวโหย่วเต๋อไว้ไม่ยอมปล่อย พวกเราก็ทำอะไรไม่ได้เหมือนกัน ทำได้เพราะรอโอกาสเจาะช่องโหว่” จั่วเอ๋อร์ถอนหายใจ แล้วหันกลับมาบอกว่า “เจ้าไปจัดการเรื่องตรงหน้าให้เรียบร้อยก่อนแล้วกัน เรื่องตอนหลังข้าค่อยหาทางอีกที”

“รับทราบ!” เจ๋อชุนชิวเอ่ยรับกำลังแล้วออกไป

จั่วเอ๋อร์โปรยอาหารลงในน้ำ แล้วปัดมือเบาๆ จากนั้นหันตัวเดินออกไปอย่างช้าๆ เดินเข้าไปในส่วนที่ลึกของบ้านเดี่ยว เข้าไปในลานบ้านที่สดใสสง่างาม

ในศาลา อิ๋งเยว่นั่งเงียบๆ ในมือกำลังปักลายผ้า พอเงยหน้าเห็นจั่วเอ๋อร์ ก็ก้มหน้าทำเรื่องของตัวเองต่อไป ไม่ได้ตื่นเต้นหรือดีใจ ไม่ได้เศร้าโศกและหวาดกลัว

จั่วเอ๋อร์เอียงหน้าบอกใบ้เล็กน้อย สาวใช้สองคนที่เดินมาด้วยจึงถอยออกไปแต่โดยดี เสร็จแล้วนางถึงได้ทำความเคารพ “บ่าวคารวะคุณหนู”

อิ๋งเยว่ไม่ตอบอะไร และไม่มีปฏิกิริยาอะไรเช่นกัน ยังก้มหน้าปักผ้าของตัวเองต่อไป ราวกับไม่ได้ยินอะไร

จั่วเอ๋อร์ยิ้มบางๆ เข้ามาในศาลาแล้วยืนอยู่ข้างหลังอิ๋งเยว่ เห็นเพียงในในกรอบปักผ้ามีลวดลายขนนกสีฟ้าที่งดงามประณีต จึงอดไม่ได้ที่จะกล่าวชม “คุณหนูช่างฝีมือดีจริงๆ ปีกนี้ราวกับมีชีวิตชีวา ถ้ามองผ่านๆ นึกว่าขนนกของจริงอยู่บนนี้ สวยงามจริงๆ ค่ะ!”

“สวยแล้วยังไงล่ะ? สุดท้ายก็เป็นแค่ขกนก ทำตามใจตัวเองไม่ได้ พอโดนลมเป่าก็ปลิวไปแล้ว” อิ๋งเยว่ตอบอย่างไม่รู้สึกรู้สา

จั่วเอ๋อร์จึงถอนหายใจแล้วบอกว่า “ขนนกเติบโตบนร่างกาย ถ้าร่วงแล้วเจ้าของก็ปวดใจเช่นกัน”

“ร่วงแล้วก็งอกใหม่ได้ไม่ใช่เหรอ?” อิ๋งเยว่ถาม

จั่วเอ๋อร์บอกว่า “การที่นกตัวหนึ่งจะดูดีได้ ก็เป็นเพราะบนตัวมันเต็มไปด้วยขน ก่อนจะมีขนที่งดงามงอกออกมา นกตัวนั้นก็ต้องกินให้อิ่ม ถึงจะมีสารอาหารไปเลี้ยงให้ขนทั้งตัวงดงามได้ ถ้าแม้แต่นกยังต้องหิวตาย แล้วยังจะมีขนไว้ทำไมอีก ส่วนขนที่เติบโตแล้วก็ร่วงเข้าสักวัน ขนบางเส้นก็ร่วงใส่ดินโคลนในภูเขา บางเส้นก็ถูกนำเข้าห้องนอนเป็นเครื่องประดับงดงาม ถูกคนเลี้ยงดูอุ้มชูเป็นเวลานาน ในเมื่อเป็นเรื่องที่จะต้องเกิดขึ้นในไม่ช้าก็เร็ว แล้วจะไม่ไม่เลือกที่อยู่ให้ดีสักหน่อยล่ะ?”

“ถูกนำเข้าห้องนอน? ถูกคนเลี้ยงดูอุ้มชูเป็นเวลานาน? นั่นก็เป็นแค่ของเล่นชิ้นหนึ่งเท่านั้น ไม่ใช่เหรอ?” อิ๋งเยว่ถาม

จั่วเอ๋อร์ส่ายหน้า “ดูท่าคุณหนูจะเข้าใจผิดไปใหญ่แล้ว! เรื่องบางเรื่องไม่ได้เป็นอย่างที่คุณหนูคิด เดี๋ยวรอให้คุณหนูแต่งงานมีครอบครัวแล้ว ก็ย่อมรู้ถึงความลำบากของเจ้าบ้านเอง”

“ข้าถูกตัดหางปล่อยวัดแล้ว แต่ผู้ดูแลบ้านยังมาพูดถึงหลักการพวกนี้อีก ไม่เกินไปหน่อยเหรอคะ?” อิ๋งเยว่ถาม

จั่วเอ๋อร์บอกอีกว่า “เรื่องราวมีการเปลี่ยนแปลง ทางตระกูลก่วงทำทุกอย่างโดยไม่สนวิธีการ เกรงว่าฝ่ายพวกเราจะเสียเปรียบ ดังนั้นอาศัยแค่คุณหนูถูกตัดหางปล่อยวัดก็อาจจะเงียบไปหน่อย ต้องเริ่มเคลื่อนไหวบ้างแล้ว เป็นฝ่ายรุกหน่อยค่ะ”

อิ๋งเยว่หยุดมือทันที แล้วถามว่า “จะให้ข้าทำอะไรอีก?”

จั่วเอ๋อร์บอกว่า “ตระกูลก่วงได้เปรียบแล้ว พวกเราไม่มีโอกาสได้โจมตีอีกแล้ว ทำได้เพียงพยายามคุมสถานการณ์เอาไว้เท่านั้น ตอนหลังบ่าวจะพยายามสร้างโอกาสให้เขากับคุณหนูอยู่ด้วยกันตามลำพัง ถ้าสามารถต้มข้าวสารให้กลายเป็นข้าวสุกได้ ก็จะจัดการเรื่องนี้ได้แล้ว”

อิ๋งเยว่พลันเงยหน้า แล้วแสยะยิ้ม “จะให้ข้าเป็นฝ่ายเปลื้องผ้าเอาหมอนรองคอตัวเองเชียวเหรอ? เรื่องแบบนี้ถ้าผู้ชายไม่เต็มใจ ผู้หญิงจะยังบังคับไหวอีกเหรอ?”

“ก็เลยต้องการความร่วมมือจากคุณหนูไง!” จั่วเอ๋อร์พลิกมือเผยกล่องเล็กใบหนึ่ง แล้วเปิดออกอย่างเบามือ ในนั้นเป็นของเหลวข้นสีขาว เปล่งแสงสีส้มรางๆ “ขอเพียงใช้เล็บขูดสิ่งนี้เข้าไปในสุรา มันไร้สีไร้รส ไม่มีทางสังเกตเห็นได้เลย เมื่อดื่มไปแล้วทุกอย่างก็จะสำเร็จ คุณหนูพกไว้กับตัว เมื่อถึงเวลาสำคัญจะใช้ประโยชน์ได้ทันที นับว่าเตรียมไว้ล่วงหน้าเผื่อจำเป็นต้องใช้แล้วกันค่ะ”

อิ๋งเยว่เข้าใจทันทีว่าของสิ่งนั้นคืออะไร นางทั้งตกใจทั้งโมโห ลุกพรวดขึ้นมาแล้วถามว่า “นี่ท่านกล้าบังคับให้ข้าถือของลามกไปทำเรื่องชั้นต่ำแบบนี้เหรอ?”

“เฮ้อ!” จั่วเอ๋อร์ส่ายหน้าถอนหายใจ “มีบางอย่างที่คุณหนูไม่รู้ค่ะ นี่เป็นของดีนะ เป็นของที่หน่วยตรวจการซ้ายปรุงขึ้นมาโดยสูตรลับ กว่าจะได้มากสักหน่อยก็ไม่ง่ายเลย เวลาที่หน่วยตรวจการซ้ายต้องการจะทำภารกิจให้สำเร็จ ก็ไม่รู้ว่าใช้ของสิ่งนี้ไปตั้งกี่รอบแล้ว ตำหนักสวรรค์จะรู้สึกว่าของสิ่งนี้ชั้นต่ำเหรอ? คุณหนูโตเป็นสาวแล้ว ในภายหลังจะต้องเจอกับเรื่องราวมากมาย ส่วนใหญ่ล้วนว่าไปตามเนื้อผ้าทั้งนั้น ไม่มีความหมายอะไรเกี่ยวข้องกับเรื่องต่ำช้าเลย”

อิ๋งเยว่โมโหแล้ว “จั่วเอ๋อร์ ท่านช่างกล้านักนะ ข้าเคารพที่ท่านอยู่ข้างกายท่านปู่ ทำไมท่านถึงกล้ารังแกข้าขนาดนี้?”

“คุณหนูกล่าวเกินไปแล้ว บ่าวจะกล้ารังแกคุณหนูได้อย่างไร เพียงแต่พ่อแม่ของคุณหนูก็ไม่ได้ใช้ชีวิตง่ายๆ ในตระกูลอิ๋งเช่นกัน บ่าวแค่อยากจะช่วยคุณหนูเท่านั้นเอง ไม่กล้าบังคับคุณหนูแน่นอน! คุณหนูน่าจะรู้ ว่าถ้าพ่อแม่คุณหนูได้คนที่ท่านอ๋องให้ความสำคัญและกุมอำนาจทางทหารมหาศาลของท่านอ๋องมาเป็นเขยนั้นจะช่วยเหลือได้มากขนาดไหน อายุขัยคนเรานั้นมีจำกัด ถ้าไม่ใช่ขนหงส์เกล็ดมังกร[1]ที่ก้าวข้ามความเป็นความตายมาแล้ว ถ้าไม่สามารถบรรลุถึงระดับวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ได้ สุดท้ายก็ต้องกลับกลายเป็นฝุ่นเป็นดิน ไม่ใช่ทุกคนที่จะมีคุณสมบัติในการสืบทอดตำแหน่งอ๋องได้ คุณหนูถามความเห็นพ่อแม่ก่อนแล้วค่อยตัดสินใจก็ได้ค่ะ บ่าวขอตัว!” จั่วเอ๋อร์วางของทิ้งไว้บนโต๊ะ กุมหมัดคารวะ ออกมาจากศาลาแล้วหันตัวเดินออกไป

อิ๋งเยว่ที่ใบหน้าเต็มไปด้วยความเศร้าโศกคว้าของขึ้นมาแล้วทำท่าจะโยนทิ้ง แต่สุดท้ายก็ยังไม่โยนออกไป นางนั่งลงอย่างห่อเหี่ยว สีหน้าเจ็บปวดอย่างถึงที่สุด…

ณ ตึกจันทราดารา

ต้วนหงกำลังปิดตัวเองอยู่ในห้องมืดและหันหน้าเข้าแสงสลัวทางหน้าต่าง จู่ๆ นางก็หันตัวมา “มีแค่บ้านพวกเราเหรอที่ยังเกาะแกะอยู่นอกหอฉางเจิน?”

ฝานไซ่เซียนผู้จัดการใหญ่ร้านค้าของตระกูลฮ่าวพยักหน้า “ใช่แล้วค่ะ”

“ข้าก็สงสัยอยู่ว่าทำไมถังเฮ่อเหนียนถึงไม่เคลื่อนไหว ทำเอาข้าต้องคอยเฝ้าระวังจิ้งจอกเฒ่านั่นมาตลอด! ตระกูลก่วงได้เปรียบเต็มที่แล้ว ข้านึกว่าคนที่ยอมถอยเพื่อบุกแล้วค่อยลงมือต่างหากถึงจะแข่งให้เสมอกันได้! ตอนนี้ข้าถึงได้นึกได้ ว่าจิ้งจอกเฒ่านั่นเดาออกตั้งแต่แรกแล้วว่าฝืนแย่งกับตระกูลก่วงไปก็ไม่มีประโยชน์ ดังนั้นจึงไม่ได้เคลื่อนไหวเลย จิ้งจอกเฒ่าก็ยังเป็นจิ้งจอกเฒ่าวันยังค่ำ เขานั่งชมละครเรื่องนี้อย่างใจเย็น แต่พวกเรากลับกระโดดขึ้นกระโดดลงจนเสียเปรียบ พออยู่ในที่สูงก็มองวิธีการออกทันที เดี๋ยวกลับไปท่านอ๋องจะต้องดูแคลนแน่!” ต้วนหงยกมือตบหน้าผากตัวเอง แล้วก็ชี้ไปที่ฝานไซ่เซียนอีก “อย่าแสดงความจนใจของพวกเรา สร้างสถานการณ์ให้ดูเหมือนว่าตระกูลก่วงจะได้ไป ส่วนคนที่ปั่นสถานการณ์ก็จะคอยเฝ้าดูพวกเราต่อสู้กันเอง พอพวกเราวุ่นวายปั่นป่วนเมื่อไร เขาก็จะลงมือทันที! เร็วเข้า! รีบให้คนของพวกเราถอนกำลัง คืนความเงียบสงบให้หอฉางเจิน”

“ค่ะ!” ฝานไซ่เซียนหยิบระฆังดาราออกมาติดต่อกับภายนอกทันที เมื่อได้รับคำตอบแล้วก็เก็บระฆังดารา แล้วบอกว่า “พวกเขาถอยไปแล้วค่ะ”

ต้วนหงพยักหน้าแล้วถอนหายใจ “ถ้าตระกูลก่วงทำไม่สำเร็จ สุดท้ายจะต้องกลายเป็นแย่งคนมาจากมือของวังสวรรค์แน่นอน ตอนนั้นเกรงว่าจะแย่งมาไม่ได้ง่ายๆ แล้ว! ที่จิ้งจอกเฒ่าถังเฮ่อเหนียนนั่นชักช้าไม่ลงมือสักทีนั้นถูกแล้ว ต่อให้แย่งมาได้ก็เปล่าประโยชน์!”

“เพราะอะไรคะ?” ฝานไซ่เซียนแปลกใจ

ต้วนหงยิ้มเจื่อน “เพราะคดีนี้ยังไม่จบไง!”

ฝานไซ่เซียนอึ้งไปชั่วขณะ จากนั้นก็เข้าใจทันที กล่าวเสียงต่ำว่า “ไม่ผิดหรอก! ถ้าได้ไปตอนนี้ก็จะทำให้เบื้องบนอับอายจนโมโห ถ้าเบื้องบนต้องการจะป่วนแผนจริงๆ แล้วป่วนแผนไม่สำเร็จ แล้วคดียังไม่จบ ก็สามารถทำให้หนิวโหย่วเต๋อตายได้ทุกเมื่อ ดังนั้นความผิดทุกอย่างก็จะผลักไปให้หนิวโหย่วเต๋อรับไว้คนเดียว ที่แย่งไปได้ก็เป็นแค่คนตายคนหนึ่งเท่านั้น ทั้งยังทำให้ชื่อเสียงของลูกสาวเสียไปด้วย! ทัพตะวันตกที่เข้าร่วมคดีนี้ก็จะมีบทบาทมากทันที!”

“ก็ใช่ว่าจะไม่มีวิธีการเลย!” ต้วนหงเอียงหน้าถามอย่างลังเล “ของที่ให้เจ้าไปหา ได้มารึยัง?”

“เตรียมแล้วค่ะ” ฝานไซ่เซียนหยิงกล่องเล็กใบหนึ่งออกมา พอเปิดออก ข้างในก็มีแสงสีส้มอ่อนจาง ลักษณะเหมือนนมข้น “ในเมื่อได้มาตอนนี้ก็ไม่มีประโยชน์ ของนี้ยังจะใช้ได้อีกเหรอคะ?”

ต้วนหงตอบว่า “ได้มาแล้วก็อย่าประกาศ จะส่งผลกระทบร้ายแรงต่อหนิวโหย่วเต๋อ รอให้คดีจบก่อน แล้วค่อยประกาศอีกที!”

ฝานไซ่เซียนพยักหน้าเบาๆ แล้วถามอย่างลังเลอีกว่า “ทางคุณหนูจะให้ความร่วมมือเหรอคะ?”

ต้วนหงบอกว่า “ได้เสพสุขกับความสูงส่งที่คนในโลกนี้ยากจะเอื้อมถึง ก็มีราคาที่ต้องจ่ายให้สอดคล้องกัน เรื่องนี้นางตามใจตัวเองไม่ได้ นอกจากนี้ เรื่องนี้ต้องเตรียมไว้สองมือ ถ้าหนิวโหย่วเต๋อไม่รู้จักกาลเทศะเพราะแม่หม้ายคนนั้นจริงๆ ก็จับแม่หม้ายคนนั้นมา แล้วลงมือที่ตัวแม่หม้ายคนนั้น ให้นางไปเกลี้ยกล่อมหนิวโหย่วเต๋อ”

“ข้าจะไปเตรียมการค่ะ” ฝานไซ่เซียนกล่าว

“เลอะเลือน! ตอนนี้ไม่ใช่เวลาลงมือ หออวิ๋นฮว๋ามีกองทัพองครักษ์เฝ้า อย่าบอกนะว่าเจ้าจะฝืนบุกเข้าไป? อีกประเดี๋ยวสามหน่วยงานที่สืบคดีต้องพาเจ้าไปสืบสวนแน่ ถ้าคนหายไปแล้ว อีกทั้งประตูเมืองก็ปิดอยู่!” ต้วนหงกล่าว

ในเมือง ร้านค้าสมาคมวีรชน หวงฝู่ตวนหรงเดินเนิบนาบอยู่ในป่าไผ่

ในป่ามีเก้าอี้นอนที่ทำจากไม้ไผ่อยู่ตัวหนึ่ง คนวัยกลางคนสวมชุดขาวกำลังนอนเปลือยเท้าอยู่บนนั้น หน้าตาหล่อเจ้าสำราญ กำลังถือม้วนไม้ไผ่อ่านอย่างได้อรรถรส หมุนใบไผ่ที่ปลิวมาตกบนตัวเขาเป็นระยะ ทั้งตัวเผยลักษณะเกียจคร้านและอิสระล่องลอย

หวงฝู่ตวนหรงเดินมาข้างๆ หย่อนก้นนั่งลง ทำให้ชายวัยกลางคนงอตัวเล็กน้อย เบียดแย่งตำแหน่งเขา แล้วบิดหูเขา  “เจ้ากลับทำตัวสบายใจ ให้ข้าวิ่งเต้นไปที่นั่นที่นี่”

ชายวัยกลางคนไม่ใช่ใครที่ไหน เป็นสามีของหวงฝู่ตวนหรงนั่นเอง เป็นบิดาของหวงฝู่จวินโหรวด้วย ชื่อว่าอู่หนิง

อู่หนิงได้ยินดังนั้น ศีรษะก็เบี่ยงออกมาจากม้วนหนังมือ แล้วมองนางพร้อมกล่าวกลั้วหัวเราะว่า “ฮูหยินทำงานแก่งมาตลอด ข้าก็ย่อมวางใจสิ ว่ามาเถอะ ทางหอฉางเจินมีสถานการณ์ยังไง?”

“ไม่วุ่นวายแล้ว คนไปหมดแล้ว” หวงฝู่ตวนหรงตอบ

“ไปหมดแล้วเหรอ?” เขาวางวางม้วนหนังสือไว้ตรงหน้าอก อู่หนิงขมวดคิ้วบอกว่า “หอฉางเจินอ้างคำสั่งสวรรค์ข่มคน สงสัยตระกูลที่เหลือจะทำอะไรไม่ได้แล้ว ถ้าถ่วงเวลาต่อไปอีก เกรงว่าคงจะเสร็จตระกูลก่วงจริงๆ” จากนั้นก็หยิบระฆังดาราออกมาติดต่อไปที่ไหนสักแห่ง

ขณะที่หวงฝู่ตวนหรงมองเขา นางก็อึกอักเหมือนอยากจะพูดอะไรบางอย่าง แต่สุดท้ายก็ยังไม่ได้พูดออกมา ในแววตาสื่ออารมณ์ซับซ้อนสับสน

…………………………

[1] ขนหงส์เกล็ดมังกร 凤毛麟角 อุปมาถึงสิ่งล้ำค่าหายาก